หลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติแจ้งข้อหากับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรีจากรัฐบาลชุดเดียวกัน ในความผิดทางอาญา ตามมาตรา 157 ต่อเหตุการณ์กรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ด้านหน้าอาคารรัฐสภา ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันแถลงนโยบายของรัฐบาลนายสมชายก่อนเข้าบริหารราชการแผ่นดิน โดยในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังแจ้งข้อกล่าวหาความผิดทางวินัยแก่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และพล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รองผบ.ตร.ด้วย
ส่วนนายตำรวจอีก 3 นายอันได้แก่ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบ.ชน. – พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบ.ชน. และ พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบ.ชน. นั้นถูกแจ้งข้อกล่าวหามีความผิดทางวินัย และทางอาญา ฐานกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
แรงกระเพื่อมที่ตามมาหลังการแจ้งข้อกล่าวหาจาก ป.ป.ช. ในส่วนของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สามีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษชายจากคดีที่ดินรัชดาฯ นั้นยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
มีแต่อาการหงุดหงิดฟาดงวงฟาดงาเล็กๆ น้อยๆ จากนางเยาวเรศ ชินวัตร ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ที่ฟูมฟายผ่านสื่อมวลชนว่า “ตระกูลชินวัตรถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม”
ขอโทษรายนี้ก่อนพูด คงลืมไปว่า ตัวของตัวเองยังติดกึกอยู่กับคดี “คาร์ปาร์ค” อยู่เลย
ขอโทษอีกหน เพราะอยากถามคุณเยาวเรศกลับไปว่า คนอย่างคุณรู้จักคำว่า ธรรมะ และยุติธรรมมากน้อยแค่ไหน
ถ้ารู้จักคำตอบดีแล้วก็บอกกับตัวเอง ไม่ต้องส่งมา ไม่มีของรางวัลอะไรจะให้ เพราะสมบัติที่มีอยู่น้อยนิด ถูกโจรหน้าเหลี่ยมมันปล้นสะดมไปหมดแล้ว
ทางด้านพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ดูเหมือนว่า จะมีสีหน้าและอารมณ์ “มึนงง” กับข้อกล่าวหามากทีเดียว
อาการหน้าซื่อตาใสของ “บิ๊กจิ๋ว” ทำให้เหล่าพันธมิตรฯ กลับเป็นฝ่าย “มึนงงยิ่งกว่า” เหมือนถูกไล่ยิงด้วยกระสุนแก๊สน้ำตาจากน้ำมือ “ตำรวจชั่ว” กลุ่มเดิมซ้ำสอง
ฟากตำรวจนั้นเล่าก็พาเหรดกันออกมาปกป้องตัวเองเป็นพัลวันอย่างน่าอดสู
เริ่มตั้งแต่ “พัชรวาท” น้องน้อยผู้น่ารักน่าสงสารของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กลับเข้ามานั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ได้อีกหนท่ามกลางเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ว่า “บารมีพี่ชาย”
