เหตุเกิดที่พัทยาในวันที่ 11 เมษายน 2552 ขบวนการเสื้อแดงที่ประกาศว่ารักชาติ รักประชาธิปไตย รักในหลวง หวงและบูชาทักษิณ ได้ประสบความสำเร็จในการทำลายภาพพจน์เมืองไทยไปทั่วโลก
“อันธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ”
บรรดาผู้นำประเทศอาเซียน บวก 3 และ บวก ไม่มีโอกาสพบรอยยิ้มของสยาม และความชุ่มเย็นแจ่มใสของวันมหาสงกรานต์ที่พัทยา ทั้งๆที่พี่น้องชาวพัทยารอคอยที่จะเป็นเจ้าภาพที่วิเศษแทนคนไทยทั้งชาติ
ดีใจหรือครับ คุณทักษิณ และลูกหลานเสื้อแดง
ผมว่าคนไทยไม่ว่าอยู่แห่งหนตำบลใดในโลกและทั่วประเทศคงพากันเศร้าใจไม่น้อย ต่อไปนี้เราคุยไม่ได้อีกแล้วว่าเมืองไทยมีลักษณะพิเศษที่ใครก็ไม่เหมือน ลักษณะพิเศษของเมืองไทยกำลังจะหายไปทีละอย่างสองอย่างเป็นลูกระนาด หรือที่ฝรั่งเรียกว่าโดมิโน
ผมเคยหัวเราะเยาะว่าฝรั่งโง่ที่เขียนหนังสือ Thailand: The Last Domino of Asia หรือ ประเทศไทย: โดมิโนอันสุดท้ายของเอเชีย เราเองต่างหากที่โง่
โดมิโนที่ล้มไปทีละอันสองอัน คือ การพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม เขมร ลาว ในปี 1975 ไม่มีคาดคิดว่าประเทศไทยกำลังเสี่ยงการถูกผนวกเข้าไปอยู่ในกลุ่มของลาวและเวียดนามในปี 2009 หรืออีกไม่นานนี้ กลายเป็นโดมิโนอันสุดท้ายจริงๆ ทั้งๆที่จักรวรรดิคอมมิวนิสต์ล่มสลายไปแล้ว
คิดอีกที ผมเองก็ เถียงต่อไม่ได้เต็มปากนัก เพราะนอกจากเข้าใจ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” และ”ความเป็นอนิจจังของสังคม”แล้ว ยังได้ยินเสียงบ่น แบบต่างคนต่างบ่นก็มี บ่นคนละเรื่องก็มี ตามแต่อุปาทาน ความทุกข์ใจ และปัญหาแต่ละคนแต่ละกลุ่มเผชิญ แต่รวมแล้วก็คือโดมิโน และภาวะแห่งความเสื่อมสลายหรือสั่นสะเทือนของสถาบันต่างๆซึ่งเป็นรากฐานหรือหลักของสังคมไทย เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันหมู่บ้าน สถาบันศาล สถาบันทหาร สถาบันการเงิน สถาบันราชการ สถาบันรัฐบาล แม้กระทั่งความวิตกเป็นห่วงไปถึงสถาบันกษัตริย์ก็ไม่วาย
ผมเองได้เขียนบทความมาหลายร้อยบท แต่ละบท ผมล้วนแต่ยืนยันการมองโลกในแง่ดี และศรัทธาในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น บทความที่ผมถูกฟ้อง ซึ่งอ้างอย่างคลาดเคลื่อนว่าผมเป็นผู้เขียนเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ในผจก.ออนไลน์ 18 พฤษภาคม 2549 นั้น ผมเขียนว่า “ผมภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย ถึงผมจะบ่นบ้าไม่พอใจวิบัติกรรมต่างๆ ของบ้านเมือง ผมก็มองโลกในแง่ดีว่าสังคมไทย มีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เหมือนใคร คือ หนึ่ง สังคมไทยนั้นเป็นสังคมแห่งความรัก มิใช่ความเกลียด สอง เมื่อถึงคราวอับจน ไทยสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยปัญญา สาม เมื่อถึงเวลา คนไทยพูดกันรู้เรื่อง
