รอยเตอร์ - สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เตรียมลงมติวันพฤหัสบดี (19) ในร่างกฎหมายที่จะทำให้สามารถเรียกเงินโบนัสเกือบทั้งหมด ที่บริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (เอไอจี) จ่ายให้แก่ผู้บริหาร หลังจากที่บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่แห่งนี้ ซึ่งเพิ่งรับเงินช่วยเหลือกู้ชีวิตจากรัฐบาลถึงราว 180,000 ล้านดอลลาร์อยู่แท้ๆ กลับยังไปจ่ายโบนัสเป็นจำนวน 165 ล้านดอลลาร์ จนทำให้ประชาชนพากันโกรธกริ้วกันอย่างหนัก
แกนนำส.ส. ของพรรคเดโมแครตระบุในวันพุธ (18) ว่าร่างรัฐบัญญัติดังกล่าวมีเนื้อหาเรียกเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 90 จากเงินโบนัสของพวกผู้บริหารที่มีรายได้เกินกว่าปีละ 250,000 ดอลลาร์ โดยการจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะบังคับใช้กับบริษัททุกแห่งที่ได้รับเงินช่วยเหลือตามแผนกอบกู้เศรษฐกิจของรัฐบาลในจำนวนอย่างน้อย 5,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ไอจีได้รับเงินช่วยเหลือฉุกเฉินตามแผนการของรัฐบาลสหรัฐฯอยู่หลายระลอก รวมเป็นเงินร่วมๆ 180,000 ล้านดอลลาร์ และขณะนี้รัฐบาลก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นราว 80 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท
สำหรับเงินโบนัส 165 ล้านดอลลาร์ที่จ่ายให้แก่พวกพนักงานระดับผู้บริหารของเอไอจีนั้น ปรากฏว่าจำนวนมากเป็นผู้บริหารในแผนกที่ทำการลงทุนด้วยความเสี่ยงสูง ซึ่งทำให้บริษัทประกันภัยที่เคยใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ ถึงขั้นทำท่าจะล้มละลายไปแล้ว หากรัฐบาลไม่ได้เข้าแทรกแซงด้วยการให้เงินช่วยเหลือ ด้วยเหตุนี้เอง ชาวอเมริกันจำนวนมากจึงพากันโกรธแค้นและเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเรียกเงินคืนจากพวกผู้บริหารเหล่านี้
"ชาวอเมริกันไม่พอใจอย่างมากที่รู้ว่ามีการจ่ายโบนัสให้กับสถาบันซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือซึ่งมาจากภาษีอากรของประชาชน" แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าว
ส่วนสเตนีย์ ฮอยเยอร์ ผู้นำส.ส.พรรคเดโมแครตก็คาดว่าร่างรัฐบัญญัติดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนนท่วมท้น หลังจากที่มีการนำร่างกฎหมายนี้เข้าสู่สภาเป็นวาระเร่งด่วน และจะต้องมีคะแนนเสียงสองในสามจึงจะถือเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์
ด้านวุฒิสภาเองก็กำลังหาทางแก้ปัญหาเดียวกันนี้ แต่ด้วยวิธีการที่ต่างไป โดยเมื่อวันอังคาร (17) วุฒิสภาได้เสนอร่างรัฐบัญญัติที่จะเรียกเก็บภาษีจากเงินโบนัสในสัดส่วน 70 เปอร์เซ็นต์ โดยที่บริษัทผู้จ่ายโบนัส และผู้ที่ได้รับเงินโบนัสจะต้องร่วมกันจ่ายภาษีนี้เป็นจำนวนเท่าๆ กัน
ขณะที่ ฮอยเยอร์บอกอีกว่า สภาผู้แทนราษฎรยังกำลังเตรียมออกมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะเรียกเงินโบนัสดังกล่าวคืนมาได้อย่างแน่นอน และในวันพุธ คณะกรรมาธิการการยุติธรรมของสภาผู้แทนราษฎรก็ได้รับรองร่างรัฐบัญญัติที่จะให้อำนาจแก่รัฐมนตรียุติธรรมของสหรัฐฯ ในการเรียกเงินค่าตอบแทนส่วนเกิน
คืนจากพนักงานของบริษัทที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเกินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ด้วย
มาตรการดังกล่าวยังให้อำนาจแก่รัฐมนตรียุติธรรมในการควบคุมการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับผู้บริหารของบริษัทที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล โดยต่อไปนี้จะไม่ให้สูงเกินกว่า 10 เท่าของค่าจ้างเฉลี่ยในตำแหน่งที่ไม่ใช่ฝ่ายบริหาร ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้บริษัทเหล่านี้นำเงินช่วยเหลือที่มาจากภาษีอากรไปใช้จ่ายในทางที่ผิด
อนึ่ง มีส.ส.ของพรรครีพับลิกันบางคนได้ออกมากล่าวชมแนวคิดในการเรียกคืนเงินโบนัสในครั้งนี้ แต่ก็ได้ตั้งคำถามถึงวิธีการดำเนินการที่เร่งรีบโดยยังไม่มีการให้ปากคำของผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งไม่มีการถกเถียงในประเด็นต่างๆ มากเพียงพอ ซึ่งอาจจะขัดกับกฎหมายอื่นๆ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญได้