นายตำรวจใหญ่ผู้นี้ เรียกคะแนนสงสารให้พวกเดียวกันว่า “เห็นใจตำรวจที่ทำงานจะเสียขวัญและกำลังใจ”
แปลว่า อะไร ... แปลว่า งานนี้ประชาชนต้องเสียสละอวัยวะ และชีวิตเพื่อบำรุงขวัญและกำลังใจให้ตำรวจที่ไล่ฆ่าประชาชนอย่างนั้นใช่ไหมคุณพัชรวาท
ถัดมา พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา ได้ “น้องตูมตาม” วศิน มีปรีชาวัย 24 ปี ลูกชายที่เกิดจากนักแสดงสาวใหญ่ “พิราวรรณ ประสพศาสตร์” โพสต์ขอความเป็นธรรมและเห็นใจให้บิดาผ่านทางเว็บไซต์ เพราะต้องมาเข้าเวรแทนเพื่อน คือ “พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมโน” ซึ่งติดจัดงานศพให้กับบิดาอยู่ที่ จ.สงขลา โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการอันใดในวันที่ 7 ตุลาด้วยเลย
น้อมตูมตามเนี่ยกตัญญูกับบิดาประหนึ่งลูกไม้ไกลต้นเสียจริงๆ ขอให้น้องเจริญๆ เรียนจบจากนิวยอร์กไวๆ นะ เมื่อกลับมาแล้วก็อย่าลืมมาร่วมขบวนพันธมิตรฯ กับคุณลุงสนธิล่ะ น้องจะได้รู้ความจริงเสียทีว่า ตำรวจชั่วมันไล่ล่าและไล่ฆ่าประชาชนตาดำๆ ด้วยความป่าเถื่อนเช่นไร
เมื่อรู้ข้อมูลถูกต้องแล้ว น้องตูมตามจะโพสต์อะไรก็เชิญเถิด ขออย่างเดียวอย่าโพสต์ “ด่าพ่อ” บาปกรรม
นี่เป็นบางส่วนจากปฏิกิริยาของนักการเมือง และนายตำรวจบางคน หลัง คณะกรรมการ ป.ป.ช.แจ้งข้อหา ทั้งอาญา และวินัย
ส่วนพันธมิตรฯ ผู้บาดเจ็บ - ผู้สูญเสีย และญาติของผู้จากไปนั้นเล่า จะมีใครหน้าไหนทั้งในซีกรัฐบาลหรือฝ่ายค้านที่จะมาเห็นใจ หรือฟังเสียงน้ำตาของพวกเขาไหม
จะมีก็นี่...นักการเมือง ปากเสียใจทรามคนหนึ่ง ที่สาดน้ำลายสกปรกราดรดหัวใจ “คนถือธงธรรม”
“เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ” ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวหาน้องโบว์เพื่อปกป้องสมชายและบิ๊กจิ๋ว ว่า
“อังคณาไม่ได้ตายจากเหตุที่เกี่ยวข้องกัน แค่ผ่านไป บชน.ซึ่งพวกเสื้อเหลืองกำลังกดดันทุกวิถีทาง และเหตุการณ์กำลังตึงเครียด ตำรวจต้องปกป้อง บชน.ขณะที่พวกเสื้อเหลืองตะโกนว่า ฆ่ามันๆๆๆ”
ได้ยินอย่างนี้ “คุณพ่อจินดา ระดับปัญญาวุฒิ” บิดาของน้องโบว์-อังคณา ตอบโต้สั้นๆ ด้วยเสียงดุดันว่า
“ฟังคุณเชาวรินพูดแล้ว ผมพูดอะไรไม่ออกอีกเลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล่าวหาลูกสาวผมที่เสียไปแล้วด้วยถ้อยคำต่ำๆ เช่นนี้”
“น้องโบว์ตายไปแล้ว น้องโบว์มาเถียงอะไรไม่ได้แล้ว มีแต่ผม กับแม่ และน้องๆของเขาที่จะต้องทำหน้าที่นี้แทน เราต้องรักษาเกียรติยศให้กับลูกสาวของเรา” พ่อผู้สูญเสียกล่าวด้วยความอัดอั้น และถึงนาทีนี้ อะไรๆ ก็หยุดหัวใจปวดร้าวของผู้เป็นพ่อไว้ไม่อยู่
