ASTVผู้จัดการรายวัน – “ไนท์แฟรงค์” เผยตลาดอสังหาฯยอดขายอืด ผู้ประกอบการ-โบรกเกอร์เหนื่อย แต่โอกาสเกิดโอเวอร์ซัปพลายยาก เหตุดีมานด์-ซัปพลายปรับลดในระดับที่สมดุล หมดยุคนั่งขายที่เซลล์ออฟฟิศ ถึงเวลาทำการตลาดเชิงรุก ล่าสุดเตรียมจัดงาน “Taste of Living” ระหว่างวันที่ 27 เม.ย.-3พ.ค.52 ขน 7 โครงการขายราคาพิเศษแถมโปรโมชันอีกเพียบ
นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวยอมรับว่า ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันชะลอตัว ทำให้คนซื้อมีน้อยลง บางรายได้รับผลกระทบจากการลงทุนในตลาดหุ้น และต้องยอมรับว่าช่วงนี้ผู้ประกอบการร่วมถึงผู้บริหารโครงการต้องเหนื่อยทุกราย ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองท่องเที่ยว ยังได้รับผลกระทบจากลูกค้าชาวต่างชาติที่ลดลง แต่กลุ่มนี้ถือว่ามีจำนวนไม่มาก
อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาฯถือว่ามีการปรับตัวได้เร็วมาก เมื่อความต้องการลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการปรับตัวด้วยการลดกำลังการผลิตลงตามทันที ทำให้ความต้องการซื้อ(ดีมานด์)และบ้าน(ซัปพลาย)อยู่ในภาวะที่สมดุลกันมากขึ้น โอกาศเกิดภาวะที่อยู่อาศัยล้นตลาด(โอเวอร์ซัปพลาย)เหมือนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 จึงมีน้อยมาก
“ ตอนนี้ ทั้งผู้ประกอบการและโบรกเกอร์ช่วงนี้ต้องหน้าดำกันเป็นแถว เพราะสินค้าขายอยาก จะให้มีกำไรมากเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจก็คงต้องมีกำไร แต่อาจเหลือน้อยลง เพราะมีสินค้าค้างสต๊อกอยู่ ซึ่งอาจเป็นส่วนที่เป็นกำไร ทำให้ไม่ต้องรีบร้อนขายจนต้องเอาออกมาเทขายราคาถูก ส่วนกรณีลูกค้าทิ้งดาวน์ปัจจุบันถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมาก หากพิจารณาจากลูกค้าของบริษัทพบว่า 95% โอนบ้านหมด ส่วนที่ไม่ได้รับโอนเนื่องมาจากขอสินเชื่อไม่ผ่านมากกว่า และกลุ่มนี้จะเป็นลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ที่แบงก์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อ”
นายพนม กล่าวต่อว่า เมื่อภาวะการขายทำได้ยากการขายของพนักงาน(เซลล์ออฟฟิศ)อย่างเดี่ยวทำไม่ได้แล้ว ดังนั้น การทำการตลาดจะต้องเน้นเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งไนท์แฟรงค์ได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการหันมาออกบูทตามห้างสรรพสินค้ามากขึ้น โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้จัดงานออกบูธเล็กๆ ที่ศูนย์การค้า 2-3 ครั้งปรากฎว่ามียอดขายครั้งละ 70-80 ล้านบาท ซึ่งถือว่าดีและคุ้มค่า จึงมีแผนที่จะจัดงานใหญ่ภายใต้ชื่อ “Taste of Living” ขึ้นระหว่างวันที่ 22 เม.ย.-3 พ.ค.52 ณ สยามพารากอนชั้นเอ็ม โดยนำที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว วิลลา คอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยว เช่น จ. ระยอง, หัวหิน, ชะอำ และพัทยา มาเสนอขายในราคาลดพิเศษพร้อมโปรโมชันอีกจำนวนมาก
โดยนำที่อยู่อาศัย 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้นบาท ทั้งในกรุงเทพและเมืองท่องเที่ยว ที่บริษัทรับบริหารงานขายให้ ได้แก่ โครงการโบ๊ทเฮ้าส์ หัวหิน มูลค่าเหลือขาย 1,800 ล้านบาท, โครงการภูผาธารา จ.ระยอง มูลค่าเหลือขาย 900 ล้านบาท, โครงการชาญทะเล หัวหิน มูลค่าเหลือขายประมาณ 500-600 ล้านบาท และโครงการมายรีสอร์ท ย่านแยกอโศก-เพชรบุรีมูลค่าเหลือขาย 1,200 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการจากพันธมิตรธุรกิจ ได่แก่ คาซา ริวา ของบริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน)และโครงการเดอะ สตาร์ เอสเตท แอท พัฒนาการ 68 ของบริษัท อีสเทอร์นสตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) และโครงการพาร์คเลน จอมเทียน รีสอร์ท ร่วมนำสินค้ามาออกบูธด้วย
สำหรับแผนการดำเนินงานของไนท์แฟรงค์ในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขาย 2,500-3,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1 มียอดขายแล้ว 200 ล้านบาท ในปีนี้มีแผนรับบริหารโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่ม 2 แห่งในกรุงเทพฯ 1 โครงการและศรีราชา จ.ชลบุรี 1 โครงการมูลค่ารวม 1,700-1,800 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในเร็วๆนี้
นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวยอมรับว่า ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันชะลอตัว ทำให้คนซื้อมีน้อยลง บางรายได้รับผลกระทบจากการลงทุนในตลาดหุ้น และต้องยอมรับว่าช่วงนี้ผู้ประกอบการร่วมถึงผู้บริหารโครงการต้องเหนื่อยทุกราย ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองท่องเที่ยว ยังได้รับผลกระทบจากลูกค้าชาวต่างชาติที่ลดลง แต่กลุ่มนี้ถือว่ามีจำนวนไม่มาก
อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาฯถือว่ามีการปรับตัวได้เร็วมาก เมื่อความต้องการลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการปรับตัวด้วยการลดกำลังการผลิตลงตามทันที ทำให้ความต้องการซื้อ(ดีมานด์)และบ้าน(ซัปพลาย)อยู่ในภาวะที่สมดุลกันมากขึ้น โอกาศเกิดภาวะที่อยู่อาศัยล้นตลาด(โอเวอร์ซัปพลาย)เหมือนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 จึงมีน้อยมาก
“ ตอนนี้ ทั้งผู้ประกอบการและโบรกเกอร์ช่วงนี้ต้องหน้าดำกันเป็นแถว เพราะสินค้าขายอยาก จะให้มีกำไรมากเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจก็คงต้องมีกำไร แต่อาจเหลือน้อยลง เพราะมีสินค้าค้างสต๊อกอยู่ ซึ่งอาจเป็นส่วนที่เป็นกำไร ทำให้ไม่ต้องรีบร้อนขายจนต้องเอาออกมาเทขายราคาถูก ส่วนกรณีลูกค้าทิ้งดาวน์ปัจจุบันถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมาก หากพิจารณาจากลูกค้าของบริษัทพบว่า 95% โอนบ้านหมด ส่วนที่ไม่ได้รับโอนเนื่องมาจากขอสินเชื่อไม่ผ่านมากกว่า และกลุ่มนี้จะเป็นลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ที่แบงก์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อ”
นายพนม กล่าวต่อว่า เมื่อภาวะการขายทำได้ยากการขายของพนักงาน(เซลล์ออฟฟิศ)อย่างเดี่ยวทำไม่ได้แล้ว ดังนั้น การทำการตลาดจะต้องเน้นเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งไนท์แฟรงค์ได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการหันมาออกบูทตามห้างสรรพสินค้ามากขึ้น โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้จัดงานออกบูธเล็กๆ ที่ศูนย์การค้า 2-3 ครั้งปรากฎว่ามียอดขายครั้งละ 70-80 ล้านบาท ซึ่งถือว่าดีและคุ้มค่า จึงมีแผนที่จะจัดงานใหญ่ภายใต้ชื่อ “Taste of Living” ขึ้นระหว่างวันที่ 22 เม.ย.-3 พ.ค.52 ณ สยามพารากอนชั้นเอ็ม โดยนำที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว วิลลา คอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยว เช่น จ. ระยอง, หัวหิน, ชะอำ และพัทยา มาเสนอขายในราคาลดพิเศษพร้อมโปรโมชันอีกจำนวนมาก
โดยนำที่อยู่อาศัย 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้นบาท ทั้งในกรุงเทพและเมืองท่องเที่ยว ที่บริษัทรับบริหารงานขายให้ ได้แก่ โครงการโบ๊ทเฮ้าส์ หัวหิน มูลค่าเหลือขาย 1,800 ล้านบาท, โครงการภูผาธารา จ.ระยอง มูลค่าเหลือขาย 900 ล้านบาท, โครงการชาญทะเล หัวหิน มูลค่าเหลือขายประมาณ 500-600 ล้านบาท และโครงการมายรีสอร์ท ย่านแยกอโศก-เพชรบุรีมูลค่าเหลือขาย 1,200 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการจากพันธมิตรธุรกิจ ได่แก่ คาซา ริวา ของบริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน)และโครงการเดอะ สตาร์ เอสเตท แอท พัฒนาการ 68 ของบริษัท อีสเทอร์นสตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) และโครงการพาร์คเลน จอมเทียน รีสอร์ท ร่วมนำสินค้ามาออกบูธด้วย
สำหรับแผนการดำเนินงานของไนท์แฟรงค์ในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขาย 2,500-3,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1 มียอดขายแล้ว 200 ล้านบาท ในปีนี้มีแผนรับบริหารโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่ม 2 แห่งในกรุงเทพฯ 1 โครงการและศรีราชา จ.ชลบุรี 1 โครงการมูลค่ารวม 1,700-1,800 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในเร็วๆนี้