ASTVผู้จัดการรายวัน - รมช.คลังยันกรณีคัดเลือกแบงก์กรุงเทพชนะประมูลเช็คช่วยชาติโปร่งใส แจงรายละเอียดทหารไทย-ไทยพาณิชย์เสนอราคา 2-2.75 บาทเท่ากันแต่รับเพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนประเด็นที่ให้เวลารับเช็คภายใน 90 วัน แต่ต้องโอนเงินฝากก่อนทำให้มีผลประโยชน์นั้น ระบุทางราชการจะโอนเงินให้แบงก์เพื่อรองรับการตัดบัญชีเช็คช่วยชาติ 2 วันทำการตามปกติ
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้การช่วยค่าครองชีพคนละ 2,000 บาท โดยการจ่ายเป็นเช็คสำหรับทุกกลุ่มทั้งประชาชนและบุคลากรภาครัฐ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มอบนโยบายว่าต้องเป็นธรรมและโปร่งใส จึงได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลางประสานงานกับสมาคมธนาคารไทย โดยมีธนาคารมารับฟังข้อเสนอและเงื่อนไขต่าง ๆ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2552 จำนวน 18 ธนาคาร โดยกำหนดแนวทางและวิธีการพิมพ์เช็คไว้ 3 กลุ่ม คือ ประชาชนซึ่งเป็นผู้ประกันตน จำนวน 8.1 ล้านราย บุคลากรภาครัฐ จำนวน 1.4 ล้านราย และผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ จำนวน 0.24 แสนราย รวมจำนวนประมาณ 9.8 ล้านราย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากส่วนราชการที่รับผิดชอบแตกต่างกัน คือ สำนักงานประกันสังคม ส่วนราชการต่าง ๆ และกรมบัญชีกลาง และฐานข้อมูลก็ต่างกันด้วย และขอให้ธนาคารต่างๆเสนอการให้บริการและอัตราค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บต่อเช็ค 1 ฉบับ และปรากฏว่ามีจำนวน 7 ธนาคารที่ยื่นเสนอราคาในการบริการจัดพิมพ์เช็คช่วยชาติ ซึ่งข้อเสนอแตกต่างกันไป เช่น ธนาคารกรุงไทย เสนอราคาฉบับละ 5 บาท โดยแจ้งว่าสามารถดำเนินการได้ในส่วนของผู้ประกันตนได้เพียง 1 ล้านฉบับ และพิมพ์ได้วันละ 6 แสนฉบับ สำหรับธนาคารทหารไทย เสนอฉบับละ 2 บาท เท่ากับธนาคารกรุงเทพ แต่เสนอบริการ ในส่วนของผู้ประกันตนเพียง 1 ล้านฉบับ และธนาคารไทยพาณิชย์ เสนออัตราโดยมีเงื่อนไขระหว่าง 2 บาท – 2.75 บาท ตามจำนวนที่พิมพ์ และเสนอบริการเฉพาะผู้รับบำนาญและผู้ประกันตน ในขณะที่ธนาคารกรุงเทพ สามารถดำเนินการได้ทุกกลุ่ม ในราคาฉบับละ 2 บาท
สำหรับประเด็นที่ให้เวลาการรับเช็ค ภายใน 90 วัน แต่ต้องโอนเงินฝากในธนาคาร ทำให้มีผลประโยชน์นั้น ทางราชการจะโอนเงินให้ธนาคารกรุงเทพ เพื่อรองรับการตัดบัญชีเช็คช่วยชาติ 2 วันทำการ ก่อนวันที่ลงในเช็คช่วยชาติในแต่ละรอบ ซึ่งเป็นระยะเวลาตามธรรมเนียมปฏิบัติของทุกธนาคารในการออกเช็คอยู่แล้ว
นพ.พฤฒิชัยกล่าวอีกว่า เรื่องดังกล่าวทางกรมบัญชีกลางได้รายงานผลให้ทราบตลอดเวลาและได้ดำเนินการโดยโปร่งใส ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกธนาคาร โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและความสะดวกคล่องตัวต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งความสะดวกของประชาชนและบุคลากรภาครัฐด้วย สำหรับอัตราที่ธนาคารเสนอฉบับละ 2 บาท นั้น มิใช่แค่ต้นทุนการพิมพ์เช็คอย่างเดียวแต่ได้รวมถึงการให้บริการในการจัดส่งเช็คไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำสุดและภาครัฐและประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดด้วย
กรมบัญชีกลางจ่ายเช็คผู้รับบำนาญ
ขณะที่นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เตรียมการในส่วนของการจ่ายเช็คช่วยชาติให้แก่ผู้รับบำนาญ กว่า 237,000 ราย ทั่วประเทศ โดยผู้รับบำนาญทางส่วนกลาง ได้จัดสถานที่ให้ขอรับเช็คได้ที่ ศูนย์แสดงสินค้าส่งออก ถ. รัชดาภิเษก ระหว่างวันที่ 26 – 31 มีนาคม นี้ ระหว่างเวลา 9.00 น. - 16.00 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ พร้อมทั้งร้านค้าต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มมูลค่าเช็คช่วยชาติในงานด้วย หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว สามารถไปขอรับเช็คได้ที่กรมบัญชีกลาง