“คนอย่างพวกเรา คนทำมาหากิน เราไม่อยากยุ่งกับผู้มีอำนาจวาสนา แต่ถ้าคุณมายุ่งกับเรา มาดูถูกลูก และเมียของผม ผมก็ไม่ยอมคุณเหมือนกัน เป็นไงก็เป็นกันสิ” พ่อใจดีเลือดเดือดแล้ว
ความเดียวกันนี้เองเชาวรินยังพูดจา “หมาไม่แดก” ล่วงเกินไปถึง “สารวัตรจ๊าบ-เมธี” ที่ตายเพราะกระสุนปืนลึกลับที่ซัดโครมเข้ามายังรถจี๊ปที่จอดหน้าพรรคชาติไทยในวันที่ 7 ตุลาคม ว่า
“สารวัตรเมธีขนระเบิดมา และเกิดระเบิดขึ้นก่อนที่จะถูกนำมาใช้ที่หน้ารัฐสภา” งานนี้เชาวรินพูดจากะล่อนไปๆ มาๆ คล้ายให้ผู้ฟังคิดตามไปว่า สารวัตรจ๊าบถูกใช้ให้ขนระเบิดมาวางหน้ารัฐสภาเพื่อสังหารหมู่
เรื่องร้อนหูจากปากเชาวรินทำให้ “พี่น้อย ชาติมนตรี” เมียสารวัตรจ๊าบและเป็นน้องสาวคนเล็กของ “การุณ ใสงาม” สวมวิญญาณแม่ม่ายผัวตายลูกสองผู้กล้าหาญ สาดกระสุนวาจาใส่เชาวรินชนิด “ไม่อั้น”
“เขาพูดมาจากอะไร ใช้อะไรพูด ปากหรือนั่น” พี่น้อยเริ่มต้นเสียงสั่นเหมือนกลั้นน้ำตา เมื่อมีคนบ้ามาด่าผัวรัก และใส่ต่อไปเหมือนสลุตว่า “อย่ามาดูถูก อย่ามาใส่ร้าย อย่าคิดว่าเราจนตรอกไม่มีทางสู้ แม่ม่ายผัวตายคนนี้ไม่เคยกลัวใคร” เธอประกาศท้าทายและพูดต่ออย่างเอาเป็นเอาตายว่า
“เมื่อพี่จ๊าบยอมเสียชีพเพื่อชาติและราชบัลลังก์ได้ ฉันก็ยอมตายได้เพื่อรักษาเกียรติสามีของฉันที่ตายไปเพราะถูกลอบกัดได้เหมือนกัน”
“อย่าคิดนะว่าพี่จ๊าบไม่อยู่แล้ว ใครมันจะพูดอะไรได้ตามใจปากอย่างไม่ถูกต้อง ไม่มีทาง เมื่อเราบริสุทธิ์เราจะสู้ และฉันจะฟ้องร้องเชาวรินให้ถึงที่สุดให้เข็ดหลาบเลย” พี่น้อยพูดจบก็ปล่อยโฮด้วยความเจ็บใจ ที่คนตายถูกฆ่าให้ตายอีกหนด้วยลมปากของนักการเมืองที่เห็นทรราชดีกว่าประเทศชาติ
เสียงดูแคลนของเชาวรินจุดชนวนความโกรธขึ้งในใจพันธมิตรฯ ผู้บาดเจ็บและสูญเสียมากมาย ท่ามกลางการเปิดฉาก “สงครามประชาชน” ที่โหมโรงด้วยการโฟนอิน เข้าถึงรากหญ้าของ “ทักษิณ ชินวัตร” ตามด้วยอันธพาลกองทัพเสื้อแดงที่จ้องล้อมหน้าล้อมหลังสร้างความรำคาญเหมือน “ยุง” ตอมหูรัฐบาลเทพประทาน ถัดมาด้วยเกมล้ม “อภิสิทธิ์” ด้วยศึกอภิปรายเหลวไหลไร้ราคา และการชุมนุมใหญ่ของคนใจแดงที่กำลังไหลมากะปริดกะปรอยไม่ต่างอะไรไปจากประจำเดือนสาวใหญ่วัยกำลังใกล้หมดระดู
ก่อนสงครามประชาชนจะเกิด ก่อนที่เลือดจะนองท้องช้างไปดูอีกชีวิตหนึ่งที่กำลังรวยรินอยู่บนชั้น 2 อาคารธนาคารกรุงเทพ โรงพยาบาลจุฬาฯ ด้วยกัน
ที่นั่นจะได้เห็นอาการบาดเจ็บปางตายของ “พี่รุ่งทิวา” พันธมิตรฯ ปากช่องวัย 47 ปีของเราที่ถูกกระสุนแก๊สน้ำตาหมดอายุจากเมืองจีน ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมจนถึงบัดนี้ พี่รุ่งทิวายังไม่ลุกขึ้นมาเลย หมอบอกว่า สมองข้างหนึ่งยุบอีกข้างหนึ่งบวม เลือดท่วมแกนสมองแล้ว ทั้งยังตาบอดข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งมองไปไร้จุดหมาย เนื้อตัว แขน ขา ที่ปวกเปียกเต็มไปด้วยบาดแผลสะเก็ดระเบิด
