ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - “เมล์เขียว” ยักษ์ใหญ่ธุรกิจเดินรถภาคเหนือตอนบนครวญปี 51 จำนวนผู้โดยสารลด ทั้งปีทำกำไรได้แค่ 2-3% เหตุน้ำมันแพง-ภาวะเศรษฐกิจส่งผลคนลดความถี่การเดินทาง ขณะที่ปี 52 ตั้งเป้าประคองตัว แต่ยันไม่มีปลดคนงาน พร้อมเผยเตรียมศึกษาความเป็นไปได้บุกเบิกเปิดเส้นทางเดินรถใหม่ จากเชียงใหม่เชื่อมโยงไปภาคใต้และตะวันตก คาดปี 53 ประเดิมเที่ยวแรก
นายสมชาย ทองคำคูณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจเดินรถโดยสารประจำทางครอบคลุมเส้นทางในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ที่รู้จักกันดีในชื่อ “เมล์เขียว” เปิดเผยถึงภาพรวมผลประกอบการในปี 2551 ว่า จำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการตลอดทั้งปีลดลงจากปีก่อนหน้าประมาณ 3% จากปกติที่จะมีผู้โดยสารเฉลี่ยปีละประมาณ 1.4 ล้านคน เช่นเดียวกับผลกระกอบการที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผลกำไรเล็กน้อยประมาณ 2-3% ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย เนื่องจากผลกำไรที่จะเหมาะสมสำหรับการนำไปต่อยอดพัฒนาขยายธุรกิจอย่างน้อยควรจะอยู่ที่ประมาณ 15% ทั้งนี้ผลประกอบการที่ลดลงนั้น สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2551 และภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมือง ทำให้ผู้โดยสารลดความถี่ในการเดินทางลง
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2552 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายภาพรวมผลประกอบการอย่างน้อยให้ทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับปี 2551 ที่ผ่านมา หรือมีรายได้ราว 280 ล้านบาท เพราะยังคงมีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจรถโดยสารประจำทาง ทั้งนี้ตามแผนของบริษัทฯ จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการขนส่งเดินรถมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทฯ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลิกจ้างพนักงานที่มีอยู่ประมาณ 600 คน แม้แต่คนเดียว เหมือนหลายธุรกิจที่ประสบปัญหา
“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือปี 2550 และ 2551 ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลประกอบการลดลง แต่หลังจากนี้ที่ราคาน้ำมันมีการปรับลดลงและเริ่มมีความคงที่มากขึ้น ประกอบกับการปรับตัวในการทำธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุน ทำให้มีความเชื่อมั่นว่าอนาคตของธุรกิจเดินรถโดยสารประจำทางจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้” นายสมชาย กล่าว
นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการ บริษัทชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จำกัด กล่าวถึงทิศทางการทำธุรกิจในอนาคตของบริษัท ว่า มองอนาคตของธุรกิจรถโดยสารประจำทางในอีก 5-10 ข้างหน้าว่าจะมีการเปิดเดินรถเชื่อมต่อต้นทางและปลายทางในประเทศในเส้นทางที่มีความยาวไกลมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ต้นทางเชียงใหม่กับปลายทางในภาคตะวันออก หรือภาคใต้ เป็นต้น รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับปลายทางในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งทางบริษัทฯ เองได้เตรียมที่จะทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับในเรื่องนี้เช่นกัน
ในปี 2552 ได้เตรียมที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดเส้นทางใหม่ เชื่อมต่อต้นทางเชียงใหม่กับปลายทางใหม่ ซึ่งมีระยะทางที่ยาวไกลมากขึ้น เล็งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยว คนทำงานและผู้ใช้แรงงาน ที่มีการเดินทางเป็นประจำ ซึ่งเบื้องต้นได้กำหนดจะเป็นเส้นทางเดินรถโดยสารประจำทางเชื่อมต่อไปยังปลายทางที่อยู่ในภาคใต้ และภาคตะวันตก เพราะปัจจุบันยังไม่มีการให้บริการในเส้นทางดังกล่าว โดยเท่ากับว่าบริษัทฯ จะเป็นผู้บุกเบิกเส้นทาง คาดว่าหากผลการศึกษาได้เส้นทางที่เหมาะสมแล้ว น่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงปี 2553
ส่วนการเปิดเส้นทางเดินรถเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจีนตอนใต้ และลาว หลังจากการเปิดใช้ถนน R3a แล้ว นายสมชาย กล่าวว่า บริษัทฯ มีแนวความคิดที่จะเปิดเส้นทางดังกล่าวเช่นกัน โดยที่ผ่านมาได้ประสานกับคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ(คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ ในการช่วยจับคู่พันธมิตรธุรกิจในจีนเพื่อการลงทุน โดยสนใจเปิดเส้นทางเดินรถจากเชียงใหม่ไปคุนหมิงของจีน และหลวงพระบางของลาว อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะติดขัดข้อกฎหมายที่จะต้องให้เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐกับรัฐ