วานนี้ (16 มี.ค.) เวลา 10.00 น.ที่ สน.สุทธิสาร นายเกรียงศักดิ์ สกุลชัย หรือ ต้อย แอคเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และเจ้าของหนังสือพิมพ์มายาแชนแนล และหนังสือเกี่ยวกับข่าวบันเทิงหลายเล่ม และ น.ส.เพชรคัมภรณ์ งามช่อชัยพฤกษ์ อายุ 25 ปี นักศึกษาปี 4 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม นักศึกษาฝึกงาน ที่แจ้งความว่าถูกนายเกรียงศักดิ์ กระทำอนาจาร ลวนลามพยายามปลุกปล้ำโอบกอด และหอมแก้ม เหตุเกิดที่คอนโดฯ เลิศอุบล ย่านลาดพร้าว ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.สันติ ผิวทองคำ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.สุทธิสาร เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยในเรื่องดังกล่าว ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากนั้นนายเกรียงศักดิ์ และน.ส.เพชรคัมภรณ์ ได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อหน้าพนักงานสอบสวน โดยนายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ตั้งแต่มีเรื่องตนก็ไม่ได้พูดคุยกับ น.ส.เพชรคัมภรณ์เลย เนื่องจากทนายฝ่ายตนได้เตรียมฟ้องกลับ และได้รวบรวมหลักฐานสู้คดี จึงเกรงจะกระทบรูปคดี ตนเลยไม่ได้พูดคุยกัน และทางตำรวจก็ได้ถามว่า ทำไมไม่ยอมพูดอะไรกันกับผู้เสียหาย ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่า เรื่องมันก็ทำให้ชื่อเสียงเสียหายยับเยิน ทั้งที่ไม่มีเจตนาอย่างนั้น
"หลังจากนั้นก็ได้พูดคุยกัน 4 ฝ่าย มีผม น้องโอ๋ อัยการ และตำรวจ ก็เริ่มที่ผมเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นในการรับพิจารณาฝึกงานว่า เวลารับขั้นตอนไม่ใช่แค่จะใช้เด็กฝึกงานวิ่งซื้อของ วิ่งซื้อน้ำ บางคนอยากเขียนอะไรก็จะเปิดคอลัมน์ให้ ซึ่งน้องโอ๋มีแวว เป็นคนคุยเก่ง ผมอยากเทรนงาน เลยต้องให้น้องโอ๋ไปกับผมในวันเกิดเหตุ แต่ไม่ได้ไปคนเดียว มีเพื่อนไปด้วย โดยในวันนั้นยอมรับ มีการถูกเนื้อต้องตัวกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่มีเจตนาความต้องการทางเพศ ถ้าคิดจะทำอย่างนั้นประตูห้องจะเปิดอยู่ทำไม และจะมีทนาย คนขับรถ อยู่ในห้องด้วยทำไม" นายเกรียงศักดิ์กล่าว
ด้านร.ต.ท.สันติ ผิวทองคำ พนักงานสอบสวน(สบ 1) สน.สุทธิสาร กล่าวว่า ดคีนี้เกิดจากความไม่เข้าใจกัน ซึ่งหลังจากสืบสวนสอบสวนแล้ว ผู้เสียหายได้ไปที่ห้องของนายเกรียงศักดิ์ จริง เพื่อติดต่อประสานงานกัน หลังจากพูดคุยกันแล้ว และทางนายเกรียงศักดิ์ ได้แต่งตัวเสร็จแล้ว จะเดินออกจากห้องไปที่รถ แต่เมื่อมาถึงบริเวณหน้าห้องนายเกรียงศักดิ์ สะดุดล้ม และขณะนั้นน้องโอ๋ก้มใส่รองเท้า นายเกรียงศักดิ์ เลยคว้าตัวน้องโอ๋ไว้ไม่ให้ตนเองล้ม ซึ่งนายเกรียงศักดิ์ คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีเจตนา จึงไม่ได้ขอโทษ แต่ทางผู้เสียหายเห็นเป็นเรื่องใหญ่ คิดว่าตนเองได้รับความเสียหายเลยมาแจ้งความ
