ASTVผู้จัดการายวัน – ตลาดหุ้นเปิดรายชื่อ 5 บริษัทจดทะเบียนเข้าข่ายเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ก.ล.ต. หลังขาดทุนสุทธิ แม้หักผลขาดทุนจากการลงทุน โดยเฉพาะ BLISS, IEC และ LIVE ซึ่งผู้สอบบัญชีมีข้อสังเกตเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่อง และมีการถือหุ้นระหว่างกันคิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนชั่วคราว 258 ล้านบาท
วานนี้(30มี.ค) ตลาดหลักทรัพย์ได้รวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 และเป็นบริษัทที่หากไม่รวมกำไร(ขาดทุน)จากเงินลงทุนแล้วยังมีผลขาดทุนสุทธิ และเมื่อพิจารณาจากงบการเงินประจำปี 2551 เข้าข่ายต้องเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต.1/ จำนวน 5 บริษัท คือ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) (BLISS), บมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEN) ,บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอ็นจิเนียริง (IEC),บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE)และ บมจ.ซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น (SSE)
โดยผลดำเนินงานของทั้ง 5 บริษัทสำหรับงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ปรากฏว่า BLISS ขาดทุนสุทธิ 942 ล้านบาท โดยขาดทุนจากการลงทุน 702 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมขาดทุนจากเงินลงทุน 240 ล้านบาท GENขาดทุนสุทธิ 65 ล้านบาท ขาดทุนจากการลงทุน 2ล้านบาท ขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมขาดทุนจากเงินลงทุน 63 ล้านบาท IEC ขาดทุนสุทธิ 1,172 ล้านบาท ขาดทุนจากการลงทุน 706 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมขาดทุนจากเงินลงทุน 466 ล้านบาท
ด้าน LIVE ขาดทุนสุทธิ 253 ล้านบาท โดยขาดทุนจากการลงทุน 80 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมขาดทุนจากเงินลงทุน 173 ล้านบาท และ SSE ขาดทุนสุทธิ 33 ล้านบาท ขาดทุนจากการลงทุน 24ล้านบาท ขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมขาดทุนจากเงินลงทุน9ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯพบว่า ณ 31 ธันวาคม 2551 BLISS LIVE และ IEC มีสัดส่วนการลงทุนระหว่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดย BLISS มีเงินลงทุนใน LIVE และ IEC คิดเป็น 49.89% และ 48.97%ของมูลค่าเงินลงทุนชั่วคราว 60 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ LIVE มีเงินลงทุนใน IEC คิดเป็น 99.37% ของมูลค่าเงินลงทุนชั่วคราว 118 ล้านบาทและ IEC มีเงินลงทุนใน LIVE คิดเป็น 91.89% ของมูลค่าเงินลงทุนชั่วคราว 80 ล้านบาท
โดยเหตุการณ์ภายหลังวันที่ในงบดุลปรากฏข้อมูลที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับการซื้อขายเงินลงทุนชั่วคราวดังนี้ BLISS มีผลขาดทุนจากเงินลงทุนหลังสิ้นงวดจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 จำนวน56.43 ล้านบาท ซึ่งอาจมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 ซึ่งเท่ากับ28.97 ล้านบาท
ส่วน LIVEปรากฏข้อมูลการซื้อขายเงินลงทุนหลังวันสิ้นงวดจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552โดยเป็นการซื้อและขายเงินลงทุนใน IEC ทั้งหมดของมูลค่าซื้อเงินลงทุน 4.93 ล้านบาท และ 96.68 %ของมูลค่าขายเงินลงทุน 24.83 ล้านบาทตามลำดับ ด้านIEC มีผลขาดทุนจากเงินลงทุนหลังสิ้นงวดจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ จำนวน 23ล้านบาท ซึ่งผู้สอบบัญชีมีข้อสังเกตเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของ BLISS, IEC และ LIVE
อนึ่ง สำนักงานก.ล.ต.กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยยอดซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างงวดที่มีสาระสำคัญในหมายเหตุประกอบงบการเงิน กรณีบริษัทมีผลรวมค่าสัมบูรณ์ของรายการซื้อและรายการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนเกิน 2 เท่าของยอดคงค้างของเงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน และผลรวม
ดังกล่าวเกิน 5% ของสินทรัพย์รวม ณ วันสิ้นงวด (ยกเว้น บริษัทที่ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เงินทุน