นอกจากนั้น ยังมีส.ส.เดโมแครตบางคนเช่นกันที่ตั้งคำถามว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่เช่นเดียวกัน
แกนนำส.ส. ของพรรคเดโมแครตระบุในวันพุธ (18) ว่าร่างรัฐบัญญัติดังกล่าวมีเนื้อหาเรียกเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 90 จากเงินโบนัสของพวกผู้บริหารที่มีรายได้เกินกว่าปีละ 250,000 ดอลลาร์ โดยการจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะบังคับใช้กับบริษัททุกแห่งที่ได้รับเงินช่วยเหลือตามแผนกอบกู้เศรษฐกิจของรัฐบาลในจำนวนอย่างน้อย 5,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ไอจีได้รับเงินช่วยเหลือฉุกเฉินตามแผนการของรัฐบาลสหรัฐฯอยู่หลายระลอก รวมเป็นเงินร่วมๆ 180,000 ล้านดอลลาร์ และขณะนี้รัฐบาลก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นราว 80 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท
สำหรับเงินโบนัส 165 ล้านดอลลาร์ที่จ่ายให้แก่พวกพนักงานระดับผู้บริหารของเอไอจีนั้น ปรากฏว่าจำนวนมากเป็นผู้บริหารในแผนกที่ทำการลงทุนด้วยความเสี่ยงสูง ซึ่งทำให้บริษัทประกันภัยที่เคยใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ ถึงขั้นทำท่าจะล้มละลายไปแล้ว หากรัฐบาลไม่ได้เข้าแทรกแซงด้วยการให้เงินช่วยเหลือ ด้วยเหตุนี้เอง ชาวอเมริกันจำนวนมากจึงพากันโกรธแค้นและเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเรียกเงินคืนจากพวกผู้บริหารเหล่านี้
"ชาวอเมริกันไม่พอใจอย่างมากที่รู้ว่ามีการจ่ายโบนัสให้กับสถาบันซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือซึ่งมาจากภาษีอากรของประชาชน" แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าว
ส่วนสเตนีย์ ฮอยเยอร์ ผู้นำส.ส.พรรคเดโมแครตก็คาดว่าร่างรัฐบัญญัติดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนนท่วมท้น หลังจากที่มีการนำร่างกฎหมายนี้เข้าสู่สภาเป็นวาระเร่งด่วน และจะต้องมีคะแนนเสียงสองในสามจึงจะถือเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์
ด้านวุฒิสภาเองก็กำลังหาทางแก้ปัญหาเดียวกันนี้ แต่ด้วยวิธีการที่ต่างไป โดยเมื่อวันอังคาร (17) วุฒิสภาได้เสนอร่างรัฐบัญญัติที่จะเรียกเก็บภาษีจากเงินโบนัสในสัดส่วน 70 เปอร์เซ็นต์ โดยที่บริษัทผู้จ่ายโบนัส และผู้ที่ได้รับเงินโบนัสจะต้องร่วมกันจ่ายภาษีนี้เป็นจำนวนเท่าๆ กัน
ขณะที่ ฮอยเยอร์บอกอีกว่า สภาผู้แทนราษฎรยังกำลังเตรียมออกมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะเรียกเงินโบนัสดังกล่าวคืนมาได้อย่างแน่นอน และในวันพุธ คณะกรรมาธิการการยุติธรรมของสภาผู้แทนราษฎรก็ได้รับรองร่างรัฐบัญญัติที่จะให้อำนาจแก่รัฐมนตรียุติธรรมของสหรัฐฯ ในการเรียกเงินค่าตอบแทนส่วนเกิน
คืนจากพนักงานของบริษัทที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเกินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ด้วย
มาตรการดังกล่าวยังให้อำนาจแก่รัฐมนตรียุติธรรมในการควบคุมการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับผู้บริหารของบริษัทที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล โดยต่อไปนี้จะไม่ให้สูงเกินกว่า 10 เท่าของค่าจ้างเฉลี่ยในตำแหน่งที่ไม่ใช่ฝ่ายบริหาร ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้บริษัทเหล่านี้นำเงินช่วยเหลือที่มาจากภาษีอากรไปใช้จ่ายในทางที่ผิด
อนึ่ง มีส.ส.ของพรรครีพับลิกันบางคนได้ออกมากล่าวชมแนวคิดในการเรียกคืนเงินโบนัสในครั้งนี้ แต่ก็ได้ตั้งคำถามถึงวิธีการดำเนินการที่เร่งรีบโดยยังไม่มีการให้ปากคำของผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งไม่มีการถกเถียงในประเด็นต่างๆ มากเพียงพอ ซึ่งอาจจะขัดกับกฎหมายอื่นๆ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญได้
นอกจากนั้น ยังมีส.ส.เดโมแครตบางคนเช่นกันที่ตั้งคำถามว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่เช่นเดียวกัน
