พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ช่วงนี้โฟนอินวันละหลายรอบปลุกระดมคนไปทั่ว ไม่ได้เป็นเหมือนภาพที่ตัวเองเปรียบว่าเป็น “หมาเชื่อง” ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2552 ความตอนหนึ่งว่า:
“ผมถูกกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดี แต่ที่จริงแล้ว ผมจงรักภักดีมาก ผมเป็นหมาบ้านที่เลี้ยงให้เชื่องได้ทุกเมื่อ ผมเชื่องแล้วและผมสามารถถูกทำให้เชื่องได้อีก”
นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนอยู่ดีๆ ก็ดันไปเปรียบตัวเองเป็นสัตว์เดรัจฉานไปเสียนั่น
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ดูจะสับสนว่าจะให้ตัวเองและพวก ควรจะเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉานประเภทใดกันดี ระหว่างเสือหรือหมา?
9 พฤษภาคม 2549 (ก่อนการรัฐประหาร) พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เยี่ยมชมห้องสมุดของพรรคไทยรักไทยบริเวณชั้นล่างของที่ทำการพรรค และได้หยิบหนังสือเรื่องพุทธทาสลิขิต ของพุทธทาสภิกขุ พร้อมกับกล่าวว่า
“ยังมีหนังสือของท่านพระพุทธทาสอีกเล่มที่เขียนไว้ว่า จงเป็นเสือ อย่าเป็นหมา เพราะเสือแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่หมาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะเวลาเอาไม้ไปแหย่หมา หมาก็กัดปลายไม้ แต่เสือกัดมือคนเลย”
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดผ่านสื่อเอาไว้เพื่อเปรียบว่าตัวเองจะไม่เป็นหมา แต่จะเป็นเสือที่กัดคนเมื่อมีคนเอาไม้มาแหย่ ก่อนที่จะมาเปิดประเด็นเรื่อง ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญในเวลาต่อมาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549
13 ธันวาคม 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน กล่าวผ่านบันทึกภาพเสียงวีทีอาร์ ที่สนามศุภชลาศัยความตอนหนึ่งว่า:
“ท่านเคยได้ยินภาษิตโบราณไหมครับว่า ที่เขาบอกว่า “หมาจนตรอก” คือเขาไล่หมาจนจนตรอก แต่จนตรอกยังไงมันยังมีตรอกอยู่นะครับ แต่ของผมนี่ตรอกยังไม่มีจะอยู่ จะเอาอย่างนั้นเลยหรือครับ”
พ.ต.ท.ทักษิณ จากที่เคยบอกว่าตัวเองจะเป็นเสือ มาถึงวันนี้ก็ทำตัวน่าสงสาร บอกว่าตัวเองเป็นยิ่งกว่าหมาจนตรอก ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงตัวเองนั้นได้หนีออกจากตรอกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
2 กุมภาพันธ์ 2552 พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินมาอีกครั้ง พูดกับ ส.ส.เพื่อไทย ที่โรงแรมกรีนเนอร์รี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ความตอนหนึ่งว่า
“พวกเราจะต้องเป็นเสือ ที่เวลาหิวจะนอน เวลาหมาหิวมันจะร้อง ดังนั้นทุกคนมีอะไรก็พูดกันมา ใครมีปัญหามีอะไรผมช่วยได้ผมก็จะทำ”
เป็นหมาจนตรอกอยู่ไม่นานก็ดันอยากจะมาเป็นเสืออีกแล้ว พอเป็นเสืออยู่ไม่นาน เดือนนี้ก็อยากจะกลับไปเป็นหมาเชื่องอีก ไม่รู้จะเอายังไงแน่!!?
ลมปากของพ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นสิ่งที่เชื่อถือเอาไม่ได้ เหมือนเมื่อช่วงรัฐประหารใหม่ๆ ก็ประกาศว่าตัวเองจะเลิกเล่นการเมืองแล้ว มาวันนี้ออกมาปลุกระดมคนให้เลือกพรรคเพื่อไทยกันยกใหญ่ โฟนอินวันละหลายรอบ ไม่รู้ว่าเป็นหมาเชื่องตรงไหน?
