xs
xsm
sm
md
lg

ปัจจัยลบรอทึ้งตลาดหุ้นไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-บล.ดีบีเอสฯ ชี้ราคาหุ้นไทยต่ำสุดในภูมิภาคเอเชีย แต่ราคาหุ้นไม่วิ่ง เหตุนักลงทุนยังคงกังวลปัจจัยลบใหม่ จากมีโอกาสหุ้นดิ่งแรงอีกรอบหากสหรัฐฯอัดฉีดเม็ดเงินซื้อหนี้เสียไม่เพียงพอ บวกกับตัวเลขการบริโภคในประเทศลดลง พร้อมคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยจากนี้ถึง 6 เดือนข้างหน้าแกว่งตัวแคบๆ 400-450 จุด แต่นักลงทุนยังกำไรพอร์ตลงทุนได้หากลงทุนตลาดอนุพันธ์ ด้าน “สมบัติ” แจงแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้เพิ่ม แนะรัฐเจรจาแบงก์ลดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ให้คนตกงาน
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีค่า P/E อยู่ที่ระดับ 7 เท่า ถือเป็นระดับต่ำสุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งที่ผ่านมามีสถาบันการเงินต่างประเทศ มอร์แกนสแตนเลย์ และเจพีมอร์แกนฯได้เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทยมากขึ้น จากราคาที่ต่ำ ทำให้ในช่วง 2 วันที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศได้มีการซื้อหุ้นไทย
ทั้งนี้ แม้ราคาหุ้นไทยจะต่ำแต่ดัชนียังปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก จากยังมีปัจจัยเสี่ยงจากราคาสินทรัพย์ด้อยค่าในต่างประเทศ สหรัฐฯยุโรป เพิ่มมากขึ้นจากที่ไม่สามารซื้อขายกันได้ และเม็ดเงินของสหรัฐฯที่จะนำมาซื้อหนี้เสียในระบบการเงินจำนวน 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐจะไม่เพียงพอ จากที่มีผู้ประเมินว่าหนี้เสียจะมีมูลค่าถึง 2.2 ล้านล้านเหรียญ โดยหากเม็ดเงินไม่เพียงพอที่จะมาซื้อหนี้เสียได้ มีโอกาสที่จะทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงแรงอีกรอบ
นอกจากนี้ ปัจจัยภายในประเทศแม้สถานการณ์ทางการเมืองจะดีขึ้น แต่ยังคงมีปัจจัยลบในเรื่องการบริโภคที่จะลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และหากประเทศจีนไม่สามารถที่จะทำให้จีดีพีมีการเติบโตได้ 7-8% จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของเอเชียปรับตัวลดลงรวมถึงการส่งออกของไทย จากที่ไทยมีการส่งออกไปจีนถึง 10%โดยบล.ดีบีเอส ประเมินจีดีพีไทยปีนี้จะติดลบ 3.5% จากการส่งออกและการบริโภคที่ลดลงและการว่างงานของประชาชนมากขึ้น โดยส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาส4/52
“ส่วนตัวมองว่าวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหลังจากที่เลห์แมนบราเธอร์ล้มและมีสถาบันการเงินที่ล้ม 2แห่ง คือเจพีมอร์แกน และซิตี้กรุ๊ปได้มีการแจ้งว่าสามารถทำกำไรได้แล้วในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้และทางจีอีแคปปิตอลแจ้งว่าไม่ต้องการรับการช่วยเงินจากสหรัฐแล้วแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกถดถอยนั้นยังไม่ถึงจุดต่ำสุด ซึ่งคาดว่าจะต่ำสุดในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้จากการที่แบงก์ชาติของประเทศต่างมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งคาดว่ากนง.ไทยจะมีการลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ในการประชุม เม.ย.นี้ ”นางสาวอาภาภรณ์ กล่าวว่า
นางสาวอาภาภรณ์ กล่าวว่า บล.ดีบีเอส ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงจากนี้ถึง 6 เดือนข้างหน้า ดัชนีจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 450 -400 จุด แต่หากมีปัจจัยลบรุนแรงเข้ามาดัชนีตลาดหุ้นอาจปรับตัวลดลงต่ำกว่า 400 จุด มูลค่าการซื้อขายยังคงเบาบางจากนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนจึงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นจะยังคงแหว่งตัวในกรอบแคบๆ แต่นักลงทุนยังสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นจากพอร์ตการลงทุนได้จากการลงทุนในตลาดอนุพันธ์
นายจิรสนิท ชิตประสงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทประเมินดัชนี SET50 จะเคลื่อนไหวที่ระดับ 280-320 จุด ซึ่งแกว่งตัว50 จุด ทำให้มีโอกาสในการทำกำไรได้ จากการลงทุนในตลาดอนุพันธ์นั้นสามารถให้นักลงทุนมีการชอตเชล ทำกำไรได้ทุกสัปดาห์ ซึ่งหากดัชนีSET 50 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเหลือระดับ 300 จุด ควรที่จะมีการขายทำกำไรออกมาก่อนและกับไปซื้ออีกครั้งหลังจากดัชนีSET 50 ต่ำกว่า 280 จุด
“ปัจจุบันนักลงทุนจะมีสถานะเป็นเน็ตชอต จากที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านลบที่ยังไม่สามารถรู้ได้อยู่ ทำให้นักลงทุนที่มีการซื้อหุ้นไว้ต้องมีการป้องกันความเสี่ยงจึงมีการขายฟิวเจอร์ไว้เพื่อลดความเสี่ยงจากความเสียหายพอร์ตหุ้นที่จะถือลงทุนในระยะยาว ”นาย นายจิรสนิท กล่าว
ขณะเดียวกัน การลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สนั้นยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี จากราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1.65 หมื่นบาทต่อราคาทองคำ 1 บาท ได้ จากปัจจุบันที่อยู่ 1.5 หมื่นบาทต่อทองคำ 1 บาท ซึ่งยังมีส่วนต่างราคาทองคำ 1,500 บาท ที่สามารถทำกำไร

แนะรัฐเจรจาแบงก์ลดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า จากปัญหาเศรษฐกิจถดถอยคนว่างงานมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานที่อยู่ในธุรกิจกลุ่มเสี่ยงที่จะมีการลดคนงานถึง 10 ล้านคน จากประชาชนที่อยู่ในวันทำงาน 38 ล้านคน จึงมองว่าแนวโน้มการว่างงานในปีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะมี 5แสนล้านคน หรือ 1 ล้านคน จึงทำให้มีแนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้ของประชาชนจะสูงขึ้นแต่ไม่ได้เป็นการผิดนัดเพราะ จงใจผิดนัดแต่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี
ทั้งนี้จึงเสนอให้รัฐบาลให้มีการเจรจากับธนาคารพาณิชย์ให้มีการลดดอกเบี้ยการผิดนัดชำระหนี้ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 15-28% ให้กับประชาชน แต่จะต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับการว่างงานหรือมีรายได้ที่ต่ำลงจากบริษัทมีการลดระยะเวลาการทำงานลง ซึ่งหากธนาคารพาณิชย์มีการลดเพดานดอกเบี้ยการผิดนักชำระหนี้เหลือประมาณ 9% ถือว่าธนาคารพาณิชย์นั้นจะได้รับการชื่นชมหรือมีชื่อเสียงดีขึ้น จากที่มีการดูแลประชาชน ซึ่งจะได้ผลมากกว่าธนาคารมีการทำโฆษณาต่างๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น