เธอนอนเหมือนอยู่ และอยู่เหมือนจากไป เห็นแล้วสะท้อนสะเทือนใจ พยานปากสุดท้ายยังรวยริน
ย้อนกลับไปในวันที่พี่รุ่งทิวามาเป็นพันธมิตรฯ เพราะทนคนชาติชั่วไร้ยางอายไม่จ่ายภาษี แถมจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันสูงสุดไม่ไหว เธอจึงมาเป็นพันธมิตรฯ กับพรรคพวกบ้านหนองสาหร่าย
วันที่สมชายดึงดันจะแถลงนโยบายที่รัฐสภาให้จงได้ พี่รุ่งทิวาก็อยู่แถวๆ นั้น ขณะที่เธอกำลังยกมือท่วมหัวถวายสักการะ “พระบรมรูปทรงม้า” อยู่นั้น ก็มีระเบิดเวรตะไลมาจากไหน-ของใครไม่รู้ได้...หล่นโครมตรงหน้า
“บึ้มมมมมมม” .....แรงระเบิดเป็นผลให้พันธมิตรฯ หลายคนบาดเจ็บและล้มตาย หนึ่งในนั้นคือ พี่รุ่งทิวา ที่อาการสาหัส และน้องโบว์ –อังคณา เสียชีวิตคาที่
เหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เรื่อยมาถึงตอนกลางวัน และลามมาถึงยามค่ำคืน นี่คือโศกนาฏกรรมของวันที่ 7 ตุลาคม 2551
วันนั้นทั้งวัน...ตำรวจนับร้อยๆ คนหมดกระสุนแก๊สน้ำตาไปหลายร้อยนัด และ พันธมิตรฯ ผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บ – ล้มตายดุจใบไม้ร่วง ไม่มากไม่น้อย แค่นับร้อยชีวิตเท่านั้นเอง
เลือดและน้ำตา คละเคล้าปนเปแยกกันไม่ออก
คนเจ็บยังมีปากเสียงเถียงได้ ส่วนคนตายใครมาขึ้นเสียงเถียงแทนให้
พวกมันถึงได้กล้าโกหกและกล้าแม้แต่จะตลบศพคนตายขึ้นมาย่ำยีอีกหนด้วยปากโสโครกของนักการเมืองโสมม ถ้าจะกล้าต้องกล้ากันให้ตลอด
เพราะพันธมิตรฯ ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งไป คนหนึ่งเจ็บ คนที่เหลือย่อมอาดูร และท่ามกลางความสูญเสียพันธมิตรฯ จะไม่มีวันยอมให้อ้าย – อีหน้าไหน มาสาดโคลนใส่ร้ายได้อีกต่อไป
ต่อแต่นี้ไป...พวกเราจงมาสัญญา มาสาบาน มาเปิดประจัญบานกับมันทุกผู้ทุกนามที่ “ใส่ร้าย” เพื่อนของเราที่ไปเจ็บ-ไปตายให้กับแผ่นดิน และพระเจ้าของแผ่นดิน
ต่อแต่นี้ไป...พวกเราจงจำไว้ แม้เพียงปลายก้อย ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ใหญ่โตแค่ไหน หากมันดูถูก “ประชาชน” จงหยุดพวกมันเสีย อย่าปล่อยให้ได้ผุดได้เกิดไปลอยหน้าลอยตาหาผลประโยชน์เหมือน “หมาบ้า” ตัวนั้นที่กำลังน้ำลายฟูมปากจากการโฟนอินรากหญ้า
ต่อแต่นี้ไป... ต้องประจันหน้า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ให้มันรู้กันไป...ว่า ธรรมะจะพ่ายแพ้แก่อธรรมและต้องคุกเข่าก้มหน้าให้กับคนใจพาลสันดานหยาบช้า
ก็ให้มันรู้กันไปว่า หลังมติ ป.ป.ช.แจ้งข้อหาแล้ว ประชาชนจะต้องเป็นผู้พ่ายแพ้ และคุกมีไว้ขังหมากับประชาชนเท่านั้น... ก็ให้มันรู้กันไป.