พูดถึงเรื่องหมา หมา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้หวนนึกย้อนไปถึงในอดีตที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรืองอำนาจอยู่ เที่ยวพูดดูถูกดูแคลนคนอื่นๆ ในเรื่องหมาเอาไว้อย่างน้อยสองวจีกรรม
25 ธันวาคม 2548 วจีกรรมแรกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดปราศรัยกับผู้ขับรถแท็กซี่สาธารณะ ที่อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก ดูถูกการจัดเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมฯ ว่าเหมือนเป็นการเห่าหอน ความตอนหนึ่งว่า:
“มีคนมานั่งเห่าแถวสวนลุมฯ ขนคนมาจากเพชรบุรี ภูเก็ต และแถวๆ ชุมชนบางแห่งใน กทม. เสร็จแล้วมาไล่ ให้ออกไป คืนพระราชอำนาจ เอ็งบ้าหรือเปล่าวะ แล้วกติกา บ้านเมืองอยู่ไหน คนจน คนชั้นกลาง ที่เลือกผมมาจะคิดอย่างไร อยู่ๆ มาไล่ออกไป แล้วสั่นเป็นไก่ อย่างนั้นไม่ใช่ผม ชาติหน้าสายๆ เถอะเอ็งเอ๋ย”
วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยว่าคนที่ไปฟังเมืองไทยรายสัปดาห์ว่ามาเห่า วันนี้มาเปรียบตัวเองเป็นหมาจนตรอกเชื่องๆ แถมไม่ต้องรอถึงชาติหน้าตอนสายๆ เสียด้วย
20 มีนาคม 2549 วจีกรรมที่สอง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดตอบโต้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยความโกรธแค้น และพาดพิง พล.ต.จำลอง ความตอนหนึ่งว่า:
“ไอ้พวกบอกว่าไปกู้ชาติ ทั้งชีวิตไม่ได้ทำมาหากินอะไร เป็นบุคคลล้มละลายไปแล้วรอบหนึ่ง ส่วนมหาจำลองก็เลี้ยงหมา 2,000 กว่าตัวยังไม่รอดเลย เที่ยวไปขอข้าวสารคนอื่นไปเลี้ยงหมา วันนี้มาบอกว่าจะกู้ชาติก็เลยไม่เข้าใจ ผมว่าไปเลี้ยงหมา 2,000 กว่าตัวก่อนจะดีกว่า”
3 ปีผ่านไป หมาของพล.ต.จำลอง รอด และยังอยู่ในผืนแผ่นดินไทยต่อไป!
แต่ทักษิณไม่รอด! ต้องหนีไปจากแผ่นดินเกิด ถูกตัดสินให้เป็นนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน และยังต้องพูดเปรียบตัวเองให้เป็นหมาจนตรอกเชื่องๆ เพื่อเรียกคะแนนสงสารต่อไป
ด้านหนึ่งเรียกคะแนนสงสาร อีกด้านหนึ่งก็โฟนอินปลุกระดมรุกรัฐบาลถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น และเร่งเกมมากยิ่งขึ้น
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เร่งเกมอยู่ตอนนี้ มีสมมติฐานได้หลายประการ
1. รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังรุกทางเวทีสากลได้ผล และได้ชัยชนะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านคุณสมบัติส่วนตัว และในด้านวาทกรรมที่ประสบความสำเร็จในการอธิบายการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาธิปไตยในประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล การทิ้งระยะเวลานานออกไป พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมเสียเปรียบลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเกิดความเสี่ยงสูงขึ้นในการถูกส่งตัวกลับประเทศไทย
2. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น่าจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนน้ำมัน หรือแม้แต่การลงทุนในดูไบ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาดทุนในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา อีกทั้งทรัพย์สินในวันนี้ยังไม่รู้ต้องแบ่งให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่ได้หย่าร้างไปมากน้อยแค่ไหน เงินที่น้อยลงเช่นนี้ ทำให้จำเป็นต้องเร่งปิดเกมให้เร็ว เพราะทิ้งไว้นานก็ไม่รู้ว่าจะถูกไถจนหมดตัวเมื่อใด?
