เมื่อไม่กี่วันมานี้คนไทยได้เห็นข่าวคราวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวประท้วงของชาวทิเบตต่อรัฐบาลจีนในสื่อต่างๆ ซึ่งระบุว่าเป็นการเคลื่อนไหวในทุกประเทศทั่วโลก ทั้งๆ ที่ความจริงมีการเคลื่อนไหวไม่เกิน 5 ประเทศเท่านั้น
แนวทางการเสนอข่าวไปในทางเดียวกันว่าเป็นการเคลื่อนไหวเนื่องในโอกาสที่ ทิเบตถูกจีนยึดครองครบ 50 ปี
ปัญหาว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน หรือจีนเข้ายึดครองทิเบต เป็นวาทกรรมที่ถูกใช้ในสมรภูมิสื่อมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ดังนั้นคนไทยจึงควรเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร มิฉะนั้นก็ไม่อาจรู้เท่าทันการสู้รบในสมรภูมิสื่อที่กำลังขับเคลื่อนกันอยู่ในปัจจุบันนี้
นับตั้งแต่พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้รวบรวมจีนเข้าเป็นหนึ่ง ก่อนยุคสมัยสามก๊กร่วม 500 ปี แผ่นดินซีจ้างหรือทิเบตก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีนแล้ว ในยุคสามก๊กแผ่นดินทิเบตก็เป็นแค่เมืองๆ หนึ่งในอาณาจักรฮั่นของพระเจ้าเล่าปัง เช่นเดียวกับเมืองเกงจิ๋วหรือเมืองกังตั๋งหรือเมืองฮูโต๋
เป็นแต่ว่าทิเบตนั้นไม่มีเจ้าเมือง เพราะเป็นแคว้นที่ปกครองโดยผู้นำทางศาสนา คือศาสนาพุทธนิกายวชิรยาน
เมื่อครั้งที่เจงกิสข่านเข้าปกครองแผ่นดินจีนตั้งราชวงศ์หงวนหรือหยวนแล้ว แผ่นดินทิเบตก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีนเรื่อยมา จนกระทั่งถึงสมัยราชวงศ์ชิง
จู่ๆ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิงซึ่งเลื่อมใสศาสนาพุทธนิกายวชิรยานมีพระราชศรัทธาพิเศษ ได้สถาปนาให้ผู้นำทางศาสนาเป็นเจ้าเมืองหรือเป็นผู้นำทางการเมืองอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วเป็นการขัดต่อพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดาโดยแท้
นับแต่นั้นมาการปกครองในทิเบตจึงเป็นการปกครองที่ซ้อนกันระหว่างเจ้าเมืองซึ่งเป็นตำแหน่งทางปกครองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ กับความเป็นผู้นำทางศาสนาพุทธนิกายวชิรยานที่มีมาแต่ดั้งเดิม ดังนั้นผู้นำทิเบตจึงสวมหมวกสองใบ
ใบหนึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาในฐานะศิษย์พระตถาคตเจ้า และอีกใบหนึ่งเป็นหมวกที่ขัดต่อพระวินัยของพระตถาคตเจ้าแต่จำต้องอนุโลมตามพระราชประสงค์ของฮ่องเต้
เมื่อประเทศจีนใหม่ได้สถาปนาขึ้น โดยคำประกาศอันเกริกก้องของเหมาเจ๋อตงประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนบนกำแพงประตูเทียนอันเหมินที่ว่า สาธารณรัฐของประชาชนจีนสถาปนาขึ้นแล้ว ประชาชนจีนลุกยืนขึ้นแล้ว ได้สร้างความตระหนกตกใจให้แก่บรรดานักล่าอาณานิคมทั้งโลก
และนับแต่นั้นมาจีนก็ตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกทำลายล้างด้วยความปรารถนาที่ต้องการให้จีนกลับไปเป็นเช่นเดียวกับยุคปลายสมัยราชวงศ์ชิงที่แผ่นดินจีนต้องถูกแบ่งออกเป็นเขตเช่าถึง 8 เขต และชาติมหาอำนาจสามารถกดหัวบังคับขับไสประชาชาติจีนได้ตามอำเภอใจ