สำหรับผู้มีสิทธิทางส่วนภูมิภาคสามารถรับเช็คได้ที่สำนักงานคลังจังหวัดหรือสานที่ที่สำนักงานคลังจังหวัดแจ้งให้ทราบ ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2252 เป็นต้นไป ผู้รับบำนาญทุกคนสามารถตรวจสอบสิทธิของตนเอง และสถานที่รับเช็ค ได้ที่เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th หรือสอบถามโดยตรงได้ที่ กรมบัญชีกลาง Call center หมายเลข 02-270-6400 หรือ 02-273-9024 02-271-0686-90 และ 02-273-9101 การรับเช็คให้นำบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรผู้รับบำนาญ ไปยื่นแสดงขอรับเช็ค ซึ่งผู้มีสิทธิสามารถไปขอรับเช็คได้ภายใน 90 วัน สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปรับเช็คได้ด้วยตนเอง ก็สามารถมอบฉันทะให้ผู้อื่นไปรับแทนได้ รวมทั้งกรณีที่มีความประสงค์จะไปขอรับเช็คต่างพื้นที่ก็สามารถไปติดต่อที่กรมบัญชีกลางหรือสำนักงานคลังจังหวัดที่สะดวกได้เช่นกัน
“ในส่วนของบุคลากรภาครัฐ จะมีการจ่ายเช็คช่วยชาติ 2 รอบ ครั้งแรกวันที่ 26 มีนาคม 2552 เช่นเดียวกัน โดยผู้มีสิทธิสามารถรับเช็คได้ที่หน่วยงานต้นสังกัด ที่ปฏิบัติงานอยู่ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และจากการประสานงานกับธนาคารกรุงเทพ ทราบว่าการส่งเช็คให้หน่วยงานในรอบแรกนี้ มีเพียง 131 หน่วยงานเท่านั้น เนื่องจาก บางหน่วยงานมีจำนวนบุคลากรที่มีสิทธิเป็นจำนวนมาก เช่น ครู ทหาร ตำรวจ และสาธารณสุข ทำให้รวบรวมข้อมูลส่งให้ธนาคารกรุงเทพไม่ทันวันที่ 19 มีนาคม 2552 ซึ่งกลุ่มหลังนี้จะได้รับเช็คอีกครั้งในวันที่ 3 เมษายน 2552 ในเบื้องต้นสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่กรมบัญชีกลางและสำนักงานคลังจังหวัดทุกแห่ง” นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าว
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้การช่วยค่าครองชีพคนละ 2,000 บาท โดยการจ่ายเป็นเช็คสำหรับทุกกลุ่มทั้งประชาชนและบุคลากรภาครัฐ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มอบนโยบายว่าต้องเป็นธรรมและโปร่งใส จึงได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลางประสานงานกับสมาคมธนาคารไทย โดยมีธนาคารมารับฟังข้อเสนอและเงื่อนไขต่าง ๆ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2552 จำนวน 18 ธนาคาร โดยกำหนดแนวทางและวิธีการพิมพ์เช็คไว้ 3 กลุ่ม คือ ประชาชนซึ่งเป็นผู้ประกันตน จำนวน 8.1 ล้านราย บุคลากรภาครัฐ จำนวน 1.4 ล้านราย และผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ จำนวน 0.24 แสนราย รวมจำนวนประมาณ 9.8 ล้านราย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากส่วนราชการที่รับผิดชอบแตกต่างกัน คือ สำนักงานประกันสังคม ส่วนราชการต่าง ๆ และกรมบัญชีกลาง และฐานข้อมูลก็ต่างกันด้วย และขอให้ธนาคารต่างๆเสนอการให้บริการและอัตราค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บต่อเช็ค 1 ฉบับ และปรากฏว่ามีจำนวน 7 ธนาคารที่ยื่นเสนอราคาในการบริการจัดพิมพ์เช็คช่วยชาติ ซึ่งข้อเสนอแตกต่างกันไป เช่น ธนาคารกรุงไทย เสนอราคาฉบับละ 5 บาท โดยแจ้งว่าสามารถดำเนินการได้ในส่วนของผู้ประกันตนได้เพียง 1 ล้านฉบับ และพิมพ์ได้วันละ 6 แสนฉบับ สำหรับธนาคารทหารไทย เสนอฉบับละ 2 บาท เท่ากับธนาคารกรุงเทพ แต่เสนอบริการ ในส่วนของผู้ประกันตนเพียง 1 ล้านฉบับ และธนาคารไทยพาณิชย์ เสนออัตราโดยมีเงื่อนไขระหว่าง 2 บาท – 2.75 บาท ตามจำนวนที่พิมพ์ และเสนอบริการเฉพาะผู้รับบำนาญและผู้ประกันตน ในขณะที่ธนาคารกรุงเทพ สามารถดำเนินการได้ทุกกลุ่ม ในราคาฉบับละ 2 บาท
