ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – เวทีการเมืองภาคประชาชน “ใครทำรัฐวิสาหกิจเจ๊ง” ณ ลานประวัติศาสตร์ สถานีรถไฟหาดใหญ่ พี่น้องพันธมิตรฯ ฝ่าสายฝนบ่มปัญญา “สาวิทย์-แจ่มศรี-ปัญญา” ร่วมเปิดเผยกระบวนการหักปีก เด็ดขารัฐวิสาหกิจไม่ให้เติบโต พบระบบการเมืองน้ำเน่าระบาดร่วมแสวงหาผลประโยชน์เสียเอง และเอื้อเฟื้อผลประโยชน์ให้แก่นายทุนซึ่งล้วนเป็นการกินทั้งระบบ ทั้งแก้กม.เปิดทางให้กลุ่มทุนเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ โปรยกลีบกุหลาบให้บริษัทเอกชนเข้ามาโดยที่รัฐวิสาหกิจไทยไม่สามารถแข่งขันได้ แนะทางออกต้องเร่งสร้างการเมืองภาคปชช.ให้เกิดความเข้มแข็ง ร่วมตรวจสอบ ทิ้งท้ายการตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ขึ้นอยู่กับเสียงปชช.
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา เวทีการเมืองภาคประชาชน ณ ลานประวัติศาสตร์ สถานีรถไฟหาดใหญ่ ได้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางสายฝนที่ตกโปรยปรายเป็นระยะ แต่ก็ไม่สามารถทัดทานกระแสการตื่นตัวของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.สงขลา ได้ โดยหัวข้อที่เปิดการเสวนาครั้งนี้ “ใครทำรัฐวิสาหกิจเจ๊ง” โดยนายปิยะโชติ อินทรนิวาส และนายวิรุฬห์ สะแกคุ้ม เป็นพิธีกรดำเนินการเสวนา
นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวถึงความเป็นมาของรัฐวิสาหกิจว่า รัฐวิสาหกิจเกิดขึ้นตั้งแต่ รัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ทรงตั้งขึ้นเพื่อเป็นบริการสาธารณะแก่ประชาชน โดยเป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร จึงมีเงินอุดหนุนเพื่อให้ดำเนินการได้ และประชาชนดำเนินชีวิตอย่างมีความเท่าเทียม
หลังจากปี 2490 ประเทศไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยนำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ขอคำปรึกษากับธนาคารโลก เป็นที่มาของการเปิดให้เอกชนเข้ามาบริหารและลดความสำคัญของรัฐวิสาหกิจลง ทำให้กิจการด้านนี้ไม่เติบโต เปรียบเสมือนต้นบอนไซที่มีแต่ความแคระแกร็น และต้องการนำไปขาย
“แม้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของรัฐวิสาหกิจ แต่รัฐบาลก็ไม่คิดที่จะปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ได้ มิหนำซ้ำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุคต่อๆ มาจะศึกษารูปแบบจากยุโรป อเมริกา และนำวัฒนธรรมอีกซีกโลกหนึ่งมาเป็นช่องว่างแสวงหาผลกำไรกับรัฐวิสาหกิจของประเทศตัวเองระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง” นายสาวิทย์กล่าวต่อและว่า
เมื่อเป็นเช่นนั้น การเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยเดินในทิศทางที่ผิดมุ่งเน้นผลกำไรเป็นหลักโดยไม่สนใจผลกระทบ แม้แต่ระบบการเมืองที่บริหารประเทศถูกแทนที่ด้วยนายทุน ปัจจุบันนายทุนเปลี่ยนบทบาทเบื้องหลังจากบริจาคเงินให้พรรคการเมือง กลายเป็นนักการเมืองที่เข้ามาบริหารเงินเพื่อกำไรของตัวเองแทน
จากวิสัยทัศน์ของรัฐบาลได้กัดกร่อนให้รัฐวิสาหกิจอ่อนแรงลง การรุกกินรัฐวิสาหกิจเริ่มจากการเปลี่ยนโลโก้ เปลี่ยนกฎหมายให้สอดรับ กลุ่มทุนที่ทำธุรกิจต่อสู้กับรัฐวิสาหกิจจะเข้าไปทำลายเพื่อไม่ให้ต่อสู้ได้ ดังเช่น การบินไทยก็กำลังถูกทำลายไม่ให้แข่งกับแอร์เอเชียได้ การป้องกันนั้นด่านแรกอยู่ที่คนในองค์กรจะต้องลุกขึ้นมาปกป้องตัวเอง ประชาชนก็ต้องตอบรับต่อการต่อสู้ เพราะนั่นคือสมบัติของประเทศชาติและประชาชน การติดตามข้อมูลข่าวสาร และร่วมกันทักท้วงเมื่อมีความไม่โปร่งใสจะเป็นวิธีการหนึ่งที่จะสกัดการเมืองเข้ามาตีรัฐวิสาหกิจ
ด้านการบินไทย เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการถูกนักการเมืองทำให้ประสบภาวะขาดทุน ทั้งจากการผู้บริหารที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนและเป็นเครื่องมือให้แก่กลุ่มนักการเมือง นางแจ่มศรี สุกโชติรัตน์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจบินไทย เปิดเผยว่า การบินไทยได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นการแปรรูปไปแล้วในระดับหนึ่ง ตอนแรกรัฐตกลงว่าจะถือหุ้นในช่วงแรก 70% แต่ตอนนี้เหลือเพียง 54% และละทิ้งจุดกำเนิดของรัฐวิสาหกิจที่เพื่อบริการประชาชนลงเรื่อยๆ
ในสมัยก่อนเมื่อมีปัญหาภายในต่างประเทศ การบินไทยจะดูแลคนไทยด้วยการบริการส่งเครื่องบินไปรับกลับประเทศไทย แต่ปัจจุบันผู้บริหารได้นำการบินไทยไปแสวงหาผลกำไรด้วยการจัดซื้อ จัดจ้าง โดยที่ไม่มีความโปร่งใสกันมากมาย เช่น ซื้อของที่ไม่ได้สเปกมาในราคาสูงแล้วใช้ไม่ได้ และจะซื้อใหม่ซ้ำอีก เป็นต้น นี่คือตัวอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ในสมัยนายทนง พิทยะ เป็นประธานบอร์ดการบินไทย ได้ย้ายทุกสายการบินไปอยู่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิเพราะมีการฮั้วกับผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ ทั้งที่สถานที่ยังไม่มีความพร้อม นับตั้งแต่ตัวอาคารจนถึงรันเวย์ สุดท้ายต้องย้ายกลับไปสนามบินดอนเมือง แต่ 2 ปีหลังนี้ย้ายไปอยู่สุวรรณภูมิอีกครั้งท่ามกลางปัญหา และความไม่สะดวกของผู้ใช้บริการที่ต้องเดินทางไกลขึ้น” นางแจ่มศรีกล่าวต่อและว่า
อีกหนึ่งความไม่โปร่งใสของสนามบินฯ ที่กำลังถูกเผยออก คือในขณะนี้กำลังเร่งขยายโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 เร็วๆ นี้ก่อนกำหนดคือในปี 2564 โดยเพิ่มเทอร์มินอล รันเวย์ อาคารผู้โดยสารเป็นต้น เพื่อลดความแออัดของการให้บริการ ทั้งที่บอกว่าสามารถรองรับได้ 67 ล้านคน แต่สามารถรับได้จริง 24 ล้านคนเท่านั้น
ส่วนรัฐวิสาหกิจการประปาฯ นั้นก็กำลังถูกกลุ่มทุนกลืนกินเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะนโยบายที่เปิดให้บริษัทเอกชนเข้ามาบริหารจัดการน้ำประปาในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย และพื้นที่เป้าหมายล่าสุดคือ จ.สงขลา ชุมพร และระนอง แต่การเมืองภาคประชาชนได้เกิดการตื่นตัวและร่วมตรวจสอบ จนมีการชะลอโครงการชั่วคราว แต่โครงการที่ดำเนินไปก่อนล่วงหน้าแล้วนั้น ความไม่โปร่งใสและข้อเท็จจริงต่างๆ ทยอยสู่สังคม และกำลังจะกลายเป็นบทเรียนราคาแพงของการไม่รู้เท่าทันเล่ห์กลของนักการเมืองและกลุ่มทุน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายปัญญา จันทร์เพชร กรรมการบริหารสหภาพแรงงานการประปาส่วนภูมิภาค กล่าวว่า เพียงแค่ 11 โครงการที่ดำเนินการมาก่อนล่วงหน้าแล้วก็ทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียเงินนับแสนล้านบาท แต่ละโครงการทำให้รัฐวิสาหกิจขาดทุน เงินราว 4-5 หมื่นล้านหมุนเวียนอยู่ในด้านนอก โดยที่รัฐไม่ให้เพิ่มงบใดๆ อุดหนุนรัฐวิสาหกิจให้อยู่รอด โดยกฎหมายที่มีผลต่อความมั่นคงของรัฐวิสาหกิจเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลทำข้อตกลงกับ IMF
