ASTV ผู้จัดการรายวัน- แบร์เกอรี่ เป็นร้านเบเกอรี่ ที่นำรูปหมีมาเป็นสัญลักษณ์ของร้าน ตั้งแต่การตั้งชื่อร้าน ซึ่งก็ได้นำคำว่า Bear… มารวมกับคำว่า Bakery…. ออกมาเป็น Bearkery ภายในร้านได้มีการนำรูปแบบของหมี มาเป็นรูปแบบของขนม เพื่อเอาใจคนรักน้องหมี เช่นเดียวกับเจ้าของ "นางสาวปิยธิดา บูรณพงษ์ศักดิ์" ที่หลงเสน่ห์น้องหมีจนได้ออกมาเป็นร้านแบร์เกอรี่ จนถึงทุกวันนี้
นางสาวปิยธิดา เล่าว่า ที่มาของร้านแบร์เกอรี่ เกิดขึ้นมาจากตนเองรักและชื่นชอบการทำอาหาร เมื่อได้ลาออกจากการทำงานประจำ จึงคิดว่าจะมีธุรกิจเป็นของตนเอง และได้เลือกเปิดร้านอาหารประเภทเบเกอรี่ โดยได้ไปเรียนการทำเบเกอรี่ จากเมือง เมลเบิล ประเทศออสเตรเลีย ที่สถาบันสอนการทำอาหาร William Anglish Institue of Taste เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งสถาบันดังกล่าวมีชื่อเสียงด้านอาหารประเภทเบเกอรี่
หลังจากเรียนจบจากสถาบันดังกล่าว ได้กลับมาทดลองทำก่อนตัดสินใจเปิดร้านแห่งแรกที่ สยามสแควร์ เป็นลักษณะคีออส ซึ่งไม่มีที่นั่งทาน ลูกค้าต้องซื้อกลับบ้าน ซึ่งประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก เพราะลูกค้าที่นั่น เป็นกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา ซึ่งวัยรุ่นส่วนใหญ่จะชื่นชอบตุ๊กตาหมี และสินค้าที่มีความทันสมัย
โดยขนมเกือบ 80 % ของทางร้านออกแบบเป็นรูปหมี ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงนั้น ยังไม่เคยมีร้านเบเกอรี่ที่เป็นสัญลักษณ์รูปหมีมาก่อน และความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครบวกกับความน่ารักตรงใจวัยรุ่น ทำให้ร้านแบร์เกอรี่ สามารถดึงดูดลูกค้าในย่านนั้นได้ไม่ยาก และประกอบกับรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ถูกใจลูกค้า “แบร์เกอรี่” สาขาแรกในสยามสแคร์ แจ้งเกิดได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อประสบความสำเร็จในสาขาแรก จึงได้เปิดสาขาที่ 2 ซึ่งเป็นร้านเบเกอรี่แบบสแตนด์อะโลนบนถนนพัฒนาการ ซึ่งชื่อเสียงจากร้านสาขาแรกที่สยามสแควร์ ทำให้ได้ลูกค้าจากที่สยามสแควร์ตามมาซื้อในสาขานี้ โดยสาขาที่ 2 จะได้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มครอบครัว เพราะในย่านพัฒนาการมีบ้านจัดสรรอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งในสาขานี้จะขายได้มากในช่วงวันหยุด โดยลูกค้าจะมานั่งกินกันภายในร้าน
“การเลือกใช้สัญญลักษณ์รูปหมีมาเป็นจุดขายของร้านแบร์เกอรี่ เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนชอบทุกอย่างที่เป็นรูปหมี เดิมตนเองชอบสะสมตุ๊กตาหมี เมื่อตัดสินใจมาเปิดร้านต้องการนำสัญญลักษณ์รูปหมีมาใช้ ซึ่งกลายเป็นจุดขายอย่างหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าจดจำร้านแห่งนี้ได้ เพราะเราถือว่าเป็นร้านเบเกอร์รี่แห่งแรกที่ใช้สัญลักษณ์รูปหมี”
สำหรับขนมที่ขึ้นชื่อของที่ร้าน คือ บราวนี่ ซึ่งเป็นร้านแรกที่ทำบราวนี่ออกมามากถึง 12 รส ลูกค้าส่วนใหญ่เมื่อมาที่ร้านก็ต้องสั่งบราวนี่ ส่วนขนมขึ้นชื่อของที่ร้านอีกอย่างหนึ่งคือ ขนมปังรูปหมี ส่วนที่เสิร์ฟเป็นเซ็ทที่ขึ้นชื่อลูกค้าสั่งประจำ คือ Teddy Set และ Mini Bear Set หรือในช่วงเทศกาลมีจัดเมนูเซ็ทพิเศษเพื่อต้อนรับเทศกาลด้วย เช่น วันวาเลนไทน์ จัดเซ็ทรูปหัวใจ เป็นต้น