ร.ต.ท.สันติ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของคดีขณะนี้อยู่ที่อัยการ ทางเมื่อนายเกรียงศักดิ์ ออกมาขอโทษแล้ว น้องโอ๋ไม่ติดใจเอาความ และถ้าหากถอนแจ้งความ พนักงานสอบสวนก็จะส่งเรื่องไปให้อัยการพิจารณาว่า เข้าขั้นตอนการถอนแจ้งความตามกฎหมายหรือไม่ หากถูกต้องตามกฎหมาย ก็ถือว่าคดีระงับไป
น.ส.เพชรคัมภรณ์ กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องไม่ได้คุยกัน ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดเรื่องก็มีผลกระทบกับตนและแม่ด้วย เพราะตอนที่แม่ตนไปซื้อที่ คนก็ถามว่า รับเงินต้อย แอคเนอร์ มาแล้วหรือ ซึ่งถ้าแม่ตนรับเงินมาจริง ก็คงไม่มากพอที่จะไปซื้อที่ได้ อีกทั้งตอนนี้ แม่ตนเปิดโชวร์รูมรถยนต์ราคาหลายล้าน ก็เลยอยากจบเรื่องทุกอย่าง เพราะกลัวว่าจะมีผลกระทบกับธุรกิจของแม่
ส่วนกับตนนั้นก็มีทั้งวิจารณ์ในแง่ลบ และแง่บวก ส่วนใหญ่จะเป็นในแง่บวกที่ให้กำลังใจเสียมากกว่า ส่วนในแง่ลบก็มีบ้างเช่นว่า ในวันเกิดเหตุนั้น ตนจะขึ้นไปบนห้องทำไม ก็ทำให้เครียดไปพักหนึ่ง แต่จากได้คุยกับอัยการ ก็แนะนำว่า คดีนี้โทษถึงที่สุดก็แค่ปรับเงิน หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และอาจแค่รอลงอาญา แต่ชีวิตเราก็ต้องดำเนินต่อไป และขอยืนยันเหมือนที่เคยออกไปรายการตาสว่าง ว่า ต้องการให้เขาออกมาขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชนเท่านั้น
น.ส.เพชรคัมภรณ์ กล่าวด้วยว่า ตนอยากจะพูดถึงเรื่องที่เคยถูกกล่าวหาว่าบ้านตนมีหนี้สิน หรือมาแจ้งความต้องการแบล็กเมล์ว่า ไม่ได้มาแจ้งความเพราะต้องการแบล็กเมล์ หรือข่มขู่เอาเงินแต่อย่างใด เนื่องจากบ้านตนไม่ได้มีหนี้สินอะไร และก็ไม่ได้รับเงินเพื่อให้ออกมายอมความเลยแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งก็เคยบอกไว้ว่า หากจะเอาเงินมาให้จริงให้เอาไปทำบุญไว้ที่มูลนิธิอะไรสักอย่างดีกว่า
จากนั้นนายเกรียงศักดิ์ และน.ส.เพชรคัมภรณ์ ได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อหน้าพนักงานสอบสวน โดยนายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ตั้งแต่มีเรื่องตนก็ไม่ได้พูดคุยกับ น.ส.เพชรคัมภรณ์เลย เนื่องจากทนายฝ่ายตนได้เตรียมฟ้องกลับ และได้รวบรวมหลักฐานสู้คดี จึงเกรงจะกระทบรูปคดี ตนเลยไม่ได้พูดคุยกัน และทางตำรวจก็ได้ถามว่า ทำไมไม่ยอมพูดอะไรกันกับผู้เสียหาย ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่า เรื่องมันก็ทำให้ชื่อเสียงเสียหายยับเยิน ทั้งที่ไม่มีเจตนาอย่างนั้น
"หลังจากนั้นก็ได้พูดคุยกัน 4 ฝ่าย มีผม น้องโอ๋ อัยการ และตำรวจ ก็เริ่มที่ผมเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นในการรับพิจารณาฝึกงานว่า เวลารับขั้นตอนไม่ใช่แค่จะใช้เด็กฝึกงานวิ่งซื้อของ วิ่งซื้อน้ำ บางคนอยากเขียนอะไรก็จะเปิดคอลัมน์ให้ ซึ่งน้องโอ๋มีแวว เป็นคนคุยเก่ง ผมอยากเทรนงาน เลยต้องให้น้องโอ๋ไปกับผมในวันเกิดเหตุ แต่ไม่ได้ไปคนเดียว มีเพื่อนไปด้วย โดยในวันนั้นยอมรับ มีการถูกเนื้อต้องตัวกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่มีเจตนาความต้องการทางเพศ ถ้าคิดจะทำอย่างนั้นประตูห้องจะเปิดอยู่ทำไม และจะมีทนาย คนขับรถ อยู่ในห้องด้วยทำไม" นายเกรียงศักดิ์กล่าว
