ASTVผู้จัดการรายวัน- "มาริษ" เผย กองทุนอสังหา ฯ "ที ยู โดม เรสซิเดนท์เชียล คอมเพล็กซ์" คืบหน้า หลังเปิดให้เช่าร้านค้าภายในศูนย์เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ มั่นใจ IRR จะขยับมามาอยู่ที่ 14% จากเดิมที่ 12-13% มั่นใจจ่ายปันผลได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เเน่นอน ส่วนแผนกองอสังหาฯ พับโครงการใหญ่ก่อน เล็งส่งกองเล็กระดมทุนแทน เหตุต่างชาติไม่สนใจ พร้อมลั่นรักษาเป้า AUM ปีก่อน 1.9 เเสนล้านเดิมให้ดีที่สุด
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงความคืบหน้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที ยู โดม เรสซิเดนท์เชียล คอมเพล็กซ์ ว่า ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเปิดให้เช่าร้านค้า ศูนย์เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ที่จะเปิดในเดือนมิถุนายน โดยตอนนี้ชาวญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจในนวนคร จ.พระนครศรีอยุธยา เข้ามาติดต่ออพาร์ทเม้นท์เป็นจำนวนมาก โดยค่าเช่าจากเดิมที่เคยทำไว้ปประมาณ 8,000 บาท จะเพิ่มขึ้นเป็น 20,000-25,000 บาท แต่ก็ยังถูกกว่าที่เขาเช่าอยู่ที่นวนครเกือบครึ่ง ซึ่งจากการประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ของโครงการใหม่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 14% จากเดิมที่ 12-13% เท่านั้น ซึ่งกองทุนน่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ให้กับผู้ลงทุนได้อย่างแน่นอน
ส่วนเเผนการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) ในปีนี้นั้น เราจะให้ความสนใจกองทุนอสังหาฯ ขนาดเล็ก 1-2 พันล้านบาท แทนกองทุนขนาดใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ผ่านมา ซึ่งทำให้แผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านี้ต้องทบทวนใหม่อีกครั้ง ในเรื่องของความเสี่ยงและความคุ้มค่าในการลงทุน เช่น โรงไฟฟ้าพลังแกลบ โรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ เช่น หากโรงสีไม่มีแกลบมาให้จะเป็นความเสี่ยงทันที เครื่องจักรจึงควรจะใช้วัตถุดิบอื่นด้วยได้หรือไม่ หรือโซร์ล่าร์เซล์ปัจจุบันยังใช้พื้นที่ในการทำมาก
ขณะที่โครงการขนาดใหญ่อย่างรถไฟฟ้า คงต้องรอคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์เเละตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. อนมุัติเรื่องกองสาธารณูปโภคก่อน ซึ่งถ้าอนุมัติเมื่อไรทางบลจ.ไอเอ็นจีมีความพร้อมที่จะตั้งกองทุนทันที
“โรงงานไฟฟ้าพลังงานทดแทน ที่เป็นโรงงานแกลบ เรากำลังศึกษาข้อมูลอยู่กับมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งการลงทุนในโรงงานดังกล่าวก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน โดยถ้าจะจัดตั้งเป็นกองทุนเราน่าจะได้ Freehold และผลตอบแทนน่าจะอยู่ที่ 15% ต่อปีอีกด้วย ” นายมาราริษกล่าว
ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร หรือ AUM ในปีที่ผ่านมา นายมาริษกล่าวว่า บลจ.เรามีสินทรัพย์ที่บริหารอยู่ประมาณ 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งในปีนี้เราจะพยายามรักษาและบริหารสินทรัพย์ให้เท่ากับปีที่ผ่านมา ไม่ให้ลดลงจากเดิม ขณะเดียวกันก็สินทรัพย์ที่บลจ.บริหารจัดการอยู่นั้นก็อาจมีโอกาสโตได้ 20-30% เช่นกัน
ทั้งนี้ ที่มองว่า AUM มีโอกาสโต 20-30% นั้น ส่วนหนึ่งจะมาจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งขนาดกองทุนอาจจะไม่ใหญ่อย่างที่ผ่านมา และที่สำคัญคงต้องดูจังหวะและช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย ขณะที่กองทุนอื่นเช่นก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เช่นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งที่ผ่านมาไอเอ็นจีบริหารจัดการได้อย่างดีและยังไม่มีการรายงานตัวเลขการขาดทุนอีกด้วย ส่วนการขายกองทุนผ่านธนาคารทหารไทยนั้นเป็นช่องทางการขายที่บลจ.ไอเอ็นจี ได้เต็มที่ตลอดทั้งปีแต่เราก็ไม่ได้คาดหวังในเรื่องการเติบโตของกองทุนตราสารตลาดเงินมากนัก เพราะบลจ.ทหารไทยก็มีกองทุนตราสารตลาดเงินเช่นเดียวกัน ซึ่งธนาคารทหารไทยก็คงต้องดูแลทั้ง 2 บลจ. อย่างไรก็ตามบริษัทพยายามที่จะนำเสนอโพรดักท์ที่แตกต่างออกมานำเสนอเพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับทางบลจ.ทหารไทย