3. รัฐบาลมีแนวโน้มจะอยู่ยาว เพราะแบ่งปันผลประโยชน์กันลงตัว ถ้าทิ้งไว้นานหากรัฐบาลสามารถผ่านข้ามวิกฤตเศรษฐกิจได้ ฝ่ายทักษิณจะหมดเงื่อนไขในการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และทำให้เสียเปรียบมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะนโยบายประชานิยม การโยกย้ายข้าราชการ และการดำเนินคดีกับกลุ่มเสื้อแดง ล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงในการลดทอนอำนาจและความนิยมต่อระบอบทักษิณลงไปเรื่อยๆ
วันนี้ไม่ว่าทักษิณ จะประสบความสำเร็จในการหวนคืนอำนาจหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนตัวของกลุ่มเสื้อแดงได้มีการทำงานประสานกันอย่างเป็นขบวนการและมีเอกภาพ
ระบอบทักษิณในวันนี้ มีพรรคการเมืองสีแดงอย่างพรรคเพื่อไทยที่พร้อมกลับเข้าสู่อำนาจ มีแนวร่วมมวลชนหลายระดับทั้งในประเทศนอกประเทศ และยังมีกองกำลังที่ติดอาวุธ โดยมีเครื่องมือทั้งนักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการสีแดง สื่อวิทยุชุมชน สื่อรับจ้าง และมีเงินที่เป็นปัจจัยในการทำสงครามเดิมพันสูงสุดของระบอบทักษิณ
ดังนั้นหากรัฐบาลหรือฝ่ายความมั่นคงมัวแต่ประมาทและเข้าใจเพียงมิติว่า “สีแดงกำลังโรยแรงและไร้น้ำยา” ก็อาจทำให้การเดิมพันหมดหน้าตักแบบหมาจนตรอกของระบอบทักษิณ ได้รับชัยชนะจากความประมาทของรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงได้
เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีทางจะเป็นหมาเชื่องได้!
เพราะกว่าที่จะเป็นหมาเชื่องได้นั้น จะต้องได้รับการฝึกฝนตั้งแต่เด็ก อุปนิสัยของหมานั้นจะมีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ไม่แว้งกัดเจ้าของ ฉลาด มีวินัย และพร้อมที่จะได้รับการลงโทษจากเจ้าของเมื่อทำความผิด
หมา จึงเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านของมนุษย์ที่มีความกตัญญูรู้บุญคุณเจ้าของ ไม่สามารถที่จะไปฉ้อราษฎร์บังหลวง เข่นฆ่าประชาชน หรือทรยศต่อแผ่นดินเกิดได้
พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปเปรียบตัวเองกับหมา เพราะถ้าเหล่าหมามีความรู้สึกนึกคิดหรือพูดได้ อาจจะไม่พอใจก็ได้ที่คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณมาเปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นหมาเชื่อง!?