หากเป็นเช่นนี้จริง ผมเชื่อว่าเราจะรักษาความเป็นไทยไว้ได้
แต่เดี๋ยวนี้ชักจะไม่จริงเสียแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณและคณะ ฯลฯ เป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจภาษาไทย ฟังพระราชดำรัสก็ไม่เข้าใจ ฟังศาลก็ไม่เข้าใจ”
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่า “เป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง” เป็นคนเห็นแก่ตัวและเห็นแต่ตัว ไม่เห็นหัวผู้อื่นใดในแผ่นดินเลย ทักษิณและบริวารใช้เพทุบาย พูดอย่างทำอย่าง อ้างสารพัดที่คนคิดไม่ทันและฟังไม่แตกพากันหลงไหล ใครไม่เห็นด้วยก็ใช้อำนาจรัฐและอันธพาลเข้าข่มเหงต่อตี ถึงผมจะไม่ชื่นชมการปฏิวัติ แต่ผมเห็นว่าข้ออ้างในการยึดอำนาจจากทักษิณของคมช.นั้น ยังน้อยกว่าความเป็นจริง ประชาชนในชาติถูกแบ่งแยก แตกสามัคคีกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ผู้ที่เป็นสมุนบริวารของทักษิณนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่หวังตำแหน่งและลาภยศก็ดี บรรดาหัวคะแนนที่คอยรับเบี้ยบ้ายรายทางก็ดี ข้าราชการ ทหาร ตำรวจที่ทักษิณขุนมา 5-6 ปีก็ดี รากหญ้าที่หวังพึ่งก็ดี แนวร่วมฉวยใช้ และแนวร่วมมุมกลับ ที่หวังโดยสารไปจนถึงวันอวสานที่แท้จริงของทักษิณ เพื่อขึ้นสู่อำนาจเสียเองก็ดี ล้วนแต่เป็นผู้ยึดมั่นในธรรมประเภทเดียวกันทั้งสิ้น แต่เป็นธรมของอธรรมวาที หาใช่ธรรมของธรรมวาทีไม่
นั่นก็คือ ธรรมะที่มีความทะยานอยากเป็นมูล 9 ประการ ดังนี้
1. เพราะอาศัย ความทะยานอยาก จึงมีการแสวงหา
2. เพระอาศัยการแสวงหา จึงมีลาภ
3. เพราะอาศัยลาภ จึงมี การวินิจฉัย
4. เพราะอาศัย การวินิจฉัย จึงมีความกำหนัด (หรือ ความคิด) ด้วยอำนาจแห่งความพอใจ
5. เพราะอาศัย ความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความพอใจ จึงมี การฝังใจ
6. เพราะอาศัย การฝังใจ จึงมี การหวงแหน
7. เพราะอาศัย การหวงแหน จึงมี ความตระหนี่
8. เพราะอาศัย ความตระหนี่ จึงมี การอารักขา
9. เพราะมีการอารักขาเป็นเหตุ จึงมีการจับท่อนไม้ การจับศัตรา การทะเลาะ การแตกแยก การกล่าวขัดแย้งกัน การชี้หน้าด่ากัน การพูดส่อเสียด การพูดปด และธรรมที่เป็นอกุศลอีกเป็นอเนก