สำหรับประเด็นที่ให้เวลาการรับเช็ค ภายใน 90 วัน แต่ต้องโอนเงินฝากในธนาคาร ทำให้มีผลประโยชน์นั้น ทางราชการจะโอนเงินให้ธนาคารกรุงเทพ เพื่อรองรับการตัดบัญชีเช็คช่วยชาติ 2 วันทำการ ก่อนวันที่ลงในเช็คช่วยชาติในแต่ละรอบ ซึ่งเป็นระยะเวลาตามธรรมเนียมปฏิบัติของทุกธนาคารในการออกเช็คอยู่แล้ว
นพ.พฤฒิชัยกล่าวอีกว่า เรื่องดังกล่าวทางกรมบัญชีกลางได้รายงานผลให้ทราบตลอดเวลาและได้ดำเนินการโดยโปร่งใส ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกธนาคาร โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและความสะดวกคล่องตัวต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งความสะดวกของประชาชนและบุคลากรภาครัฐด้วย สำหรับอัตราที่ธนาคารเสนอฉบับละ 2 บาท นั้น มิใช่แค่ต้นทุนการพิมพ์เช็คอย่างเดียวแต่ได้รวมถึงการให้บริการในการจัดส่งเช็คไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำสุดและภาครัฐและประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดด้วย
กรมบัญชีกลางจ่ายเช็คผู้รับบำนาญ
ขณะที่นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เตรียมการในส่วนของการจ่ายเช็คช่วยชาติให้แก่ผู้รับบำนาญ กว่า 237,000 ราย ทั่วประเทศ โดยผู้รับบำนาญทางส่วนกลาง ได้จัดสถานที่ให้ขอรับเช็คได้ที่ ศูนย์แสดงสินค้าส่งออก ถ. รัชดาภิเษก ระหว่างวันที่ 26 – 31 มีนาคม นี้ ระหว่างเวลา 9.00 น. - 16.00 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ พร้อมทั้งร้านค้าต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มมูลค่าเช็คช่วยชาติในงานด้วย หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว สามารถไปขอรับเช็คได้ที่กรมบัญชีกลาง
สำหรับผู้มีสิทธิทางส่วนภูมิภาคสามารถรับเช็คได้ที่สำนักงานคลังจังหวัดหรือสานที่ที่สำนักงานคลังจังหวัดแจ้งให้ทราบ ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2252 เป็นต้นไป ผู้รับบำนาญทุกคนสามารถตรวจสอบสิทธิของตนเอง และสถานที่รับเช็ค ได้ที่เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th หรือสอบถามโดยตรงได้ที่ กรมบัญชีกลาง Call center หมายเลข 02-270-6400 หรือ 02-273-9024 02-271-0686-90 และ 02-273-9101 การรับเช็คให้นำบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรผู้รับบำนาญ ไปยื่นแสดงขอรับเช็ค ซึ่งผู้มีสิทธิสามารถไปขอรับเช็คได้ภายใน 90 วัน สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปรับเช็คได้ด้วยตนเอง ก็สามารถมอบฉันทะให้ผู้อื่นไปรับแทนได้ รวมทั้งกรณีที่มีความประสงค์จะไปขอรับเช็คต่างพื้นที่ก็สามารถไปติดต่อที่กรมบัญชีกลางหรือสำนักงานคลังจังหวัดที่สะดวกได้เช่นกัน
“ในส่วนของบุคลากรภาครัฐ จะมีการจ่ายเช็คช่วยชาติ 2 รอบ ครั้งแรกวันที่ 26 มีนาคม 2552 เช่นเดียวกัน โดยผู้มีสิทธิสามารถรับเช็คได้ที่หน่วยงานต้นสังกัด ที่ปฏิบัติงานอยู่ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และจากการประสานงานกับธนาคารกรุงเทพ ทราบว่าการส่งเช็คให้หน่วยงานในรอบแรกนี้ มีเพียง 131 หน่วยงานเท่านั้น เนื่องจาก บางหน่วยงานมีจำนวนบุคลากรที่มีสิทธิเป็นจำนวนมาก เช่น ครู ทหาร ตำรวจ และสาธารณสุข ทำให้รวบรวมข้อมูลส่งให้ธนาคารกรุงเทพไม่ทันวันที่ 19 มีนาคม 2552 ซึ่งกลุ่มหลังนี้จะได้รับเช็คอีกครั้งในวันที่ 3 เมษายน 2552 ในเบื้องต้นสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่กรมบัญชีกลางและสำนักงานคลังจังหวัดทุกแห่ง” นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าว