เพราะอย่างน้อยที่สุด หมาเชื่อง ก็พร้อมที่จะกลับเข้าไปในกรงทันทีที่เจ้าของต้องการให้กลับเข้ากรง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่างหากที่ถูกศาลตัดสินให้จำคุกในกรง 2 ปี กลับหนีเตลิดออกนอกประเทศ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับมาแผ่นดินเกิด แถมยังโวยวายโฟนอินมาปั่นป่วนประเทศอยู่ตลอดเวลา และยังพูดสนับสนุนคนเสื้อแดงทั้งๆ ที่มีคนเสื้อแดงที่ขึ้นเวทีปราศรัยจาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์หลายคน
ความจริง คำภาษิต คำพังเพย และสำนวนไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ที่เกี่ยวข้องกับหมา ที่นอกเหนือจากคำว่า “หมาจนตรอก” แล้วยังมีอีกหลายคำที่สามารถนำเสนอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะคนที่ชอบพูดถึงเรื่องหมาๆ และเปรียบตัวเองเป็นหมาอยู่บ่อยๆ ได้พิจารณาได้ใช้เลือกตามความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ได้ เช่น หมาขี้เรื้อน หมาหัวเน่า หมาถูกน้ำร้อน หมาในรางหญ้า หมาหวงราง หมาลอบกัด หมาหางด้วน หมาบ้าพาลกระแชง เป็นต้น
ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่คำภาษิต คำพังเพย และสำนวนไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ไม่เคยมีคำที่แสดงออกถึงการทรยศต่อเจ้าของ หรือแว้งกัดเจ้าของแม้แต่คำเดียว
คงเหลือกรณีเดียวเท่านั้นหากหมาจะกัดเจ้าของที่มีบุญคุณกับตัวเอง นั่นก็คือหมาเชื่องตัวนั้นต้องเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เรบิส์ไวรัส โดยจะแสดงอาการ 3 ระยะ
ระยะอาการเริ่มแรก สุนัขจะมีนิสัยแปลกไปจากเดิม ตัวที่เคยขลาดกลัวจะเข้ามาคลอเคลีย ตัวที่เคยเชื่องชอบเล่นจะหงุดหงิด หลบไปตามมุมมืด เงียบ กินอาหารและน้ำน้อยลง
ระยะตื่นเต้น จะมีอาการทางประสาท มีความรู้สึกไวกว่าปกติ กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง กัดแทะสิ่งของ ตัวแข็ง ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ม่านตาขยาย บางตัววิ่งพล่านไปทั่ว เมื่อพบสัตว์หรือคนขวางหน้าจะกัด ส่งเสียงเห่าหอน ต่อมากล้ามเนื้อจะเริ่มอ่อนแรงลง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ได้ บางตัวชักกระตุก
ระยะอัมพาต เกิดอาการอัมพาตลามทั้งตัวเริ่มจากขาหลัง ต่อมากล้ามเนื้อคอจะเป็นอัมพาต กลืนอาหารไม่ได้ ระบบหายใจล้มเหลวและตายในที่สุด รวมระยะเวลาเริ่มแสดงอาการจนตายประมาณ 10 วัน
ทักษิณที่เปรียบตัวเองเป็นหมาเชื่อง ได้สำรวจหรือยังว่าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วหรือไม่!?
“ผมถูกกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดี แต่ที่จริงแล้ว ผมจงรักภักดีมาก ผมเป็นหมาบ้านที่เลี้ยงให้เชื่องได้ทุกเมื่อ ผมเชื่องแล้วและผมสามารถถูกทำให้เชื่องได้อีก”
นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนอยู่ดีๆ ก็ดันไปเปรียบตัวเองเป็นสัตว์เดรัจฉานไปเสียนั่น
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ดูจะสับสนว่าจะให้ตัวเองและพวก ควรจะเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉานประเภทใดกันดี ระหว่างเสือหรือหมา?
9 พฤษภาคม 2549 (ก่อนการรัฐประหาร) พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เยี่ยมชมห้องสมุดของพรรคไทยรักไทยบริเวณชั้นล่างของที่ทำการพรรค และได้หยิบหนังสือเรื่องพุทธทาสลิขิต ของพุทธทาสภิกขุ พร้อมกับกล่าวว่า
“ยังมีหนังสือของท่านพระพุทธทาสอีกเล่มที่เขียนไว้ว่า จงเป็นเสือ อย่าเป็นหมา เพราะเสือแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่หมาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะเวลาเอาไม้ไปแหย่หมา หมาก็กัดปลายไม้ แต่เสือกัดมือคนเลย”