เมื่อผมเขียนบทความเรื่อง “มูลเหตุวิวาท ประชาธิปไตยของทักษิณ” ในวันที่ 9 เมษายน นั้น ผมนึกไม่ถึงว่ารัฐบาลจะอ่อนแอ ไร้ความสามารถและขาดความรับผิดชอบ จนกระทั่งปล่อยให้พวกเดนมนุษย์ ซึ่งเป็น อธรรมวาที ทำลายการประชุมสุดยอดของอาเซียน และทำลายชื่อเสียงที่มีมาแต่โบราณของชาติไทย ลงได้ง่ายๆในวันที่ 11 เมษายน 2552
ผมเกรงว่าความล้มเหลวในการรักษาความสงบและศีลธรรมอันดีของประชาชนภายใน จนกระทั่งเมืองไทยไม่สามารถต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองตามประเพณีไทยแท้แต่โบราณได้ จะทำให้ฝูงชน อธรรมวาที ย่ามใจ และจะทำให้บรรดาธรรมวาที ส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สงบเสงี่ยมรักสันติพากันถอดใจ พากันหนีสาปสูญ หรือไม่ก็เข้าไปอยู่ใต้การคุ้มครองของอธรรมวาที
ในที่สุดก็เมืองไทยก็จะตกอยู่ในสภาวะธรรมใหม่ ดังที่ท่านผู้ทรงศีลส่งพระคาถาของพระพุทธเจ้ามาให้ คือ
“อธรรมวาทีมากกว่าธรรมวาที แต่นั้น สิ่งที่พวกมากถือเอาจึงเป็นสัจจะ เพราะเหตุนั้น พวกมากกว่าจึงพากันสละธรรม ถือเอาอธรรม พวกอธรรมวาทีเหล่านั้น ยึดอธรรมเป็นหลัก ย่อมเกิดในอบาย”
ท่านผู้อ่านคงเห็นแล้ว ที่พัทยา ที่เชียงใหม่ ที่อุดรธานี ที่มัฆวาน ที่ บชน. ที่บุรีรัมย์ ฯลฯ ภาพที่ไม่ต่างกับอัฟริกา ฝูงชนกลุ่มหนึ่งกระโดดเข้าขยี้ขย่ำเพื่อนร่วมชาติเหมือนสัตว์ร้ายกระหายเลือด ภาพเหล่านี้จะกระจายไปทั่วเมื่อแผ่นดินไทยกลายเป็นแผ่นดินแดงไปตามคำประกาศของอธรรมวาที
ต่อไปนี้จะไม่มีอีกหรือ...เมืองไทยที่เราเคยรู้จัก
“อันธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ”
บรรดาผู้นำประเทศอาเซียน บวก 3 และ บวก ไม่มีโอกาสพบรอยยิ้มของสยาม และความชุ่มเย็นแจ่มใสของวันมหาสงกรานต์ที่พัทยา ทั้งๆที่พี่น้องชาวพัทยารอคอยที่จะเป็นเจ้าภาพที่วิเศษแทนคนไทยทั้งชาติ
ดีใจหรือครับ คุณทักษิณ และลูกหลานเสื้อแดง
ผมว่าคนไทยไม่ว่าอยู่แห่งหนตำบลใดในโลกและทั่วประเทศคงพากันเศร้าใจไม่น้อย ต่อไปนี้เราคุยไม่ได้อีกแล้วว่าเมืองไทยมีลักษณะพิเศษที่ใครก็ไม่เหมือน ลักษณะพิเศษของเมืองไทยกำลังจะหายไปทีละอย่างสองอย่างเป็นลูกระนาด หรือที่ฝรั่งเรียกว่าโดมิโน
ผมเคยหัวเราะเยาะว่าฝรั่งโง่ที่เขียนหนังสือ Thailand: The Last Domino of Asia หรือ ประเทศไทย: โดมิโนอันสุดท้ายของเอเชีย เราเองต่างหากที่โง่
โดมิโนที่ล้มไปทีละอันสองอัน คือ การพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม เขมร ลาว ในปี 1975 ไม่มีคาดคิดว่าประเทศไทยกำลังเสี่ยงการถูกผนวกเข้าไปอยู่ในกลุ่มของลาวและเวียดนามในปี 2009 หรืออีกไม่นานนี้ กลายเป็นโดมิโนอันสุดท้ายจริงๆ ทั้งๆที่จักรวรรดิคอมมิวนิสต์ล่มสลายไปแล้ว