หลักทรัพย์ และประกันภัยและประกันชีวิต) ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ได้รวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน
ที่มีการซื้อขายเงินลงทุนตามเกณฑ์ดังกล่าวในไตรมาสที่ 4 ปี 2551
สำหรับสรุปข้อสังเกตผู้สอบบัญชีเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของ BLISS, IEC และ LIVE แบ่งได้ออกเป็น BLISS 1) วิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำอย่างมากมีผลกระทบต่อการลดลงของราคาตลาดของเงินลงทุนชั่วคราว ทำให้บริษัทมีขาดทุนจากเงินลงทุนในปี 2551 จำนวน 702 ล้านบาท 2) บริษัทได้ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศสองแห่ง ซึ่งผลจากการผิดนัดดังกล่าว อาจทำให้ธนาคารมีสิทธิเร่งให้บริษัทชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที ซึ่ง ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารพาณิชย์ในประเทศแต่ยังไม่ทราบผล
ด้าน IEC 1) บริษัทย่อยได้ซื้อทรัพย์สิน (โรงงานผลิตเอทานอลได้แก่ที่ดิน อาคาร และเครื่องจักร) จากบริษัทแห่งหนึ่ง 465 ล้านบาท ต่อมาบริษัทย่อยดังกล่าวถูกฟ้องคดีต่อศาลเกี่ยวกับการซื้อทรัพย์สินดังกล่าวเป็น
โมฆะทุนทรัพย์ 181 ล้านบาท และฐานความผิดข้อหายักยอกทรัพย์ 2) บริษัทย่อยและบริษัทถูกธนาคารฟ้องให้ชำระหนี้เงินกู้ยืมพร้อมบังคับจำนองทรัพย์สิน 3) วิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำอย่างมากมีผลต่อการลดลงของราคาตลาดของเงินลงทุนชั่วคราวทำให้กลุ่มบริษัทขาดทุนจากเงินลงทุนในปี 2551 จำนวน 706 ล้านบาท
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทย่อยได้อนุมัติให้เปลี่ยนแผนการผลิตเอทานอลเป็นการผลิตไบโอดีเซลเนื่องจากเอทานอลล้นตลาด ในเบื้องต้นคาดว่าสามารถนำเครื่องจักรเดิมมาใช้งานได้บางส่วน จึงบันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของเครื่องจักร ณ 31 ธันวาคม2551 จำนวน 160 ล้านบาท
สุดท้าย LIVE 1)บริษัทและบริษัทย่อยมีผลขาดทุนสุทธิ โดยในขาดทุนสุทธินี้ได้รวมผลขาดทุนสุทธิที่เกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ 2) มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินต่อเนื่องโดยมีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบ และ3) LIVE อยู่ในช่วงทบทวนแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอันเนื่องมาจากผลกระทบของวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2551
วานนี้(30มี.ค) ตลาดหลักทรัพย์ได้รวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 และเป็นบริษัทที่หากไม่รวมกำไร(ขาดทุน)จากเงินลงทุนแล้วยังมีผลขาดทุนสุทธิ และเมื่อพิจารณาจากงบการเงินประจำปี 2551 เข้าข่ายต้องเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต.1/ จำนวน 5 บริษัท คือ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) (BLISS), บมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEN) ,บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอ็นจิเนียริง (IEC),บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE)และ บมจ.ซันไชน์ คอร์เปอเรชั่น (SSE)
โดยผลดำเนินงานของทั้ง 5 บริษัทสำหรับงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ปรากฏว่า BLISS ขาดทุนสุทธิ 942 ล้านบาท โดยขาดทุนจากการลงทุน 702 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมขาดทุนจากเงินลงทุน 240 ล้านบาท GENขาดทุนสุทธิ 65 ล้านบาท ขาดทุนจากการลงทุน 2ล้านบาท ขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมขาดทุนจากเงินลงทุน 63 ล้านบาท IEC ขาดทุนสุทธิ 1,172 ล้านบาท ขาดทุนจากการลงทุน 706 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมขาดทุนจากเงินลงทุน 466 ล้านบาท
ด้าน LIVE ขาดทุนสุทธิ 253 ล้านบาท โดยขาดทุนจากการลงทุน 80 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมขาดทุนจากเงินลงทุน 173 ล้านบาท และ SSE ขาดทุนสุทธิ 33 ล้านบาท ขาดทุนจากการลงทุน 24ล้านบาท ขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมขาดทุนจากเงินลงทุน9ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯพบว่า ณ 31 ธันวาคม 2551 BLISS LIVE และ IEC มีสัดส่วนการลงทุนระหว่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดย BLISS มีเงินลงทุนใน LIVE และ IEC คิดเป็น 49.89% และ 48.97%ของมูลค่าเงินลงทุนชั่วคราว 60 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ LIVE มีเงินลงทุนใน IEC คิดเป็น 99.37% ของมูลค่าเงินลงทุนชั่วคราว 118 ล้านบาทและ IEC มีเงินลงทุนใน LIVE คิดเป็น 91.89% ของมูลค่าเงินลงทุนชั่วคราว 80 ล้านบาท