นอกจากนี้ยังแจ้งข้อกล่าวหาความผิดทางวินัยแก่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และพล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รองผบ.ตร.ด้วย
ส่วนนายตำรวจอีก 3 นายอันได้แก่ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบ.ชน. – พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบ.ชน. และ พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบ.ชน. นั้นถูกแจ้งข้อกล่าวหามีความผิดทางวินัย และทางอาญา ฐานกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
แรงกระเพื่อมที่ตามมาหลังการแจ้งข้อกล่าวหาจาก ป.ป.ช. ในส่วนของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สามีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษชายจากคดีที่ดินรัชดาฯ นั้นยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
มีแต่อาการหงุดหงิดฟาดงวงฟาดงาเล็กๆ น้อยๆ จากนางเยาวเรศ ชินวัตร ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ที่ฟูมฟายผ่านสื่อมวลชนว่า “ตระกูลชินวัตรถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม”
ขอโทษรายนี้ก่อนพูด คงลืมไปว่า ตัวของตัวเองยังติดกึกอยู่กับคดี “คาร์ปาร์ค” อยู่เลย
ขอโทษอีกหน เพราะอยากถามคุณเยาวเรศกลับไปว่า คนอย่างคุณรู้จักคำว่า ธรรมะ และยุติธรรมมากน้อยแค่ไหน
ถ้ารู้จักคำตอบดีแล้วก็บอกกับตัวเอง ไม่ต้องส่งมา ไม่มีของรางวัลอะไรจะให้ เพราะสมบัติที่มีอยู่น้อยนิด ถูกโจรหน้าเหลี่ยมมันปล้นสะดมไปหมดแล้ว
ทางด้านพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ดูเหมือนว่า จะมีสีหน้าและอารมณ์ “มึนงง” กับข้อกล่าวหามากทีเดียว
อาการหน้าซื่อตาใสของ “บิ๊กจิ๋ว” ทำให้เหล่าพันธมิตรฯ กลับเป็นฝ่าย “มึนงงยิ่งกว่า” เหมือนถูกไล่ยิงด้วยกระสุนแก๊สน้ำตาจากน้ำมือ “ตำรวจชั่ว” กลุ่มเดิมซ้ำสอง
ฟากตำรวจนั้นเล่าก็พาเหรดกันออกมาปกป้องตัวเองเป็นพัลวันอย่างน่าอดสู
เริ่มตั้งแต่ “พัชรวาท” น้องน้อยผู้น่ารักน่าสงสารของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กลับเข้ามานั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ได้อีกหนท่ามกลางเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ว่า “บารมีพี่ชาย”
นายตำรวจใหญ่ผู้นี้ เรียกคะแนนสงสารให้พวกเดียวกันว่า “เห็นใจตำรวจที่ทำงานจะเสียขวัญและกำลังใจ”
แปลว่า อะไร ... แปลว่า งานนี้ประชาชนต้องเสียสละอวัยวะ และชีวิตเพื่อบำรุงขวัญและกำลังใจให้ตำรวจที่ไล่ฆ่าประชาชนอย่างนั้นใช่ไหมคุณพัชรวาท