เพื่อบ่อนทำลายสาธารณรัฐของประชาชนให้กลับไปสู่สถานการณ์แบบเก่า ไต้หวัน ทิเบต และซินเกียง คือเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยุคนั้นและยังขับเคลื่อนอยู่ถึงยุคนี้ และยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุผลในการแยกดินแดนเหล่านี้ออกจากจีนเลย
50 ปีก่อนความพยายามของบางชาติมหาอำนาจบรรลุผล สามารถยุยงให้ผู้นำศาสนาของทิเบตและผู้นับถือลุกขึ้นต่อต้านการปกครองของรัฐบาลจีน จนเกิดเป็นการจลาจล และรัฐบาลจีนต้องส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามการจลาจลนั้น
เป็นเหตุให้ทะไลลามะและคณะต้องอพยพหลบหนีออกจากแผ่นดินจีน และไปตั้งรกรากปักฐานอยู่ที่อินเดีย ในความอุปถัมภ์ของฝรั่งมหาอำนาจบางประเทศ
นับแต่นั้นมาข้อกล่าวหาที่ว่า จีนส่งกำลังทหารเข้ายึดทิเบต หรือจีนฮุบทิเบต จึงปรากฏตามสื่อมวลชนเป็นลำดับมา ในขณะที่ชาติมหาอำนาจก็ได้สนับสนุนทะไลลามะและคณะเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านจีน ซึ่งผิดพระวินัยของศาสนาพุทธ เพื่อหวังให้แย่งยึดดินแดนทิเบตออกจากจีนอย่างเต็มที่
หลังสาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาขึ้นแล้ว ทิเบตก็ยังคงมีผู้นำศาสนาเหมือนเดิม และเจริญรุ่งเรืองกว่าเดิม มีนิกายย่อยของนิกายวชิรยานถึง 6 นิกาย ศาสนิกของทั้ง 6 นิกายสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ตามปกติ
แต่ทว่าในส่วนการปกครองนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากยุคสมัยราชวงศ์ชิง และเป็นเขตปกครองตนเองภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ในวันนี้ในคณะรัฐบาลท้องถิ่นของทิเบตเกือบทั้งหมดก็เป็นชาวทิเบต มีชาวฮั่นเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่คนเหล่านั้นกลับถูกป้ายสีว่า “เป็นหุ่น” ของจีน
50 ปีที่ผ่านมานอกจากกิจการด้านศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองและมีสิทธิเสรีภาพเต็มเปี่ยม ภายใต้หลักนโยบายชนชาติส่วนน้อยของจีนแล้ว ในด้านการปกครองก็มีความเข้มแข็งและเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
การคมนาคม การสาธารณูปโภคต่างๆ เป็นไปอย่างทั่วถึง ความสุข ความสะดวก ความสบาย และความอยู่ดีกินดีมีปรากฏให้เห็นโดยทั่วไป ซึ่งคณะสื่อมวลชนไทยเคยเดินทางไปทำสารคดีในเรื่องนี้ และนำมาเผยแพร่ให้คนไทยได้รู้เห็นกันเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว
ในวันนี้ทิเบตไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากมณฑลอื่นๆ ของจีน และเป็นเขตปกครองตนเองที่ปกครองโดยชาวทิเบตซึ่งเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนเหมือนกับทุกพื้นที่ทั่วประเทศจีน และดูเหมือนว่ารัฐบาลจีนยังเอาใจใส่ทะนุถนอมทุ่มเทการพัฒนาให้กับทิเบตมากกว่าหลายพื้นที่เสียด้วยซ้ำ