คิดอีกที ผมเองก็ เถียงต่อไม่ได้เต็มปากนัก เพราะนอกจากเข้าใจ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” และ”ความเป็นอนิจจังของสังคม”แล้ว ยังได้ยินเสียงบ่น แบบต่างคนต่างบ่นก็มี บ่นคนละเรื่องก็มี ตามแต่อุปาทาน ความทุกข์ใจ และปัญหาแต่ละคนแต่ละกลุ่มเผชิญ แต่รวมแล้วก็คือโดมิโน และภาวะแห่งความเสื่อมสลายหรือสั่นสะเทือนของสถาบันต่างๆซึ่งเป็นรากฐานหรือหลักของสังคมไทย เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันหมู่บ้าน สถาบันศาล สถาบันทหาร สถาบันการเงิน สถาบันราชการ สถาบันรัฐบาล แม้กระทั่งความวิตกเป็นห่วงไปถึงสถาบันกษัตริย์ก็ไม่วาย
ผมเองได้เขียนบทความมาหลายร้อยบท แต่ละบท ผมล้วนแต่ยืนยันการมองโลกในแง่ดี และศรัทธาในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น บทความที่ผมถูกฟ้อง ซึ่งอ้างอย่างคลาดเคลื่อนว่าผมเป็นผู้เขียนเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ในผจก.ออนไลน์ 18 พฤษภาคม 2549 นั้น ผมเขียนว่า “ผมภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย ถึงผมจะบ่นบ้าไม่พอใจวิบัติกรรมต่างๆ ของบ้านเมือง ผมก็มองโลกในแง่ดีว่าสังคมไทย มีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เหมือนใคร คือ หนึ่ง สังคมไทยนั้นเป็นสังคมแห่งความรัก มิใช่ความเกลียด สอง เมื่อถึงคราวอับจน ไทยสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยปัญญา สาม เมื่อถึงเวลา คนไทยพูดกันรู้เรื่อง
หากเป็นเช่นนี้จริง ผมเชื่อว่าเราจะรักษาความเป็นไทยไว้ได้
แต่เดี๋ยวนี้ชักจะไม่จริงเสียแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณและคณะ ฯลฯ เป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจภาษาไทย ฟังพระราชดำรัสก็ไม่เข้าใจ ฟังศาลก็ไม่เข้าใจ”
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่า “เป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง” เป็นคนเห็นแก่ตัวและเห็นแต่ตัว ไม่เห็นหัวผู้อื่นใดในแผ่นดินเลย ทักษิณและบริวารใช้เพทุบาย พูดอย่างทำอย่าง อ้างสารพัดที่คนคิดไม่ทันและฟังไม่แตกพากันหลงไหล ใครไม่เห็นด้วยก็ใช้อำนาจรัฐและอันธพาลเข้าข่มเหงต่อตี ถึงผมจะไม่ชื่นชมการปฏิวัติ แต่ผมเห็นว่าข้ออ้างในการยึดอำนาจจากทักษิณของคมช.นั้น ยังน้อยกว่าความเป็นจริง ประชาชนในชาติถูกแบ่งแยก แตกสามัคคีกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ผู้ที่เป็นสมุนบริวารของทักษิณนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่หวังตำแหน่งและลาภยศก็ดี บรรดาหัวคะแนนที่คอยรับเบี้ยบ้ายรายทางก็ดี ข้าราชการ ทหาร ตำรวจที่ทักษิณขุนมา 5-6 ปีก็ดี รากหญ้าที่หวังพึ่งก็ดี แนวร่วมฉวยใช้ และแนวร่วมมุมกลับ ที่หวังโดยสารไปจนถึงวันอวสานที่แท้จริงของทักษิณ เพื่อขึ้นสู่อำนาจเสียเองก็ดี ล้วนแต่เป็นผู้ยึดมั่นในธรรมประเภทเดียวกันทั้งสิ้น แต่เป็นธรมของอธรรมวาที หาใช่ธรรมของธรรมวาทีไม่
