xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณทุบ“ ป๋าเปรม-สุรยุทธ์” พุ่งเป้า “ จุดอ่อน ” คนรอบวัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ - ซูเปอร์เพาเวอร์” ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล้าที่จะประกาศก้องผ่านวีดีโอลิงก์เพื่อปลุกม็อบเสื้อแดงที่ล้อมทำเนียบรัฐบาล คือ
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
ซึ่งเป็นข้อมูลที่รู้กันอยู่แล้วว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่เขาพูดมาแต่ต้นคือใคร ..หากแต่เมื่อชื่อของ“ป๋าเปรม”ถูกหยิบยกขึ้นมาเปิดโปงกลางเวทีเพื่อปลุกเสื้อแดง และรากหญ้าแล้วย่อมสร้างแรงกระแทกที่รุนแรงทั้งตัวบุคคล องค์กร และสถาบัน
“ทักษิณ” บอกว่า“ป๋าหยุดเถอะ” ซึ่ง“ป๋า” คนนี้ ก็คือคนๆเดียวกับที่เขายกมือขึ้นไหว้กลางงานศพแม่ของพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อกลางปี2551 เมื่อตอนที่เขากลับมาประเทศไทย เพื่อขึ้นศาล เพราะเขาแน่ใจว่า
ผู้มากบารมีผู้นี้คุมเกมในการทำลายเขาอยู่!
ในวันนั้น ดูเหมือนมีความหวัง และสัญญาณที่ดีว่ามี “ช่องทาง” ที่จะเปิดการเจรจาต่อรองในเรื่องคดีต่างๆ แต่ทว่าผลที่ปรากฏออกมา ไม่เป็นเช่นที่ต้องการ
“ทักษิณ” ยังถูกรุกอยู่เรื่อยๆ เช่นเดียวกับแนวรบของพ.ต.ท.ทักษิณในโลกไซเบอร์ยังดำเนินต่อไป ไม่เคยรามือในสู้รบปรบมือกับ“เบื้องสูง”และ“อำมาตยาธิปไตย”
เอกสารใส่ซอง ส่งให้“นักการเมือง-ทหาร-ตำรวจ” รวมจำนวน 3 ฉบับ ส่งผ่านไปอีกทอดถึง“ผู้หญิงสูงศักดิ์” ที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิด เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงถึงความจงรักภักดี และเปิดโปงพวกกลุ่มเพ็ดทูล ที่อาจทำให้“เจ้านาย”เกิดความเข้าใจผิด
...แต่ผลจากจดหมายในการขอเจรจา ก็ยังไม่เกิดผล
เขาปักใจเชื่อว่า “ป๋าเปรม” เกลียดเขาเพราะเชื่อในสิ่งที่พล.อ.สุรยูทธ์ จุลานนท์ รายงานเรื่องต่างๆ ให้ฟังจากที่ พล.อ.สุรยุทธ์ มีอคติ และแค้นลึกจากตอนที่เป็นผบ.ทบ. และถูกเด้งไปเป็นผบ.สส. ก่อนการโยกย้ายใหญ่เดือนเม.ย. ล่วงหน้า1 เดือน
“ทักษิณ”นำเรื่องนี้มาพูดผ่านวีดีโอลิงก์ ที่เชียงใหม่- ทำเนียบรัฐบาล ตอกย้ำเพื่อชี้ว่า เป็นความแค้นส่วนตัว เป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ต้องเอาประเทศชาติมาแลก
ตอกย้ำด้วยข้อมูลของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ถูก”ล็อค”เป็นพยาน เพื่อการันตีว่าอดีตนายทหารภาพพจน์ดีที่เป็นองคมนตรีอยู่ในปัจจุบัน ทำเพื่อประโยชน์ตัวเองไม่ได้ทำเพื่อประเทศชาติ เสียสัจจะรับเป็นนายกรัฐมนตรี
ทั้งที่“พัลลภ” เคยเสนอชื่อ“บิ๊กแอ้ด”ในที่ประชุมให้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเห็นว่าเหมาะสมในสถานการณ์หลังการปฏิวัติ ที่ต้องใช้ทหารเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อดูแลด้านความมั่นคง แต่“บิ๊กแอ้ด”ปฏิเสธ บอกว่าเราทำเพื่อประเทศชาติ พวกเราจะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆทั้งสิ้น และในขณะที่เสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมก่อการ หนุน“ท่านชาญชัย” เพราะเห็นว่า เป็นบุคคลที่เด็ดขาด และขณะนั้นก็กำลังจะเกษียณอายุราชการอยู่
เลยเกิดอาการ”เซ็ง”รุ่นน้อง และอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตอนนั้นเขาเป็น ผบ.ค่ายศิริเสนา จ.พิษณุโลก ยศพันตรี และผู้หมวดแอ้ด ตอนนั้นยศร้อยโท เป็นลูกน้องอยู่ 2 เดือน
แน่นอนว่า งานนี้“สุรยุทธ์”เดี้ยง !