โดยเหตุการณ์ภายหลังวันที่ในงบดุลปรากฏข้อมูลที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับการซื้อขายเงินลงทุนชั่วคราวดังนี้ BLISS มีผลขาดทุนจากเงินลงทุนหลังสิ้นงวดจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 จำนวน56.43 ล้านบาท ซึ่งอาจมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 ซึ่งเท่ากับ28.97 ล้านบาท
ส่วน LIVEปรากฏข้อมูลการซื้อขายเงินลงทุนหลังวันสิ้นงวดจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552โดยเป็นการซื้อและขายเงินลงทุนใน IEC ทั้งหมดของมูลค่าซื้อเงินลงทุน 4.93 ล้านบาท และ 96.68 %ของมูลค่าขายเงินลงทุน 24.83 ล้านบาทตามลำดับ ด้านIEC มีผลขาดทุนจากเงินลงทุนหลังสิ้นงวดจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ จำนวน 23ล้านบาท ซึ่งผู้สอบบัญชีมีข้อสังเกตเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของ BLISS, IEC และ LIVE
อนึ่ง สำนักงานก.ล.ต.กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยยอดซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างงวดที่มีสาระสำคัญในหมายเหตุประกอบงบการเงิน กรณีบริษัทมีผลรวมค่าสัมบูรณ์ของรายการซื้อและรายการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนเกิน 2 เท่าของยอดคงค้างของเงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน และผลรวม
ดังกล่าวเกิน 5% ของสินทรัพย์รวม ณ วันสิ้นงวด (ยกเว้น บริษัทที่ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เงินทุน
หลักทรัพย์ และประกันภัยและประกันชีวิต) ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ได้รวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน
ที่มีการซื้อขายเงินลงทุนตามเกณฑ์ดังกล่าวในไตรมาสที่ 4 ปี 2551
สำหรับสรุปข้อสังเกตผู้สอบบัญชีเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของ BLISS, IEC และ LIVE แบ่งได้ออกเป็น BLISS 1) วิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำอย่างมากมีผลกระทบต่อการลดลงของราคาตลาดของเงินลงทุนชั่วคราว ทำให้บริษัทมีขาดทุนจากเงินลงทุนในปี 2551 จำนวน 702 ล้านบาท 2) บริษัทได้ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศสองแห่ง ซึ่งผลจากการผิดนัดดังกล่าว อาจทำให้ธนาคารมีสิทธิเร่งให้บริษัทชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที ซึ่ง ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารพาณิชย์ในประเทศแต่ยังไม่ทราบผล
ด้าน IEC 1) บริษัทย่อยได้ซื้อทรัพย์สิน (โรงงานผลิตเอทานอลได้แก่ที่ดิน อาคาร และเครื่องจักร) จากบริษัทแห่งหนึ่ง 465 ล้านบาท ต่อมาบริษัทย่อยดังกล่าวถูกฟ้องคดีต่อศาลเกี่ยวกับการซื้อทรัพย์สินดังกล่าวเป็น
โมฆะทุนทรัพย์ 181 ล้านบาท และฐานความผิดข้อหายักยอกทรัพย์ 2) บริษัทย่อยและบริษัทถูกธนาคารฟ้องให้ชำระหนี้เงินกู้ยืมพร้อมบังคับจำนองทรัพย์สิน 3) วิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำอย่างมากมีผลต่อการลดลงของราคาตลาดของเงินลงทุนชั่วคราวทำให้กลุ่มบริษัทขาดทุนจากเงินลงทุนในปี 2551 จำนวน 706 ล้านบาท
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทย่อยได้อนุมัติให้เปลี่ยนแผนการผลิตเอทานอลเป็นการผลิตไบโอดีเซลเนื่องจากเอทานอลล้นตลาด ในเบื้องต้นคาดว่าสามารถนำเครื่องจักรเดิมมาใช้งานได้บางส่วน จึงบันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของเครื่องจักร ณ 31 ธันวาคม2551 จำนวน 160 ล้านบาท
สุดท้าย LIVE 1)บริษัทและบริษัทย่อยมีผลขาดทุนสุทธิ โดยในขาดทุนสุทธินี้ได้รวมผลขาดทุนสุทธิที่เกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ 2) มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินต่อเนื่องโดยมีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบ และ3) LIVE อยู่ในช่วงทบทวนแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอันเนื่องมาจากผลกระทบของวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2551