กรณีการให้บริษัทเอกชนเข้ามาผลิตน้ำประปา 11 โครงการที่ดำเนินการไปแล้ว ปทุมธานี-รังสิต หมกเม็ดข้อมูลว่ามีมูลค่าเพียง 4,000 ล้าน แต่มูลค่าจริงราว 40,000 ล้านบาท เอกชนผลิตน้ำได้ในราคาแพงแต่การประปาต้องขายในราคาที่ถูก ทำให้ต้องขาดทุนและแบกรักภาระคิวละ 5 บาท ยิ่งโครงการดำเนินการนานขึ้นการประปาฯก็ยิ่งขาดทุนมากขึ้นเท่านั้น กลายเป็นภาระที่ต้องนำภาษีอากรของประชาชนมาอุดหนุน เพื่อให้เม็ดเงินเปลี่ยนถ่ายสู่มือนายทุนโดยใช้รัฐวิสาหกิจเป็นตัวประกัน
“อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎข้อบังคับใดเกิดขึ้น กระบวนการแสวงหาผลประโยชน์ย่อมใช้ช่องว่างเดินต่อ โดยตามกฎหมายเอกชนร่วมทุนกำหนดให้โครงการมูลค่า 1,000 ล้านต้องเข้า ครม. จึงมีการหลีกเลี่ยงโดยเขียนโครงการมูลค่าต่ำกว่าจริงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งโครงการมีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาททั้งนั้น และอ้างสาเหตุการให้เอกชนเข้ามาบริหารด้วยผู้บริหารอ้างว่า พนักงานประปาฯไม่มีประสิทธิภาพ แต่ความจริงแล้วเป็นที่ผู้บริหารมากกว่าที่ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารและแก้ปัญหา” นายปัญญากล่าว
สำหรับการปกป้องรัฐวิสาหกิจ ผู้ร่วมเสวนาได้แนะนำในแง่มุมที่น่าสนใจ โดยนางแจ่มศรี กล่าวว่า เมื่อใดที่เกิดอาการผิดปกติในบ้านเมือง ประชาชนต้องตื่นมาใฝ่รู้เกาะกลุ่มเหนียวแน่น สร้างภูมิปัญญาต่อสู้กับนักการเมืองที่สร้างความไม่ถูกต้องในสังคม ประกาศให้รู้เลยว่าวันนี้คุณจะมาหลอกลวงไม่ได้ นั่นก็คือการเมืองใหม่ที่สร้างความเข้มแข็งของภาคประชาชน คนในรัฐวิสาหกิจก็กล้าที่จะออกตัวมาต่อสู้เรื่องไม่ชอบธรรมด้วยเช่นกัน ต่างจากเมื่อก่อนที่กลัวว่าจะได้รับผลกระทบต่อหน้าที่การงาน
นายสมศักดิ์ มาณพ รองประธานสหภาพการบินไทย กล่าวสั้นๆ ว่า เยาวชนคนหนุ่มสาวต้องเข้ามาศึกษาการเมืองมากขึ้น และต้องเข้ามาดูแลสืบทอดต่อจากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีเครือข่ายพันธมิตรฯเข้ามาขับเคลื่อน
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินการเสวนายังซักถามต่อว่า พันธมิตรฯ ควรจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาหรือไม่ นายสาวิทย์ กล่าวว่า พรรคการเมืองในปัจจุบันไม่ใช่คำตอบของสังคมไทย แต่การตั้งพรรคใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องสร้างกรอบผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งเพื่อกำกับพรรคการเมือง ต่อจากนี้ไปเราจึงต้องสร้างภาคประชาชนให้เข้มแข็งก่อน และคำตอบก็ต้องให้ประชาชนเป็นคนร่วมกันพิจารณา
สำหรับการปิดเวทีเสวนาทางการเมืองในคืนนี้ ได้รับเกียรติจากศิลปินชื่อดัง “หงา คาราวาน” มาร่วมบรรเลงบทเพลงที่ให้ข้อคิด กำลังใจ และความหมาย อันเป็นของขวัญที่มอบให้กับพี่น้องพันธมิตรฯ ที่ร่วมสละความสุขส่วนตัวมารวมตัวเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนการเมืองใหม่ เพื่อสร้างสังคมแห่งปัญญา อันจะพัฒนาประเทศชาติให้มีความมั่นคงต่อไปนั่นเอง