ถัดมา พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา ได้ “น้องตูมตาม” วศิน มีปรีชาวัย 24 ปี ลูกชายที่เกิดจากนักแสดงสาวใหญ่ “พิราวรรณ ประสพศาสตร์” โพสต์ขอความเป็นธรรมและเห็นใจให้บิดาผ่านทางเว็บไซต์ เพราะต้องมาเข้าเวรแทนเพื่อน คือ “พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมโน” ซึ่งติดจัดงานศพให้กับบิดาอยู่ที่ จ.สงขลา โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการอันใดในวันที่ 7 ตุลาด้วยเลย
น้อมตูมตามเนี่ยกตัญญูกับบิดาประหนึ่งลูกไม้ไกลต้นเสียจริงๆ ขอให้น้องเจริญๆ เรียนจบจากนิวยอร์กไวๆ นะ เมื่อกลับมาแล้วก็อย่าลืมมาร่วมขบวนพันธมิตรฯ กับคุณลุงสนธิล่ะ น้องจะได้รู้ความจริงเสียทีว่า ตำรวจชั่วมันไล่ล่าและไล่ฆ่าประชาชนตาดำๆ ด้วยความป่าเถื่อนเช่นไร
เมื่อรู้ข้อมูลถูกต้องแล้ว น้องตูมตามจะโพสต์อะไรก็เชิญเถิด ขออย่างเดียวอย่าโพสต์ “ด่าพ่อ” บาปกรรม
นี่เป็นบางส่วนจากปฏิกิริยาของนักการเมือง และนายตำรวจบางคน หลัง คณะกรรมการ ป.ป.ช.แจ้งข้อหา ทั้งอาญา และวินัย
ส่วนพันธมิตรฯ ผู้บาดเจ็บ - ผู้สูญเสีย และญาติของผู้จากไปนั้นเล่า จะมีใครหน้าไหนทั้งในซีกรัฐบาลหรือฝ่ายค้านที่จะมาเห็นใจ หรือฟังเสียงน้ำตาของพวกเขาไหม
จะมีก็นี่...นักการเมือง ปากเสียใจทรามคนหนึ่ง ที่สาดน้ำลายสกปรกราดรดหัวใจ “คนถือธงธรรม”
“เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ” ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวหาน้องโบว์เพื่อปกป้องสมชายและบิ๊กจิ๋ว ว่า
“อังคณาไม่ได้ตายจากเหตุที่เกี่ยวข้องกัน แค่ผ่านไป บชน.ซึ่งพวกเสื้อเหลืองกำลังกดดันทุกวิถีทาง และเหตุการณ์กำลังตึงเครียด ตำรวจต้องปกป้อง บชน.ขณะที่พวกเสื้อเหลืองตะโกนว่า ฆ่ามันๆๆๆ”
ได้ยินอย่างนี้ “คุณพ่อจินดา ระดับปัญญาวุฒิ” บิดาของน้องโบว์-อังคณา ตอบโต้สั้นๆ ด้วยเสียงดุดันว่า
“ฟังคุณเชาวรินพูดแล้ว ผมพูดอะไรไม่ออกอีกเลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล่าวหาลูกสาวผมที่เสียไปแล้วด้วยถ้อยคำต่ำๆ เช่นนี้”
“น้องโบว์ตายไปแล้ว น้องโบว์มาเถียงอะไรไม่ได้แล้ว มีแต่ผม กับแม่ และน้องๆของเขาที่จะต้องทำหน้าที่นี้แทน เราต้องรักษาเกียรติยศให้กับลูกสาวของเรา” พ่อผู้สูญเสียกล่าวด้วยความอัดอั้น และถึงนาทีนี้ อะไรๆ ก็หยุดหัวใจปวดร้าวของผู้เป็นพ่อไว้ไม่อยู่
“คนอย่างพวกเรา คนทำมาหากิน เราไม่อยากยุ่งกับผู้มีอำนาจวาสนา แต่ถ้าคุณมายุ่งกับเรา มาดูถูกลูก และเมียของผม ผมก็ไม่ยอมคุณเหมือนกัน เป็นไงก็เป็นกันสิ” พ่อใจดีเลือดเดือดแล้ว