ปัญหาทิเบตตลอด 50 ปีที่ผ่านมาแท้จริงแล้วไม่ใช่ปัญหาของชาวทิเบต หรือประชาชาติจีนหรือประเทศจีน หากเป็นปัญหาที่ถูกก่อขึ้นโดยมุ่งหมายที่จะแยกแผ่นดินทิเบตออกจากแผ่นดินจีน ลบล้างประวัติศาสตร์หลายพันปีที่แผ่นดินดังกล่าวเป็นแผ่นดินเดียวกัน
โดยมีมหาอำนาจเป็นผู้กำหนดเกมทั้งหลาย และใช้ทะไลลามะและคณะเป็นตัวหมากในการเดินบนกระดานแผ่นนี้ แต่ถึงจะเดินอย่างไร 50 ปีที่ผ่านมาก็ได้ให้บทพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถทำให้แผ่นดินทิเบตแยกออกจากจีนได้
เพราะจีนวันนี้ไม่ใช่จีนในยุคปลายของราชวงศ์ชิง ซึ่งถูกตะวันตกขนานนามว่าเป็นยักษ์ป่วยอีกต่อไปแล้ว และชนชาวทิเบตก็รู้สภาพตนเองและชาติบ้านเมืองของตนเองดีว่ามีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เป็นมาอย่างไร จึงไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้กับใครในการทำร้ายมาตุภูมิของตน
ดังนั้นถึงผู้กำหนดเกมและบงการการเดินหมากจะมีกำลังวังชาและศักยภาพปานไหน แต่ในเมื่อประชาชาติจีน 1,300 ล้านคนไม่เอาด้วยก็ไม่มีวันสำเร็จ
หนทางสันติของชนชาวทิเบตทั้งที่อยู่ในแผ่นดินจีนและนอกแผ่นดินจีนคือการตั้งสติมองเห็นความจริงในโอกาสที่การเดินหมากกลเพื่อแยกสลายจีนเดินมาครบ 50 ปีแล้ว ด้วยความรู้สึกผูกพันภาคภูมิใจในมาตุภูมิของตนและชนเผ่าของตนว่ามีศักดิ์และศรีดีกว่าที่จะเป็นตัวหมากให้ฝรั่งชี้นิ้วบงการให้เดินเหมือนกับที่เดินมา 50 ปีแล้ว
เพียงแค่หวนคำนึงถึงประวัติศาสตร์อันยาวไกลของมวลชนชาติในมหาประชาชาติจีนเท่านั้น ก็เท่ากับเป็นการตั้งต้นภาวะสันติของชนชาวทิเบตแล้ว และเรื่องนี้คนที่ต้องเป็นหัวเรือใหญ่ในการนำพาชนชาวทิเบตกลับสู่ความสันติก็คือทะไลลามะเอง
การปกครองย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในบัดนี้การปกครองทิเบตในลักษณะเขตปกครองตนเองอันเป็นส่วนหนึ่งของจีนได้สร้างความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญก้าวหน้า โดยน้ำมือของชนชาวทิเบตที่แม้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ก็คงเป็นชาวทิเบตอยู่นั่นเอง ถึงจะถูกชาติมหาอำนาจกล่าวหาว่าเป็นหุ่นเชิดก็ดีกว่าเป็นหุ่นเชิดของคนต่างด้าวเท้าต่างแดน ซึ่งมิได้มีความปรารถนาดีใดๆ ต่อชนชาวทิเบตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติจีนเลย
เมื่อใดที่ทะไลลามะยอมรับความจริงในความเปลี่ยนแปลงทางด้านการปกครองที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฐานะผู้นำทางศาสนาที่ดำรงอยู่ตามพระธรรมวินัยก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่าชราและมรณะจะมาพรากจากไปเท่านั้น
ความจริงนี้คือความจริงที่จะนำสันติและความเจริญรุ่งเรืองสู่ทิเบต ซึ่งทะไลลามะจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเป็นคนที่หนึ่ง โดยตระหนักว่า 50 ปีที่ผ่านมาชาวทิเบตนอกดินแดนจีนเดือดร้อนแสนสาหัส บ้านแตกสาแหรกขาดมากพอแล้ว และได้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมามากพอแล้ว จึงถึงเวลาที่ทะไลลามะจะได้นำพาเขาเหล่านั้นกลับคืนมาตุภูมิโดยสันติเสียที.