จากบาดแผล“เขายายเที่ยง” ตามมาด้วย การบริหารราชการแผ่นดินแบบ“ขิงแก่”ที่ไม่ได้สร้างผลงานจากการยึดอำนาจของคมช. การไม่จัดสรรประโยชน์ให้กลุ่มแนวร่วมหรือ แม้กระทั่งการไม่เหลียวแลผู้ร่วมก่อการก่อนการรัฐประหาร
ทำให้เขาอยู่อยู่ในสภาวะ ”โดดเดี่ยว”
แม้กระทั่งกองทัพเอง ที่ขณะนี้ดูเหมือนจะผนึกแน่นกับ“การเมือง” และมองสถานการณ์“ทักษิณ” อยู่ห่างๆ เพราะหากแตะมากไป ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักจากบุคคลเป็นสถาบัน
อีกทั้งการปฏิบัติต่อ “เปรม-สุรยุทธ์” ก็เป็นประเพณีของจปร.ในเรื่องความอาวุโส ไม่ได้มีความใกล้ชิดผูกพันใกล้ชิดเหมือนยุค“ลูกป๋า”เรืองอำนาจ
ที่สำคัญคือ หัวขบวนอย่างพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ที่ยังมีเรื่องฝังใจในอดีตกับ “สุรยุทธ์” เมื่อครั้งรับราชการ จนกลายเป็นความบาดหมางลงมาในระดับลูกน้อง จึงไม่แปลก เมื่อพล.อ.พัลลภ ออกมาแฉถึง“สุรยุทธ์” ตัว“บิ๊กป้อม" ถึงกับเอ่ยปากว่า
“เมื่อออกมาเปิดเช่นนี้ย่อมมีข้อมูล”
ไม่นับรวมกระแสข่าวที่“บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชาย“บิ๊กป้อม” ส่งสัญญาณในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการปัดฝุ่นคดี“เขายายเที่ยง”ขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อ“บิ๊กแอ้ด”ถูกโดดเดี่ยว และถูกกดดันจาก“ทักษิณ” อย่างหนัก ทำให้การเดินเกมของกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดสถาบันมากที่สุดอ่อนพลังไปมาก เหตุเพราะมือ“ปฏิบัติ”ของ“ป๋าเปรม”คือ“บิ๊กแอ้ด”นั่นเอง ขณะเดียวกัน ทำให้ภาพรวมของอำนาจในการต่อสู้ของ“ทักษิณ” มีพลังเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสใหม่ในการ “ต่อสู้” เพื่อหวังผลได้มากขึ้น ตามไปด้วย !!!
ประกอบกับการเช็คปฏิกิริยาของกองทัพ ที่ห่างเหินจาก“บ้านสี่เสา” แบบทิ้งระยะห่าง เพราะเป็นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์ยังอยู่ในอำนาจ ก็ยิ่งทำให้“ทักษิณ” ต้องทุบ"เปรม – สุรยุทธ์" ให้น่วม
จากเดิมที่ต้องมีการตบเท้า “พรึ่บพรั่บ” แต่ทุกอย่างเงียบสนิท
วิทยุแท็กซี่ยังคงก่นด่า“ไอ้เหงาสี่ศอก“ กับ“ไอ้ลูกคอมฯ ทรยศ” ก็ยังเปิดได้อย่างเสรี ทั้งที่นายกฯ ในฐานะผอ.รมน. และพล.อ.อนุพงษ์ รอง ผอ.รมน. ที่มีพ.ร.บ.ความมั่นคงอยู่ในมือ ไม่สามารถหยุดยั้งหรือทำอะไรได้แม้แต่น้อย
อีกทั้ง ยังมีท่าที “คัท-เอาต์" ประเด็น เพื่อไม่ให้มาเกี่ยวพันกับสถาบัน
หรือแม้กระทั่ง “ป๋าเปรม” ที่พูดอะไรไม่ได้มากไปกว่า “องคมนตรีไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง” ก็ไม่มี ผบ.เหล่าทัพรุมล้อม ปกป้อง เหมือนช่วงก่อนยุคคมช.
