ASTVผู้จัดการรายวัน – “กลุ่มนัมเบอร์วัน”มั่นใจอสังหาฯโซนตะวันออกยังไปได้ ลุยเปิด บลู ลากูลเฟสสุดท้าย เล็งงัดที่ดินแลนด์แบงก์ที่เหลืออีกกว่า 100 ไร่ย่านรามคำแหง 2 ผุดทาวน์โฮม H2Oต้นเดือนเม.ย. ส่วนกลางปีผุดบ้านเดี่ยว ราคา 5 ล้านบาท
นายสุธรรม สุวรรณภาศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นัมเบอร์วันเฮ้าส์ซิ่ง ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการบลู ลากูล และตลาดรามคำแหง 2 เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวเฟสใหม่ บลู อเมทิสต์ ของโครงการบลู ลากูล บนถนนบางนา-ตราด ใกล้ทางด่วนมอเตอร์เวย์ จำนวน 49 ยูนิต ระดับราคา 7-10 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายของโครงการ โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 มีนาคมเป็นต้นมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 8 ยูนิต ส่วนทั้งโครงการมีจำนวน 216 ยูนิต เปิดขายมาแล้ว 2 ปี ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 150 ยูนิต คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 53
สำหรับในช่วงเปิดตัวบริษัทได้จัดแคมเปญลดราคาบ้านเริ่มต้นที่ 6.99 ล้านบาท พร้อมการตกแต่งเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ซึ่งลูกค้าสามารถลองปรับเปลี่ยนการตกแต่งภายในได้เองด้วยโปรแกรม Click ขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ส่วนแบบบ้านมี 3 แบบ ให้เลือก
นอกจากเฟสสุดท้ายของโครงการบลู ลากูลแล้ว บริษัทฯมีแผนที่จะนำที่ดินสะสม(แลนด์แบงก์)ที่เหลืออยู่ในย่านดังกล่าวอีกกว่า 100 ไร่มาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ H2O ในเดือนเมษายนนี้ โดยพัฒนาเป็นทาวน์โฮม 3-4 ชั้น จำนวน 71 ยูนิต ซึ่งทาวน์โฮมขนาด 3 ชั้นระดับราคาเริ่มต้น 3.89 ล้านบาท ส่วนทาวน์โฮม 4 ชั้นราคาเริ่มต้น 4.6 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 480 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ทำงานหรือมีธุรกิจในย่านนั้นหรือแม่ค่า-พ่อค้าในย่านตลาดรามคำแหง 2 ซึ่งที่ผ่านมามีลูกค้าแสดงความสนใจจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำที่ดินขนาด 32 ไร่ ในบริเวณใกล้เคียงมาพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 100 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ประมาณปลายปีนี้
นายสุธรรม กล่าวต่อว่า ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ ยอมรับว่าลูกค้าใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อนานขึ้น ต่อรองและเลือกมากขึ้น ส่วนการเยี่ยมชมโครงการยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีประมาณ 200 คน/เดือน ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาบ้านที่มีคุณภาพ ทำเลดีราคาเหมาะสม จึงจะเป็นที่สนใจของลูกค้า โดยกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายบ้านจำนวน 600 ล้านบาท รับรู้รายได้ 500 ล้านบาท ทำให้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายเท่ากับปีที่ผ่านมาคือ 600 ล้านบาท แต่ในด้านตัวเลขยอดรับรู้รายได้ เนื่องจากมียอดขายที่จะมารับรู้ในปีนี้จำนวน 300 ล้านบาท ทำให้บริษัทตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้สูงถึง 800 ล้านบาท
ด้านธุรกิจอพาร์ตเมนต์ให้เช่าในรามคำแหง 2 ที่ปัจจุบันมีเกือบ 3,000 ห้อง ราคาค่าเช่าเดือนละ 1,500 – 3,000 บาท และอยู่ระหว่างพัฒนาอพาร์ตเมนต์ระดับบนค่าเช่าประมาณ 6,000 บาท/เดือน จำนวน 150 ยูนิต คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท ส่วนแผนการพัฒนาคอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ขณะนี้ชะลอแผนออกไปก่อนตามภาวะเศษรฐกิจ โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจให้เช่า 50% และการขายอสังหาฯ 50%