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดผ่านสื่อเอาไว้เพื่อเปรียบว่าตัวเองจะไม่เป็นหมา แต่จะเป็นเสือที่กัดคนเมื่อมีคนเอาไม้มาแหย่ ก่อนที่จะมาเปิดประเด็นเรื่อง ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญในเวลาต่อมาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549
13 ธันวาคม 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน กล่าวผ่านบันทึกภาพเสียงวีทีอาร์ ที่สนามศุภชลาศัยความตอนหนึ่งว่า:
“ท่านเคยได้ยินภาษิตโบราณไหมครับว่า ที่เขาบอกว่า “หมาจนตรอก” คือเขาไล่หมาจนจนตรอก แต่จนตรอกยังไงมันยังมีตรอกอยู่นะครับ แต่ของผมนี่ตรอกยังไม่มีจะอยู่ จะเอาอย่างนั้นเลยหรือครับ”
พ.ต.ท.ทักษิณ จากที่เคยบอกว่าตัวเองจะเป็นเสือ มาถึงวันนี้ก็ทำตัวน่าสงสาร บอกว่าตัวเองเป็นยิ่งกว่าหมาจนตรอก ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงตัวเองนั้นได้หนีออกจากตรอกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
2 กุมภาพันธ์ 2552 พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินมาอีกครั้ง พูดกับ ส.ส.เพื่อไทย ที่โรงแรมกรีนเนอร์รี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ความตอนหนึ่งว่า
“พวกเราจะต้องเป็นเสือ ที่เวลาหิวจะนอน เวลาหมาหิวมันจะร้อง ดังนั้นทุกคนมีอะไรก็พูดกันมา ใครมีปัญหามีอะไรผมช่วยได้ผมก็จะทำ”
เป็นหมาจนตรอกอยู่ไม่นานก็ดันอยากจะมาเป็นเสืออีกแล้ว พอเป็นเสืออยู่ไม่นาน เดือนนี้ก็อยากจะกลับไปเป็นหมาเชื่องอีก ไม่รู้จะเอายังไงแน่!!?
ลมปากของพ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นสิ่งที่เชื่อถือเอาไม่ได้ เหมือนเมื่อช่วงรัฐประหารใหม่ๆ ก็ประกาศว่าตัวเองจะเลิกเล่นการเมืองแล้ว มาวันนี้ออกมาปลุกระดมคนให้เลือกพรรคเพื่อไทยกันยกใหญ่ โฟนอินวันละหลายรอบ ไม่รู้ว่าเป็นหมาเชื่องตรงไหน?
พูดถึงเรื่องหมา หมา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้หวนนึกย้อนไปถึงในอดีตที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรืองอำนาจอยู่ เที่ยวพูดดูถูกดูแคลนคนอื่นๆ ในเรื่องหมาเอาไว้อย่างน้อยสองวจีกรรม
25 ธันวาคม 2548 วจีกรรมแรกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดปราศรัยกับผู้ขับรถแท็กซี่สาธารณะ ที่อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก ดูถูกการจัดเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมฯ ว่าเหมือนเป็นการเห่าหอน ความตอนหนึ่งว่า:
“มีคนมานั่งเห่าแถวสวนลุมฯ ขนคนมาจากเพชรบุรี ภูเก็ต และแถวๆ ชุมชนบางแห่งใน กทม. เสร็จแล้วมาไล่ ให้ออกไป คืนพระราชอำนาจ เอ็งบ้าหรือเปล่าวะ แล้วกติกา บ้านเมืองอยู่ไหน คนจน คนชั้นกลาง ที่เลือกผมมาจะคิดอย่างไร อยู่ๆ มาไล่ออกไป แล้วสั่นเป็นไก่ อย่างนั้นไม่ใช่ผม ชาติหน้าสายๆ เถอะเอ็งเอ๋ย”
วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยว่าคนที่ไปฟังเมืองไทยรายสัปดาห์ว่ามาเห่า วันนี้มาเปรียบตัวเองเป็นหมาจนตรอกเชื่องๆ แถมไม่ต้องรอถึงชาติหน้าตอนสายๆ เสียด้วย
20 มีนาคม 2549 วจีกรรมที่สอง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดตอบโต้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยความโกรธแค้น และพาดพิง พล.ต.จำลอง ความตอนหนึ่งว่า:
“ไอ้พวกบอกว่าไปกู้ชาติ ทั้งชีวิตไม่ได้ทำมาหากินอะไร เป็นบุคคลล้มละลายไปแล้วรอบหนึ่ง ส่วนมหาจำลองก็เลี้ยงหมา 2,000 กว่าตัวยังไม่รอดเลย เที่ยวไปขอข้าวสารคนอื่นไปเลี้ยงหมา วันนี้มาบอกว่าจะกู้ชาติก็เลยไม่เข้าใจ ผมว่าไปเลี้ยงหมา 2,000 กว่าตัวก่อนจะดีกว่า”
3 ปีผ่านไป หมาของพล.ต.จำลอง รอด และยังอยู่ในผืนแผ่นดินไทยต่อไป!