“การที่เราใช้สัญลักษณ์รูปหมี ต้องการจะสื่อให้ทุกอย่างภายในร้านเป็นรูปหมี แต่เนื่องจากขนมบางชนิดไม่สามารถทำออกมาเป็นรูปหมีได้ แต่ก็จะมีถุง หรือกล่องที่ทำออกมาเป็นรูปหมีแทน ที่ผ่านมาได้ลูกค้าที่ชื่นชอบตุ๊กตาเหมือนกันมาเป็นลูกค้าประจำ ซึ่งจากการเปิดที่สาขา 2 ที่พัฒนาการจะเห็นว่าคนที่ชื่นชอบหมีไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น แต่กลับอยู่ทุกวัย อย่างไรก็ตาม ลูกค้าที่มากินและกลับมากินอีกทุกคนจะติดใจในรสชาติและหน้าตามาเป็นอันดับหนึ่ง”
ส่วนราคาของร้านแบเกอรี่ เมื่อเทียบกับร้านเบเกอร์รี่ทั่วไป ราคาจะอยู่กลาง โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 30 บาทถึง 50 บาท ต่อชิ้น การตั้งราคาไม่ตั้งสูงมาก เพราะปัจจุบันการแข่งขันในตลาดของกินนั้นค่อนข้างสูง และสินค้าค่อนข้างหลากหลายให้ลูกค้าได้เลือกมาก โดยเฉพาะในย่านสยามสแควร์ในปัจจุบันมีสินค้าประเภทของกินแปลกๆใหม่เข้ามาอยู่เรื่อย ดังนั้น การตั้งราคาก็จะต้องให้สมเหตุสมผล จึงจะสามารถอยู่ได้
นางสาวปิยธิดา เล่าถึงการบริหารจัดการภายในร้าน นั้น ในแต่ละสาขาจะมีผู้จัดการร้านช่วยดูแล ซึ่งตนเองก็จะเข้าไปดูแลด้วยเป็นบางเวลา ในส่วนของการผลิต จะใช้แหล่งผลิตที่เดียวที่สาขาบนถนนพัฒนาการ โดยในส่วนการผลิตจะดูแลการผลิตอย่างใกล้ชิด บางอย่างต้องลงมือทำเอง สูตรทุกตัวของขนมจะต้องมาจากตนเอง ทั้งหมด เพื่อจะได้คงรสชาติให้เหมือนเดิมทุกครั้ง
ทั้งนี้ ส่วนการตลาดมีแผนจะเปิดสาขาที่ 3 และที่ 4 ต่อไปขณะนี้กำลังดูสถานที่อยู่ คาดว่าจะเปิดสาขาที่ 3 ได้ในเร็วๆ นี้ และนอกจากการทำเบเกอร์รี่ขายที่ร้านทั้ง 2 แห่งแล้ว ยังได้ทำส่งไปขายตามร้านเบเกอรี่ที่สนใจมาสั่งซื้อไปขาย ซึ่งปัจจุบันมีส่งอยู่ในย่านใกล้เพียงไม่กี่แห่ง แต่มีแผนจะขยายตลาดในส่วนของขายส่งเพิ่มมากขึ้นกว่าในอนาคตด้วย
สนใจโทร. 0-2319-3355
นางสาวปิยธิดา เล่าว่า ที่มาของร้านแบร์เกอรี่ เกิดขึ้นมาจากตนเองรักและชื่นชอบการทำอาหาร เมื่อได้ลาออกจากการทำงานประจำ จึงคิดว่าจะมีธุรกิจเป็นของตนเอง และได้เลือกเปิดร้านอาหารประเภทเบเกอรี่ โดยได้ไปเรียนการทำเบเกอรี่ จากเมือง เมลเบิล ประเทศออสเตรเลีย ที่สถาบันสอนการทำอาหาร William Anglish Institue of Taste เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งสถาบันดังกล่าวมีชื่อเสียงด้านอาหารประเภทเบเกอรี่
หลังจากเรียนจบจากสถาบันดังกล่าว ได้กลับมาทดลองทำก่อนตัดสินใจเปิดร้านแห่งแรกที่ สยามสแควร์ เป็นลักษณะคีออส ซึ่งไม่มีที่นั่งทาน ลูกค้าต้องซื้อกลับบ้าน ซึ่งประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก เพราะลูกค้าที่นั่น เป็นกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา ซึ่งวัยรุ่นส่วนใหญ่จะชื่นชอบตุ๊กตาหมี และสินค้าที่มีความทันสมัย
โดยขนมเกือบ 80 % ของทางร้านออกแบบเป็นรูปหมี ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงนั้น ยังไม่เคยมีร้านเบเกอรี่ที่เป็นสัญลักษณ์รูปหมีมาก่อน และความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครบวกกับความน่ารักตรงใจวัยรุ่น ทำให้ร้านแบร์เกอรี่ สามารถดึงดูดลูกค้าในย่านนั้นได้ไม่ยาก และประกอบกับรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ถูกใจลูกค้า “แบร์เกอรี่” สาขาแรกในสยามสแคร์ แจ้งเกิดได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อประสบความสำเร็จในสาขาแรก จึงได้เปิดสาขาที่ 2 ซึ่งเป็นร้านเบเกอรี่แบบสแตนด์อะโลนบนถนนพัฒนาการ ซึ่งชื่อเสียงจากร้านสาขาแรกที่สยามสแควร์ ทำให้ได้ลูกค้าจากที่สยามสแควร์ตามมาซื้อในสาขานี้ โดยสาขาที่ 2 จะได้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มครอบครัว เพราะในย่านพัฒนาการมีบ้านจัดสรรอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งในสาขานี้จะขายได้มากในช่วงวันหยุด โดยลูกค้าจะมานั่งกินกันภายในร้าน
“การเลือกใช้สัญญลักษณ์รูปหมีมาเป็นจุดขายของร้านแบร์เกอรี่ เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนชอบทุกอย่างที่เป็นรูปหมี เดิมตนเองชอบสะสมตุ๊กตาหมี เมื่อตัดสินใจมาเปิดร้านต้องการนำสัญญลักษณ์รูปหมีมาใช้ ซึ่งกลายเป็นจุดขายอย่างหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าจดจำร้านแห่งนี้ได้ เพราะเราถือว่าเป็นร้านเบเกอร์รี่แห่งแรกที่ใช้สัญลักษณ์รูปหมี”
สำหรับขนมที่ขึ้นชื่อของที่ร้าน คือ บราวนี่ ซึ่งเป็นร้านแรกที่ทำบราวนี่ออกมามากถึง 12 รส ลูกค้าส่วนใหญ่เมื่อมาที่ร้านก็ต้องสั่งบราวนี่ ส่วนขนมขึ้นชื่อของที่ร้านอีกอย่างหนึ่งคือ ขนมปังรูปหมี ส่วนที่เสิร์ฟเป็นเซ็ทที่ขึ้นชื่อลูกค้าสั่งประจำ คือ Teddy Set และ Mini Bear Set หรือในช่วงเทศกาลมีจัดเมนูเซ็ทพิเศษเพื่อต้อนรับเทศกาลด้วย เช่น วันวาเลนไทน์ จัดเซ็ทรูปหัวใจ เป็นต้น
“การที่เราใช้สัญลักษณ์รูปหมี ต้องการจะสื่อให้ทุกอย่างภายในร้านเป็นรูปหมี แต่เนื่องจากขนมบางชนิดไม่สามารถทำออกมาเป็นรูปหมีได้ แต่ก็จะมีถุง หรือกล่องที่ทำออกมาเป็นรูปหมีแทน ที่ผ่านมาได้ลูกค้าที่ชื่นชอบตุ๊กตาเหมือนกันมาเป็นลูกค้าประจำ ซึ่งจากการเปิดที่สาขา 2 ที่พัฒนาการจะเห็นว่าคนที่ชื่นชอบหมีไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น แต่กลับอยู่ทุกวัย อย่างไรก็ตาม ลูกค้าที่มากินและกลับมากินอีกทุกคนจะติดใจในรสชาติและหน้าตามาเป็นอันดับหนึ่ง”
ส่วนราคาของร้านแบเกอรี่ เมื่อเทียบกับร้านเบเกอร์รี่ทั่วไป ราคาจะอยู่กลาง โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 30 บาทถึง 50 บาท ต่อชิ้น การตั้งราคาไม่ตั้งสูงมาก เพราะปัจจุบันการแข่งขันในตลาดของกินนั้นค่อนข้างสูง และสินค้าค่อนข้างหลากหลายให้ลูกค้าได้เลือกมาก โดยเฉพาะในย่านสยามสแควร์ในปัจจุบันมีสินค้าประเภทของกินแปลกๆใหม่เข้ามาอยู่เรื่อย ดังนั้น การตั้งราคาก็จะต้องให้สมเหตุสมผล จึงจะสามารถอยู่ได้
นางสาวปิยธิดา เล่าถึงการบริหารจัดการภายในร้าน นั้น ในแต่ละสาขาจะมีผู้จัดการร้านช่วยดูแล ซึ่งตนเองก็จะเข้าไปดูแลด้วยเป็นบางเวลา ในส่วนของการผลิต จะใช้แหล่งผลิตที่เดียวที่สาขาบนถนนพัฒนาการ โดยในส่วนการผลิตจะดูแลการผลิตอย่างใกล้ชิด บางอย่างต้องลงมือทำเอง สูตรทุกตัวของขนมจะต้องมาจากตนเอง ทั้งหมด เพื่อจะได้คงรสชาติให้เหมือนเดิมทุกครั้ง
ทั้งนี้ ส่วนการตลาดมีแผนจะเปิดสาขาที่ 3 และที่ 4 ต่อไปขณะนี้กำลังดูสถานที่อยู่ คาดว่าจะเปิดสาขาที่ 3 ได้ในเร็วๆ นี้ และนอกจากการทำเบเกอร์รี่ขายที่ร้านทั้ง 2 แห่งแล้ว ยังได้ทำส่งไปขายตามร้านเบเกอรี่ที่สนใจมาสั่งซื้อไปขาย ซึ่งปัจจุบันมีส่งอยู่ในย่านใกล้เพียงไม่กี่แห่ง แต่มีแผนจะขยายตลาดในส่วนของขายส่งเพิ่มมากขึ้นกว่าในอนาคตด้วย
สนใจโทร. 0-2319-3355