ด้านร.ต.ท.สันติ ผิวทองคำ พนักงานสอบสวน(สบ 1) สน.สุทธิสาร กล่าวว่า ดคีนี้เกิดจากความไม่เข้าใจกัน ซึ่งหลังจากสืบสวนสอบสวนแล้ว ผู้เสียหายได้ไปที่ห้องของนายเกรียงศักดิ์ จริง เพื่อติดต่อประสานงานกัน หลังจากพูดคุยกันแล้ว และทางนายเกรียงศักดิ์ ได้แต่งตัวเสร็จแล้ว จะเดินออกจากห้องไปที่รถ แต่เมื่อมาถึงบริเวณหน้าห้องนายเกรียงศักดิ์ สะดุดล้ม และขณะนั้นน้องโอ๋ก้มใส่รองเท้า นายเกรียงศักดิ์ เลยคว้าตัวน้องโอ๋ไว้ไม่ให้ตนเองล้ม ซึ่งนายเกรียงศักดิ์ คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีเจตนา จึงไม่ได้ขอโทษ แต่ทางผู้เสียหายเห็นเป็นเรื่องใหญ่ คิดว่าตนเองได้รับความเสียหายเลยมาแจ้งความ
ร.ต.ท.สันติ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของคดีขณะนี้อยู่ที่อัยการ ทางเมื่อนายเกรียงศักดิ์ ออกมาขอโทษแล้ว น้องโอ๋ไม่ติดใจเอาความ และถ้าหากถอนแจ้งความ พนักงานสอบสวนก็จะส่งเรื่องไปให้อัยการพิจารณาว่า เข้าขั้นตอนการถอนแจ้งความตามกฎหมายหรือไม่ หากถูกต้องตามกฎหมาย ก็ถือว่าคดีระงับไป
น.ส.เพชรคัมภรณ์ กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องไม่ได้คุยกัน ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดเรื่องก็มีผลกระทบกับตนและแม่ด้วย เพราะตอนที่แม่ตนไปซื้อที่ คนก็ถามว่า รับเงินต้อย แอคเนอร์ มาแล้วหรือ ซึ่งถ้าแม่ตนรับเงินมาจริง ก็คงไม่มากพอที่จะไปซื้อที่ได้ อีกทั้งตอนนี้ แม่ตนเปิดโชวร์รูมรถยนต์ราคาหลายล้าน ก็เลยอยากจบเรื่องทุกอย่าง เพราะกลัวว่าจะมีผลกระทบกับธุรกิจของแม่
ส่วนกับตนนั้นก็มีทั้งวิจารณ์ในแง่ลบ และแง่บวก ส่วนใหญ่จะเป็นในแง่บวกที่ให้กำลังใจเสียมากกว่า ส่วนในแง่ลบก็มีบ้างเช่นว่า ในวันเกิดเหตุนั้น ตนจะขึ้นไปบนห้องทำไม ก็ทำให้เครียดไปพักหนึ่ง แต่จากได้คุยกับอัยการ ก็แนะนำว่า คดีนี้โทษถึงที่สุดก็แค่ปรับเงิน หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และอาจแค่รอลงอาญา แต่ชีวิตเราก็ต้องดำเนินต่อไป และขอยืนยันเหมือนที่เคยออกไปรายการตาสว่าง ว่า ต้องการให้เขาออกมาขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชนเท่านั้น
น.ส.เพชรคัมภรณ์ กล่าวด้วยว่า ตนอยากจะพูดถึงเรื่องที่เคยถูกกล่าวหาว่าบ้านตนมีหนี้สิน หรือมาแจ้งความต้องการแบล็กเมล์ว่า ไม่ได้มาแจ้งความเพราะต้องการแบล็กเมล์ หรือข่มขู่เอาเงินแต่อย่างใด เนื่องจากบ้านตนไม่ได้มีหนี้สินอะไร และก็ไม่ได้รับเงินเพื่อให้ออกมายอมความเลยแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งก็เคยบอกไว้ว่า หากจะเอาเงินมาให้จริงให้เอาไปทำบุญไว้ที่มูลนิธิอะไรสักอย่างดีกว่า