แต่ทักษิณไม่รอด! ต้องหนีไปจากแผ่นดินเกิด ถูกตัดสินให้เป็นนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน และยังต้องพูดเปรียบตัวเองให้เป็นหมาจนตรอกเชื่องๆ เพื่อเรียกคะแนนสงสารต่อไป
ด้านหนึ่งเรียกคะแนนสงสาร อีกด้านหนึ่งก็โฟนอินปลุกระดมรุกรัฐบาลถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น และเร่งเกมมากยิ่งขึ้น
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เร่งเกมอยู่ตอนนี้ มีสมมติฐานได้หลายประการ
1. รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังรุกทางเวทีสากลได้ผล และได้ชัยชนะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านคุณสมบัติส่วนตัว และในด้านวาทกรรมที่ประสบความสำเร็จในการอธิบายการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาธิปไตยในประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล การทิ้งระยะเวลานานออกไป พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมเสียเปรียบลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเกิดความเสี่ยงสูงขึ้นในการถูกส่งตัวกลับประเทศไทย
2. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น่าจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนน้ำมัน หรือแม้แต่การลงทุนในดูไบ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาดทุนในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา อีกทั้งทรัพย์สินในวันนี้ยังไม่รู้ต้องแบ่งให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่ได้หย่าร้างไปมากน้อยแค่ไหน เงินที่น้อยลงเช่นนี้ ทำให้จำเป็นต้องเร่งปิดเกมให้เร็ว เพราะทิ้งไว้นานก็ไม่รู้ว่าจะถูกไถจนหมดตัวเมื่อใด?
3. รัฐบาลมีแนวโน้มจะอยู่ยาว เพราะแบ่งปันผลประโยชน์กันลงตัว ถ้าทิ้งไว้นานหากรัฐบาลสามารถผ่านข้ามวิกฤตเศรษฐกิจได้ ฝ่ายทักษิณจะหมดเงื่อนไขในการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และทำให้เสียเปรียบมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะนโยบายประชานิยม การโยกย้ายข้าราชการ และการดำเนินคดีกับกลุ่มเสื้อแดง ล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงในการลดทอนอำนาจและความนิยมต่อระบอบทักษิณลงไปเรื่อยๆ
วันนี้ไม่ว่าทักษิณ จะประสบความสำเร็จในการหวนคืนอำนาจหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนตัวของกลุ่มเสื้อแดงได้มีการทำงานประสานกันอย่างเป็นขบวนการและมีเอกภาพ
ระบอบทักษิณในวันนี้ มีพรรคการเมืองสีแดงอย่างพรรคเพื่อไทยที่พร้อมกลับเข้าสู่อำนาจ มีแนวร่วมมวลชนหลายระดับทั้งในประเทศนอกประเทศ และยังมีกองกำลังที่ติดอาวุธ โดยมีเครื่องมือทั้งนักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการสีแดง สื่อวิทยุชุมชน สื่อรับจ้าง และมีเงินที่เป็นปัจจัยในการทำสงครามเดิมพันสูงสุดของระบอบทักษิณ
ดังนั้นหากรัฐบาลหรือฝ่ายความมั่นคงมัวแต่ประมาทและเข้าใจเพียงมิติว่า “สีแดงกำลังโรยแรงและไร้น้ำยา” ก็อาจทำให้การเดิมพันหมดหน้าตักแบบหมาจนตรอกของระบอบทักษิณ ได้รับชัยชนะจากความประมาทของรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงได้
เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีทางจะเป็นหมาเชื่องได้!