แนวทางการเสนอข่าวไปในทางเดียวกันว่าเป็นการเคลื่อนไหวเนื่องในโอกาสที่ ทิเบตถูกจีนยึดครองครบ 50 ปี
ปัญหาว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน หรือจีนเข้ายึดครองทิเบต เป็นวาทกรรมที่ถูกใช้ในสมรภูมิสื่อมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ดังนั้นคนไทยจึงควรเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร มิฉะนั้นก็ไม่อาจรู้เท่าทันการสู้รบในสมรภูมิสื่อที่กำลังขับเคลื่อนกันอยู่ในปัจจุบันนี้
นับตั้งแต่พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้รวบรวมจีนเข้าเป็นหนึ่ง ก่อนยุคสมัยสามก๊กร่วม 500 ปี แผ่นดินซีจ้างหรือทิเบตก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีนแล้ว ในยุคสามก๊กแผ่นดินทิเบตก็เป็นแค่เมืองๆ หนึ่งในอาณาจักรฮั่นของพระเจ้าเล่าปัง เช่นเดียวกับเมืองเกงจิ๋วหรือเมืองกังตั๋งหรือเมืองฮูโต๋
เป็นแต่ว่าทิเบตนั้นไม่มีเจ้าเมือง เพราะเป็นแคว้นที่ปกครองโดยผู้นำทางศาสนา คือศาสนาพุทธนิกายวชิรยาน
เมื่อครั้งที่เจงกิสข่านเข้าปกครองแผ่นดินจีนตั้งราชวงศ์หงวนหรือหยวนแล้ว แผ่นดินทิเบตก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีนเรื่อยมา จนกระทั่งถึงสมัยราชวงศ์ชิง
จู่ๆ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิงซึ่งเลื่อมใสศาสนาพุทธนิกายวชิรยานมีพระราชศรัทธาพิเศษ ได้สถาปนาให้ผู้นำทางศาสนาเป็นเจ้าเมืองหรือเป็นผู้นำทางการเมืองอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วเป็นการขัดต่อพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดาโดยแท้
นับแต่นั้นมาการปกครองในทิเบตจึงเป็นการปกครองที่ซ้อนกันระหว่างเจ้าเมืองซึ่งเป็นตำแหน่งทางปกครองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ กับความเป็นผู้นำทางศาสนาพุทธนิกายวชิรยานที่มีมาแต่ดั้งเดิม ดังนั้นผู้นำทิเบตจึงสวมหมวกสองใบ
ใบหนึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาในฐานะศิษย์พระตถาคตเจ้า และอีกใบหนึ่งเป็นหมวกที่ขัดต่อพระวินัยของพระตถาคตเจ้าแต่จำต้องอนุโลมตามพระราชประสงค์ของฮ่องเต้
เมื่อประเทศจีนใหม่ได้สถาปนาขึ้น โดยคำประกาศอันเกริกก้องของเหมาเจ๋อตงประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนบนกำแพงประตูเทียนอันเหมินที่ว่า สาธารณรัฐของประชาชนจีนสถาปนาขึ้นแล้ว ประชาชนจีนลุกยืนขึ้นแล้ว ได้สร้างความตระหนกตกใจให้แก่บรรดานักล่าอาณานิคมทั้งโลก
และนับแต่นั้นมาจีนก็ตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกทำลายล้างด้วยความปรารถนาที่ต้องการให้จีนกลับไปเป็นเช่นเดียวกับยุคปลายสมัยราชวงศ์ชิงที่แผ่นดินจีนต้องถูกแบ่งออกเป็นเขตเช่าถึง 8 เขต และชาติมหาอำนาจสามารถกดหัวบังคับขับไสประชาชาติจีนได้ตามอำเภอใจ