ในงานสานใจไทยสู่ใจใต้ ในช่วงวีดีโอลิงก์“ทักษิณ” แบบต่อเนื่อง “ป๋าเปรม”ก็ออกงานโครงการดังกล่าวที่ศูนย์กลางบริหารอิสลามแห่งประเทศไทย แบบเหงาๆ เพราะไร้เงาของ ผบ.เหล่าทัพ ที่มักจะมารวมตัวในยามสถานการณ์คับขัน แต่ว่าวันนั้นไม่มีใครมาแม้แต่คนเดียว
จะมีแต่เพียง“บิ๊กแอ้ด”ลูกรัก ในฐานะประธานมูลนิธิรัฐบุรุษ และประธานโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ ที่มาพร้อมกับ กรรมการมูลนิธิเท่านั้น
ในขณะที่บรรดา“องคมนตรี”ทั้งหลาย ที่กำลังถูกเอ็กซเรย์แบบรายบุคคล ถึงขนาดมี“กุนซือ”ในวอร์รูมเสื้อแดง เขียนแผนผังแบ่งสาย และความเกี่ยวพันกับ “เจ้านาย” องค์ต่างๆ แจกจ่ายในกลุ่มต้านอำมาตยาธิปไตย ซึ่งเหล่าบรรดา“ขิงแก่สุดๆ“เหล่านี้ แม้จะมีหลายสายก็จริง แต่ในยามนี้การรวมตัวเพื่อปรึกษาหารือในการแก้ไขสถานการณ์ที่ถูกรุกอย่างหนัก
การเคลื่อนไหวขบวนการเสื้อแดงโดยพุ่งเป้าไปที่องค์กรที่ปรึกษาฯ น่าจะเป็นการหวังผลในระดับที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก
และประมาทคนรอบข้าง“ทักษิณ”ที่มีแนวคิดแบบสองแนวทาง สามแนวรบ ไม่ได้!
ที่แม้วันนี้ 2 องคมนตรี จะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพราะป่วยคือ ท่านสันติ ทักราล อดีตประธานศาลฎีกา ที่มีอาการป่วยต่อเนื่อง และท่านธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่ล้มในห้องน้ำเมื่อเดือนก่อน แต่องคมนตรีที่เหลือ ก็ผนึกกันแน่น โดยไมได้คิดเรื่องราวระหว่างกันส่วนตัว หากแต่มองไปที่สถานการณ์รุกสถาบันอย่างหนักที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
ในขณะที่ มีข่าวลือว่า มีเหล่าบรรดานักการเมือง และทหารมากมายที่ถูก“สายป๋า- บิ๊กแอ้ด” พาเหรดไปหา“ทักษิณ” อีกหลายสาย ไม่ว่าจะเป็น“บิ๊กสุ” พล.อ. สุจินดา คราประยูร หรือ แม้กระทั่ง“บิ๊กเหวียง” พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ที่บินไปถึง“ดูไบ”
บ้างก็ว่าไปแนะนำ ให้กำลังใจ ...บ้างก็ว่าไปเตือน
แต่คนใกล้ชิดก็ปฏิเสธว่า เป็นข่าวลือเพื่อหวังผลบางประการ
แต่เหนืออื่นใด ทำให้เห็นว่า การขึ้นมามีอำนาจในยุค“เปรม– สุรยุทธ์” ส่งผลให้เกิด“ศัตรู” มากมาย อีกทั้งหลังยุค คมช. “ อำนาจ-ลาภยศ–ผลประโยชน์” ทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งขั้วได้อย่างรวดเร็วในสายที่มีอำนาจ ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดขบวนการแฉโพยออกมาเช่นนี้
บางทีคำพูดของ“บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช. ที่พูดกับคนใกล้ชิด อาจจะจริงตรงที่ว่า“ถ้าเราไม่เด็ดขาด วันหนึ่งเขาจะกลับมาจัดการกับเรา“
เพราะการบริหารประโยชน์ยุคหลังคมช.ไม่สัมฤทธิ์ผล....ส่งผลให้“ทักษิณ”ประเมินได้ว่า เกมนี้สามารถสู้ได้ถึงไหน เพราะ“ต้นทุน”ที่มี คงเพียงพอที่จะใช้ “แทงข้างหลัง ทะลุถึงหัวใจ”ได้เลยทีเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น