นั่นก็คือ ธรรมะที่มีความทะยานอยากเป็นมูล 9 ประการ ดังนี้
1. เพราะอาศัย ความทะยานอยาก จึงมีการแสวงหา
2. เพระอาศัยการแสวงหา จึงมีลาภ
3. เพราะอาศัยลาภ จึงมี การวินิจฉัย
4. เพราะอาศัย การวินิจฉัย จึงมีความกำหนัด (หรือ ความคิด) ด้วยอำนาจแห่งความพอใจ
5. เพราะอาศัย ความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความพอใจ จึงมี การฝังใจ
6. เพราะอาศัย การฝังใจ จึงมี การหวงแหน
7. เพราะอาศัย การหวงแหน จึงมี ความตระหนี่
8. เพราะอาศัย ความตระหนี่ จึงมี การอารักขา
9. เพราะมีการอารักขาเป็นเหตุ จึงมีการจับท่อนไม้ การจับศัตรา การทะเลาะ การแตกแยก การกล่าวขัดแย้งกัน การชี้หน้าด่ากัน การพูดส่อเสียด การพูดปด และธรรมที่เป็นอกุศลอีกเป็นอเนก
เมื่อผมเขียนบทความเรื่อง “มูลเหตุวิวาท ประชาธิปไตยของทักษิณ” ในวันที่ 9 เมษายน นั้น ผมนึกไม่ถึงว่ารัฐบาลจะอ่อนแอ ไร้ความสามารถและขาดความรับผิดชอบ จนกระทั่งปล่อยให้พวกเดนมนุษย์ ซึ่งเป็น อธรรมวาที ทำลายการประชุมสุดยอดของอาเซียน และทำลายชื่อเสียงที่มีมาแต่โบราณของชาติไทย ลงได้ง่ายๆในวันที่ 11 เมษายน 2552
ผมเกรงว่าความล้มเหลวในการรักษาความสงบและศีลธรรมอันดีของประชาชนภายใน จนกระทั่งเมืองไทยไม่สามารถต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองตามประเพณีไทยแท้แต่โบราณได้ จะทำให้ฝูงชน อธรรมวาที ย่ามใจ และจะทำให้บรรดาธรรมวาที ส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สงบเสงี่ยมรักสันติพากันถอดใจ พากันหนีสาปสูญ หรือไม่ก็เข้าไปอยู่ใต้การคุ้มครองของอธรรมวาที
ในที่สุดก็เมืองไทยก็จะตกอยู่ในสภาวะธรรมใหม่ ดังที่ท่านผู้ทรงศีลส่งพระคาถาของพระพุทธเจ้ามาให้ คือ
“อธรรมวาทีมากกว่าธรรมวาที แต่นั้น สิ่งที่พวกมากถือเอาจึงเป็นสัจจะ เพราะเหตุนั้น พวกมากกว่าจึงพากันสละธรรม ถือเอาอธรรม พวกอธรรมวาทีเหล่านั้น ยึดอธรรมเป็นหลัก ย่อมเกิดในอบาย”
ท่านผู้อ่านคงเห็นแล้ว ที่พัทยา ที่เชียงใหม่ ที่อุดรธานี ที่มัฆวาน ที่ บชน. ที่บุรีรัมย์ ฯลฯ ภาพที่ไม่ต่างกับอัฟริกา ฝูงชนกลุ่มหนึ่งกระโดดเข้าขยี้ขย่ำเพื่อนร่วมชาติเหมือนสัตว์ร้ายกระหายเลือด ภาพเหล่านี้จะกระจายไปทั่วเมื่อแผ่นดินไทยกลายเป็นแผ่นดินแดงไปตามคำประกาศของอธรรมวาที
ต่อไปนี้จะไม่มีอีกหรือ...เมืองไทยที่เราเคยรู้จัก