เพื่อบ่อนทำลายสาธารณรัฐของประชาชนให้กลับไปสู่สถานการณ์แบบเก่า ไต้หวัน ทิเบต และซินเกียง คือเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยุคนั้นและยังขับเคลื่อนอยู่ถึงยุคนี้ และยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุผลในการแยกดินแดนเหล่านี้ออกจากจีนเลย
50 ปีก่อนความพยายามของบางชาติมหาอำนาจบรรลุผล สามารถยุยงให้ผู้นำศาสนาของทิเบตและผู้นับถือลุกขึ้นต่อต้านการปกครองของรัฐบาลจีน จนเกิดเป็นการจลาจล และรัฐบาลจีนต้องส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามการจลาจลนั้น
เป็นเหตุให้ทะไลลามะและคณะต้องอพยพหลบหนีออกจากแผ่นดินจีน และไปตั้งรกรากปักฐานอยู่ที่อินเดีย ในความอุปถัมภ์ของฝรั่งมหาอำนาจบางประเทศ
นับแต่นั้นมาข้อกล่าวหาที่ว่า จีนส่งกำลังทหารเข้ายึดทิเบต หรือจีนฮุบทิเบต จึงปรากฏตามสื่อมวลชนเป็นลำดับมา ในขณะที่ชาติมหาอำนาจก็ได้สนับสนุนทะไลลามะและคณะเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านจีน ซึ่งผิดพระวินัยของศาสนาพุทธ เพื่อหวังให้แย่งยึดดินแดนทิเบตออกจากจีนอย่างเต็มที่
หลังสาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาขึ้นแล้ว ทิเบตก็ยังคงมีผู้นำศาสนาเหมือนเดิม และเจริญรุ่งเรืองกว่าเดิม มีนิกายย่อยของนิกายวชิรยานถึง 6 นิกาย ศาสนิกของทั้ง 6 นิกายสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ตามปกติ
แต่ทว่าในส่วนการปกครองนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากยุคสมัยราชวงศ์ชิง และเป็นเขตปกครองตนเองภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ในวันนี้ในคณะรัฐบาลท้องถิ่นของทิเบตเกือบทั้งหมดก็เป็นชาวทิเบต มีชาวฮั่นเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่คนเหล่านั้นกลับถูกป้ายสีว่า “เป็นหุ่น” ของจีน
50 ปีที่ผ่านมานอกจากกิจการด้านศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองและมีสิทธิเสรีภาพเต็มเปี่ยม ภายใต้หลักนโยบายชนชาติส่วนน้อยของจีนแล้ว ในด้านการปกครองก็มีความเข้มแข็งและเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
การคมนาคม การสาธารณูปโภคต่างๆ เป็นไปอย่างทั่วถึง ความสุข ความสะดวก ความสบาย และความอยู่ดีกินดีมีปรากฏให้เห็นโดยทั่วไป ซึ่งคณะสื่อมวลชนไทยเคยเดินทางไปทำสารคดีในเรื่องนี้ และนำมาเผยแพร่ให้คนไทยได้รู้เห็นกันเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว
ในวันนี้ทิเบตไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากมณฑลอื่นๆ ของจีน และเป็นเขตปกครองตนเองที่ปกครองโดยชาวทิเบตซึ่งเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนเหมือนกับทุกพื้นที่ทั่วประเทศจีน และดูเหมือนว่ารัฐบาลจีนยังเอาใจใส่ทะนุถนอมทุ่มเทการพัฒนาให้กับทิเบตมากกว่าหลายพื้นที่เสียด้วยซ้ำ
ปัญหาทิเบตตลอด 50 ปีที่ผ่านมาแท้จริงแล้วไม่ใช่ปัญหาของชาวทิเบต หรือประชาชาติจีนหรือประเทศจีน หากเป็นปัญหาที่ถูกก่อขึ้นโดยมุ่งหมายที่จะแยกแผ่นดินทิเบตออกจากแผ่นดินจีน ลบล้างประวัติศาสตร์หลายพันปีที่แผ่นดินดังกล่าวเป็นแผ่นดินเดียวกัน