ความเดียวกันนี้เองเชาวรินยังพูดจา “หมาไม่แดก” ล่วงเกินไปถึง “สารวัตรจ๊าบ-เมธี” ที่ตายเพราะกระสุนปืนลึกลับที่ซัดโครมเข้ามายังรถจี๊ปที่จอดหน้าพรรคชาติไทยในวันที่ 7 ตุลาคม ว่า
“สารวัตรเมธีขนระเบิดมา และเกิดระเบิดขึ้นก่อนที่จะถูกนำมาใช้ที่หน้ารัฐสภา” งานนี้เชาวรินพูดจากะล่อนไปๆ มาๆ คล้ายให้ผู้ฟังคิดตามไปว่า สารวัตรจ๊าบถูกใช้ให้ขนระเบิดมาวางหน้ารัฐสภาเพื่อสังหารหมู่
เรื่องร้อนหูจากปากเชาวรินทำให้ “พี่น้อย ชาติมนตรี” เมียสารวัตรจ๊าบและเป็นน้องสาวคนเล็กของ “การุณ ใสงาม” สวมวิญญาณแม่ม่ายผัวตายลูกสองผู้กล้าหาญ สาดกระสุนวาจาใส่เชาวรินชนิด “ไม่อั้น”
“เขาพูดมาจากอะไร ใช้อะไรพูด ปากหรือนั่น” พี่น้อยเริ่มต้นเสียงสั่นเหมือนกลั้นน้ำตา เมื่อมีคนบ้ามาด่าผัวรัก และใส่ต่อไปเหมือนสลุตว่า “อย่ามาดูถูก อย่ามาใส่ร้าย อย่าคิดว่าเราจนตรอกไม่มีทางสู้ แม่ม่ายผัวตายคนนี้ไม่เคยกลัวใคร” เธอประกาศท้าทายและพูดต่ออย่างเอาเป็นเอาตายว่า
“เมื่อพี่จ๊าบยอมเสียชีพเพื่อชาติและราชบัลลังก์ได้ ฉันก็ยอมตายได้เพื่อรักษาเกียรติสามีของฉันที่ตายไปเพราะถูกลอบกัดได้เหมือนกัน”
“อย่าคิดนะว่าพี่จ๊าบไม่อยู่แล้ว ใครมันจะพูดอะไรได้ตามใจปากอย่างไม่ถูกต้อง ไม่มีทาง เมื่อเราบริสุทธิ์เราจะสู้ และฉันจะฟ้องร้องเชาวรินให้ถึงที่สุดให้เข็ดหลาบเลย” พี่น้อยพูดจบก็ปล่อยโฮด้วยความเจ็บใจ ที่คนตายถูกฆ่าให้ตายอีกหนด้วยลมปากของนักการเมืองที่เห็นทรราชดีกว่าประเทศชาติ
เสียงดูแคลนของเชาวรินจุดชนวนความโกรธขึ้งในใจพันธมิตรฯ ผู้บาดเจ็บและสูญเสียมากมาย ท่ามกลางการเปิดฉาก “สงครามประชาชน” ที่โหมโรงด้วยการโฟนอิน เข้าถึงรากหญ้าของ “ทักษิณ ชินวัตร” ตามด้วยอันธพาลกองทัพเสื้อแดงที่จ้องล้อมหน้าล้อมหลังสร้างความรำคาญเหมือน “ยุง” ตอมหูรัฐบาลเทพประทาน ถัดมาด้วยเกมล้ม “อภิสิทธิ์” ด้วยศึกอภิปรายเหลวไหลไร้ราคา และการชุมนุมใหญ่ของคนใจแดงที่กำลังไหลมากะปริดกะปรอยไม่ต่างอะไรไปจากประจำเดือนสาวใหญ่วัยกำลังใกล้หมดระดู
ก่อนสงครามประชาชนจะเกิด ก่อนที่เลือดจะนองท้องช้างไปดูอีกชีวิตหนึ่งที่กำลังรวยรินอยู่บนชั้น 2 อาคารธนาคารกรุงเทพ โรงพยาบาลจุฬาฯ ด้วยกัน
ที่นั่นจะได้เห็นอาการบาดเจ็บปางตายของ “พี่รุ่งทิวา” พันธมิตรฯ ปากช่องวัย 47 ปีของเราที่ถูกกระสุนแก๊สน้ำตาหมดอายุจากเมืองจีน ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมจนถึงบัดนี้ พี่รุ่งทิวายังไม่ลุกขึ้นมาเลย หมอบอกว่า สมองข้างหนึ่งยุบอีกข้างหนึ่งบวม เลือดท่วมแกนสมองแล้ว ทั้งยังตาบอดข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งมองไปไร้จุดหมาย เนื้อตัว แขน ขา ที่ปวกเปียกเต็มไปด้วยบาดแผลสะเก็ดระเบิด
