เนสกาแฟขู่หยุดลงทุน1,000 ล้านบาท และหยุดทำการตลาดทุกรูปแบบ ถ้ารัฐบาลยังดื้อขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มชา-กาแฟ เตือนมองผลกระทบในมุมกว้าง ทั้งภาคแรงงานและการลงทุน
นายประสพสุข สุทธาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์กาแฟ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เปิดเผยว่า หากรัฐบาลประกาศปรับอัตราภาษีสรรพสามิตในกลุ่มเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ เต็มเพดานที่ 22% ของราคาจำหน่ายปลีก จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท กล่าวคือ บริษัทต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท หากต้องดำเนินตามแผนงานปีนี้ที่วางไว้ว่าจะเปิดตัวสินค้าใหม่ ทั้งใน กลุ่มกาแฟผง และกาแฟพร้อมดื่ม รวมถึงการเพิ่มไลน์ผลิตสินค้าและสร้างโรงงานแห่งใหม่
“ขณะนี้เราต้องหยุดแผนงานไว้ชั่วคราว จากที่ได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว เพราะหากรัฐบาลปรับขึ้นภาษีจริงๆ เราจะยกเลิกแผนงานทั้งหมดที่กล่าวมา”
นอกจากนั้น บริษัทจะยุติการทำตลาด ล้มแผนงบประมาณที่เตรียมไว้สำหรับการทำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่ม ซึ่งใช้อยู่ราว 200 ล้านบาทต่อปี บริษัทจะทำเพียงผลิตเพื่อจำหน่าย ปล่อยให้ตลาดเป็นผู้ขับเคลื่อนยอดขายด้วยตัวเอง เพราะหากรัฐปรับขึ้นภาษีครั้งนี้จะส่งผลให้ราคากาแฟกระป๋องของบริษัทต้องปรับราคาขึ้นอีกกระป๋องละ 3-4 บาทตามต้นทุนที่แท้จริง จากปัจจุบันจำหน่ายอยู่ที่กระป๋องละ 13 บาท เนื่องจากบริษัทไม่อาจแบกรับภาระไว้ได้
อย่างไรก็ตามต้องการให้รัฐบาลทบทวนแผนการขึ้นภาษีครั้งนี้เพราะได้ไม่คุ้มเสีย เนื่องจากไม่ได้กระทบแค่ผู้ประกอบการ แต่จะกระทบถึงเศรษฐกิจรวมทั้งระบบ โดยเฉพาะภาคการจ้างงาน ซึ่งปัจจุบัน กาแฟกระป๋องมีมูลค่าตลาดที่ 7,000 ล้านบาทจะเกิดการหดตัวอย่างน้อย 20% อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องจะเดือดร้อนทั้งระบบเป็นลูกโซ่ ซึ่งจากการปรับขึ้นราคากาแฟกระป๋องเมื่อปี 2551 กระป๋องละ 1 บาท ก็ทำให้ตลาดหดตัว ปัจจุบันยังไม่ฟื้นกลับมา
นายประสพสุข กล่าวว่า ธุรกิจกาแฟของบริษัท ปีที่ผ่านมามีรายได้กว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 70% มาจากกาแฟ 3in1 และกาแฟผงสำเร็จรูป อีก 30% มาจากกาแฟกระป๋อง ซึ่ง 3 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมียอดขายโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 30-40% โดยกลุ่มกาแฟ 3in1 เติบโตสูงสุด หรือราว 50% คาดการณ์ถึงสิ้นปีจะสร้างยอดขายได้เติบโต 30% ส่วนตลาดรวมกาแฟทั้งประเทศมีมูลค่าที่ 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กาแฟ 3 in 1 มูลค่า 10,000 ล้านบาท กาแฟผงสำเร็จรูป 5,000 ล้านบาท และกาแฟกระป๋อง 7,000 ล้านบาท
นายประสพสุข สุทธาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์กาแฟ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เปิดเผยว่า หากรัฐบาลประกาศปรับอัตราภาษีสรรพสามิตในกลุ่มเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ เต็มเพดานที่ 22% ของราคาจำหน่ายปลีก จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท กล่าวคือ บริษัทต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท หากต้องดำเนินตามแผนงานปีนี้ที่วางไว้ว่าจะเปิดตัวสินค้าใหม่ ทั้งใน กลุ่มกาแฟผง และกาแฟพร้อมดื่ม รวมถึงการเพิ่มไลน์ผลิตสินค้าและสร้างโรงงานแห่งใหม่
“ขณะนี้เราต้องหยุดแผนงานไว้ชั่วคราว จากที่ได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว เพราะหากรัฐบาลปรับขึ้นภาษีจริงๆ เราจะยกเลิกแผนงานทั้งหมดที่กล่าวมา”
นอกจากนั้น บริษัทจะยุติการทำตลาด ล้มแผนงบประมาณที่เตรียมไว้สำหรับการทำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่ม ซึ่งใช้อยู่ราว 200 ล้านบาทต่อปี บริษัทจะทำเพียงผลิตเพื่อจำหน่าย ปล่อยให้ตลาดเป็นผู้ขับเคลื่อนยอดขายด้วยตัวเอง เพราะหากรัฐปรับขึ้นภาษีครั้งนี้จะส่งผลให้ราคากาแฟกระป๋องของบริษัทต้องปรับราคาขึ้นอีกกระป๋องละ 3-4 บาทตามต้นทุนที่แท้จริง จากปัจจุบันจำหน่ายอยู่ที่กระป๋องละ 13 บาท เนื่องจากบริษัทไม่อาจแบกรับภาระไว้ได้
อย่างไรก็ตามต้องการให้รัฐบาลทบทวนแผนการขึ้นภาษีครั้งนี้เพราะได้ไม่คุ้มเสีย เนื่องจากไม่ได้กระทบแค่ผู้ประกอบการ แต่จะกระทบถึงเศรษฐกิจรวมทั้งระบบ โดยเฉพาะภาคการจ้างงาน ซึ่งปัจจุบัน กาแฟกระป๋องมีมูลค่าตลาดที่ 7,000 ล้านบาทจะเกิดการหดตัวอย่างน้อย 20% อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องจะเดือดร้อนทั้งระบบเป็นลูกโซ่ ซึ่งจากการปรับขึ้นราคากาแฟกระป๋องเมื่อปี 2551 กระป๋องละ 1 บาท ก็ทำให้ตลาดหดตัว ปัจจุบันยังไม่ฟื้นกลับมา
นายประสพสุข กล่าวว่า ธุรกิจกาแฟของบริษัท ปีที่ผ่านมามีรายได้กว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 70% มาจากกาแฟ 3in1 และกาแฟผงสำเร็จรูป อีก 30% มาจากกาแฟกระป๋อง ซึ่ง 3 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมียอดขายโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 30-40% โดยกลุ่มกาแฟ 3in1 เติบโตสูงสุด หรือราว 50% คาดการณ์ถึงสิ้นปีจะสร้างยอดขายได้เติบโต 30% ส่วนตลาดรวมกาแฟทั้งประเทศมีมูลค่าที่ 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กาแฟ 3 in 1 มูลค่า 10,000 ล้านบาท กาแฟผงสำเร็จรูป 5,000 ล้านบาท และกาแฟกระป๋อง 7,000 ล้านบาท