โดยมีมหาอำนาจเป็นผู้กำหนดเกมทั้งหลาย และใช้ทะไลลามะและคณะเป็นตัวหมากในการเดินบนกระดานแผ่นนี้ แต่ถึงจะเดินอย่างไร 50 ปีที่ผ่านมาก็ได้ให้บทพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถทำให้แผ่นดินทิเบตแยกออกจากจีนได้
เพราะจีนวันนี้ไม่ใช่จีนในยุคปลายของราชวงศ์ชิง ซึ่งถูกตะวันตกขนานนามว่าเป็นยักษ์ป่วยอีกต่อไปแล้ว และชนชาวทิเบตก็รู้สภาพตนเองและชาติบ้านเมืองของตนเองดีว่ามีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์เป็นมาอย่างไร จึงไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้กับใครในการทำร้ายมาตุภูมิของตน
ดังนั้นถึงผู้กำหนดเกมและบงการการเดินหมากจะมีกำลังวังชาและศักยภาพปานไหน แต่ในเมื่อประชาชาติจีน 1,300 ล้านคนไม่เอาด้วยก็ไม่มีวันสำเร็จ
หนทางสันติของชนชาวทิเบตทั้งที่อยู่ในแผ่นดินจีนและนอกแผ่นดินจีนคือการตั้งสติมองเห็นความจริงในโอกาสที่การเดินหมากกลเพื่อแยกสลายจีนเดินมาครบ 50 ปีแล้ว ด้วยความรู้สึกผูกพันภาคภูมิใจในมาตุภูมิของตนและชนเผ่าของตนว่ามีศักดิ์และศรีดีกว่าที่จะเป็นตัวหมากให้ฝรั่งชี้นิ้วบงการให้เดินเหมือนกับที่เดินมา 50 ปีแล้ว
เพียงแค่หวนคำนึงถึงประวัติศาสตร์อันยาวไกลของมวลชนชาติในมหาประชาชาติจีนเท่านั้น ก็เท่ากับเป็นการตั้งต้นภาวะสันติของชนชาวทิเบตแล้ว และเรื่องนี้คนที่ต้องเป็นหัวเรือใหญ่ในการนำพาชนชาวทิเบตกลับสู่ความสันติก็คือทะไลลามะเอง
การปกครองย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในบัดนี้การปกครองทิเบตในลักษณะเขตปกครองตนเองอันเป็นส่วนหนึ่งของจีนได้สร้างความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญก้าวหน้า โดยน้ำมือของชนชาวทิเบตที่แม้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ก็คงเป็นชาวทิเบตอยู่นั่นเอง ถึงจะถูกชาติมหาอำนาจกล่าวหาว่าเป็นหุ่นเชิดก็ดีกว่าเป็นหุ่นเชิดของคนต่างด้าวเท้าต่างแดน ซึ่งมิได้มีความปรารถนาดีใดๆ ต่อชนชาวทิเบตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติจีนเลย
เมื่อใดที่ทะไลลามะยอมรับความจริงในความเปลี่ยนแปลงทางด้านการปกครองที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฐานะผู้นำทางศาสนาที่ดำรงอยู่ตามพระธรรมวินัยก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่าชราและมรณะจะมาพรากจากไปเท่านั้น
ความจริงนี้คือความจริงที่จะนำสันติและความเจริญรุ่งเรืองสู่ทิเบต ซึ่งทะไลลามะจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเป็นคนที่หนึ่ง โดยตระหนักว่า 50 ปีที่ผ่านมาชาวทิเบตนอกดินแดนจีนเดือดร้อนแสนสาหัส บ้านแตกสาแหรกขาดมากพอแล้ว และได้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมามากพอแล้ว จึงถึงเวลาที่ทะไลลามะจะได้นำพาเขาเหล่านั้นกลับคืนมาตุภูมิโดยสันติเสียที.