เธอนอนเหมือนอยู่ และอยู่เหมือนจากไป เห็นแล้วสะท้อนสะเทือนใจ พยานปากสุดท้ายยังรวยริน
ย้อนกลับไปในวันที่พี่รุ่งทิวามาเป็นพันธมิตรฯ เพราะทนคนชาติชั่วไร้ยางอายไม่จ่ายภาษี แถมจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันสูงสุดไม่ไหว เธอจึงมาเป็นพันธมิตรฯ กับพรรคพวกบ้านหนองสาหร่าย
วันที่สมชายดึงดันจะแถลงนโยบายที่รัฐสภาให้จงได้ พี่รุ่งทิวาก็อยู่แถวๆ นั้น ขณะที่เธอกำลังยกมือท่วมหัวถวายสักการะ “พระบรมรูปทรงม้า” อยู่นั้น ก็มีระเบิดเวรตะไลมาจากไหน-ของใครไม่รู้ได้...หล่นโครมตรงหน้า
“บึ้มมมมมมม” .....แรงระเบิดเป็นผลให้พันธมิตรฯ หลายคนบาดเจ็บและล้มตาย หนึ่งในนั้นคือ พี่รุ่งทิวา ที่อาการสาหัส และน้องโบว์ –อังคณา เสียชีวิตคาที่
เหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เรื่อยมาถึงตอนกลางวัน และลามมาถึงยามค่ำคืน นี่คือโศกนาฏกรรมของวันที่ 7 ตุลาคม 2551
วันนั้นทั้งวัน...ตำรวจนับร้อยๆ คนหมดกระสุนแก๊สน้ำตาไปหลายร้อยนัด และ พันธมิตรฯ ผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บ – ล้มตายดุจใบไม้ร่วง ไม่มากไม่น้อย แค่นับร้อยชีวิตเท่านั้นเอง
เลือดและน้ำตา คละเคล้าปนเปแยกกันไม่ออก
คนเจ็บยังมีปากเสียงเถียงได้ ส่วนคนตายใครมาขึ้นเสียงเถียงแทนให้
พวกมันถึงได้กล้าโกหกและกล้าแม้แต่จะตลบศพคนตายขึ้นมาย่ำยีอีกหนด้วยปากโสโครกของนักการเมืองโสมม ถ้าจะกล้าต้องกล้ากันให้ตลอด
เพราะพันธมิตรฯ ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งไป คนหนึ่งเจ็บ คนที่เหลือย่อมอาดูร และท่ามกลางความสูญเสียพันธมิตรฯ จะไม่มีวันยอมให้อ้าย – อีหน้าไหน มาสาดโคลนใส่ร้ายได้อีกต่อไป
ต่อแต่นี้ไป...พวกเราจงมาสัญญา มาสาบาน มาเปิดประจัญบานกับมันทุกผู้ทุกนามที่ “ใส่ร้าย” เพื่อนของเราที่ไปเจ็บ-ไปตายให้กับแผ่นดิน และพระเจ้าของแผ่นดิน
ต่อแต่นี้ไป...พวกเราจงจำไว้ แม้เพียงปลายก้อย ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ใหญ่โตแค่ไหน หากมันดูถูก “ประชาชน” จงหยุดพวกมันเสีย อย่าปล่อยให้ได้ผุดได้เกิดไปลอยหน้าลอยตาหาผลประโยชน์เหมือน “หมาบ้า” ตัวนั้นที่กำลังน้ำลายฟูมปากจากการโฟนอินรากหญ้า
ต่อแต่นี้ไป... ต้องประจันหน้า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ให้มันรู้กันไป...ว่า ธรรมะจะพ่ายแพ้แก่อธรรมและต้องคุกเข่าก้มหน้าให้กับคนใจพาลสันดานหยาบช้า
ก็ให้มันรู้กันไปว่า หลังมติ ป.ป.ช.แจ้งข้อหาแล้ว ประชาชนจะต้องเป็นผู้พ่ายแพ้ และคุกมีไว้ขังหมากับประชาชนเท่านั้น... ก็ให้มันรู้กันไป.