นายสุธรรม สุวรรณภาศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นัมเบอร์วันเฮ้าส์ซิ่ง ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการบลู ลากูล และตลาดรามคำแหง 2 เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวเฟสใหม่ บลู อเมทิสต์ ของโครงการบลู ลากูล บนถนนบางนา-ตราด ใกล้ทางด่วนมอเตอร์เวย์ จำนวน 49 ยูนิต ระดับราคา 7-10 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายของโครงการ โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 มีนาคมเป็นต้นมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 8 ยูนิต ส่วนทั้งโครงการมีจำนวน 216 ยูนิต เปิดขายมาแล้ว 2 ปี ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 150 ยูนิต คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 53
สำหรับในช่วงเปิดตัวบริษัทได้จัดแคมเปญลดราคาบ้านเริ่มต้นที่ 6.99 ล้านบาท พร้อมการตกแต่งเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ซึ่งลูกค้าสามารถลองปรับเปลี่ยนการตกแต่งภายในได้เองด้วยโปรแกรม Click ขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ส่วนแบบบ้านมี 3 แบบ ให้เลือก
นอกจากเฟสสุดท้ายของโครงการบลู ลากูลแล้ว บริษัทฯมีแผนที่จะนำที่ดินสะสม(แลนด์แบงก์)ที่เหลืออยู่ในย่านดังกล่าวอีกกว่า 100 ไร่มาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ H2O ในเดือนเมษายนนี้ โดยพัฒนาเป็นทาวน์โฮม 3-4 ชั้น จำนวน 71 ยูนิต ซึ่งทาวน์โฮมขนาด 3 ชั้นระดับราคาเริ่มต้น 3.89 ล้านบาท ส่วนทาวน์โฮม 4 ชั้นราคาเริ่มต้น 4.6 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 480 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ทำงานหรือมีธุรกิจในย่านนั้นหรือแม่ค่า-พ่อค้าในย่านตลาดรามคำแหง 2 ซึ่งที่ผ่านมามีลูกค้าแสดงความสนใจจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำที่ดินขนาด 32 ไร่ ในบริเวณใกล้เคียงมาพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 100 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ประมาณปลายปีนี้
นายสุธรรม กล่าวต่อว่า ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ ยอมรับว่าลูกค้าใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อนานขึ้น ต่อรองและเลือกมากขึ้น ส่วนการเยี่ยมชมโครงการยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีประมาณ 200 คน/เดือน ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาบ้านที่มีคุณภาพ ทำเลดีราคาเหมาะสม จึงจะเป็นที่สนใจของลูกค้า โดยกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายบ้านจำนวน 600 ล้านบาท รับรู้รายได้ 500 ล้านบาท ทำให้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายเท่ากับปีที่ผ่านมาคือ 600 ล้านบาท แต่ในด้านตัวเลขยอดรับรู้รายได้ เนื่องจากมียอดขายที่จะมารับรู้ในปีนี้จำนวน 300 ล้านบาท ทำให้บริษัทตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้สูงถึง 800 ล้านบาท
ด้านธุรกิจอพาร์ตเมนต์ให้เช่าในรามคำแหง 2 ที่ปัจจุบันมีเกือบ 3,000 ห้อง ราคาค่าเช่าเดือนละ 1,500 – 3,000 บาท และอยู่ระหว่างพัฒนาอพาร์ตเมนต์ระดับบนค่าเช่าประมาณ 6,000 บาท/เดือน จำนวน 150 ยูนิต คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท ส่วนแผนการพัฒนาคอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ขณะนี้ชะลอแผนออกไปก่อนตามภาวะเศษรฐกิจ โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจให้เช่า 50% และการขายอสังหาฯ 50%