เพราะกว่าที่จะเป็นหมาเชื่องได้นั้น จะต้องได้รับการฝึกฝนตั้งแต่เด็ก อุปนิสัยของหมานั้นจะมีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ไม่แว้งกัดเจ้าของ ฉลาด มีวินัย และพร้อมที่จะได้รับการลงโทษจากเจ้าของเมื่อทำความผิด
หมา จึงเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านของมนุษย์ที่มีความกตัญญูรู้บุญคุณเจ้าของ ไม่สามารถที่จะไปฉ้อราษฎร์บังหลวง เข่นฆ่าประชาชน หรือทรยศต่อแผ่นดินเกิดได้
พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปเปรียบตัวเองกับหมา เพราะถ้าเหล่าหมามีความรู้สึกนึกคิดหรือพูดได้ อาจจะไม่พอใจก็ได้ที่คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณมาเปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นหมาเชื่อง!?
เพราะอย่างน้อยที่สุด หมาเชื่อง ก็พร้อมที่จะกลับเข้าไปในกรงทันทีที่เจ้าของต้องการให้กลับเข้ากรง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่างหากที่ถูกศาลตัดสินให้จำคุกในกรง 2 ปี กลับหนีเตลิดออกนอกประเทศ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับมาแผ่นดินเกิด แถมยังโวยวายโฟนอินมาปั่นป่วนประเทศอยู่ตลอดเวลา และยังพูดสนับสนุนคนเสื้อแดงทั้งๆ ที่มีคนเสื้อแดงที่ขึ้นเวทีปราศรัยจาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์หลายคน
ความจริง คำภาษิต คำพังเพย และสำนวนไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ที่เกี่ยวข้องกับหมา ที่นอกเหนือจากคำว่า “หมาจนตรอก” แล้วยังมีอีกหลายคำที่สามารถนำเสนอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะคนที่ชอบพูดถึงเรื่องหมาๆ และเปรียบตัวเองเป็นหมาอยู่บ่อยๆ ได้พิจารณาได้ใช้เลือกตามความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ได้ เช่น หมาขี้เรื้อน หมาหัวเน่า หมาถูกน้ำร้อน หมาในรางหญ้า หมาหวงราง หมาลอบกัด หมาหางด้วน หมาบ้าพาลกระแชง เป็นต้น
ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่คำภาษิต คำพังเพย และสำนวนไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ไม่เคยมีคำที่แสดงออกถึงการทรยศต่อเจ้าของ หรือแว้งกัดเจ้าของแม้แต่คำเดียว
คงเหลือกรณีเดียวเท่านั้นหากหมาจะกัดเจ้าของที่มีบุญคุณกับตัวเอง นั่นก็คือหมาเชื่องตัวนั้นต้องเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เรบิส์ไวรัส โดยจะแสดงอาการ 3 ระยะ
ระยะอาการเริ่มแรก สุนัขจะมีนิสัยแปลกไปจากเดิม ตัวที่เคยขลาดกลัวจะเข้ามาคลอเคลีย ตัวที่เคยเชื่องชอบเล่นจะหงุดหงิด หลบไปตามมุมมืด เงียบ กินอาหารและน้ำน้อยลง
ระยะตื่นเต้น จะมีอาการทางประสาท มีความรู้สึกไวกว่าปกติ กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง กัดแทะสิ่งของ ตัวแข็ง ขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ม่านตาขยาย บางตัววิ่งพล่านไปทั่ว เมื่อพบสัตว์หรือคนขวางหน้าจะกัด ส่งเสียงเห่าหอน ต่อมากล้ามเนื้อจะเริ่มอ่อนแรงลง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ได้ บางตัวชักกระตุก
ระยะอัมพาต เกิดอาการอัมพาตลามทั้งตัวเริ่มจากขาหลัง ต่อมากล้ามเนื้อคอจะเป็นอัมพาต กลืนอาหารไม่ได้ ระบบหายใจล้มเหลวและตายในที่สุด รวมระยะเวลาเริ่มแสดงอาการจนตายประมาณ 10 วัน
ทักษิณที่เปรียบตัวเองเป็นหมาเชื่อง ได้สำรวจหรือยังว่าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วหรือไม่!?