สำหรับกองทุนรวมต่างประเทศ หรือ FIF บลจ.ไอเอ็นจีคงต้องชะลอการออกกองทุนดังกล่าวไปก่อน เพื่อดูทิศทาง และดูเวลาที่เหมาะสมในการเข้าไปลงทุน แต่หากไปลงทุนต่างประเทศเราต้องขออนุมัติจากบริษัทแม่ของเราก่อน เนื่องจากยังมีความเสี่ยงอีกหลายอย่าง และที่สำคัญบริษัทแม่จะมีมุมมองในการลงทุนในประเทศต่างๆที่ดีกว่าเรา
“ตอนนี้เราก็ดูไว้เหมือนกัน คือประเทศจีน กับ ตะวันออกกลาง ซึ่งในส่วนของตะวันออกกลางนี้เราให้ บริษัทไอเอ็นจี ที่ดูไบดูอยู่ แต่เราคงต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเช่นนี้”นายมาริษกล่าว
สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที ยู โดม เรสซิเดนท์เชียล คอมเพล็กซ์ จะลงทุนในโครงการหอพักนักศึกษาและเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ (ระหว่างการก่อสร้าง) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 12.5 ไร่ ริมถนนเชียงราก จังหวัดปทุมธานี โดยรายละเอียดการลงทุนคือ 1.สิทธิการเช่าที่ดิน 30 ปี เนื้อที่ประมาณ 12-250 ไร่ อายุเช่าการเช่า 30 ปี 2.สิทธิการเช่าสิ่งปลูกสร้าง 30 ปี อาคารหอพัก 3 หลังพื้นที่รวมประมาณ 59,000 ตารางเมตร จำนวนห้องพัก 1,232 ห้อง อาคารหอพักหลังที่ 1 สูง 9 ชั้นจำนวน 392 ห้องและพื้นที่ร้านค้าประมาณ 4,000 ตารางเมตร ส่วนอาคารหอพักหลังที่ 2 สูง 9 ชั้นจำนวน 392 ห้อง และพื้นที่ร้านค้าประมาณ 4,000 ตารางเมตร และอาคารหอพักหลังที่ 3สูง 9 ชั้นจำรวน 448 ห้องและพื้นที่ร้านค้าประมาณ 2,000 ตารางเมตร 3.สิทธิการเช่าสิ่งปลูกสร้าง 30 ปี อาคารเซอร์วิส อพาร์เม้นท์ 1 หลังสูง 10 ชั้นพื้นที่ประมาณ 19,000 ตารางเมตร จำนวนห้องพัก 302 ห้องและพื้นที่ร้านค้ารวม 1,600 ตารางเมตร สระว่ายน้ำและพื้นที่โดยรอบขนาด 865 ตารางเมตร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที ยู โดม เรสซิเดนท์เชียล คอมเพล็กซ์ ได้งดการจ่ายเงินจากรอบผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนของกองทุนระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 กองทุนมีกำไรสุทธิตามข้อกำหนดการจ่ายเงินปันผลสำหรับงวด 3 เดือนดังกล่าวต่ำกว่า 10 สตางค์ต่อหน่วยตามเงื่อนไขการสงวนสิทธิไม่จ่ายเงินปันผลตามที่ระบุไว้ในโครงการจัดการของกองทุน ประกอบกับกองทุนมียอดขาดทุนสะสมและมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 ซึ่งเท่ากับ 9.9665 บาทต่อหน่วยนั้นยังคงต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้ 10.00 บาทต่อหน่วย โดยบริษัทจัดการจะนำผลการดำเนินงานของงวดดังกล่าวไปจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนพร้อมกับผลการดำเนินงานในงวดถัดๆ ไป
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงความคืบหน้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที ยู โดม เรสซิเดนท์เชียล คอมเพล็กซ์ ว่า ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเปิดให้เช่าร้านค้า ศูนย์เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ที่จะเปิดในเดือนมิถุนายน โดยตอนนี้ชาวญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจในนวนคร จ.พระนครศรีอยุธยา เข้ามาติดต่ออพาร์ทเม้นท์เป็นจำนวนมาก โดยค่าเช่าจากเดิมที่เคยทำไว้ปประมาณ 8,000 บาท จะเพิ่มขึ้นเป็น 20,000-25,000 บาท แต่ก็ยังถูกกว่าที่เขาเช่าอยู่ที่นวนครเกือบครึ่ง ซึ่งจากการประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ของโครงการใหม่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 14% จากเดิมที่ 12-13% เท่านั้น ซึ่งกองทุนน่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ให้กับผู้ลงทุนได้อย่างแน่นอน
ส่วนเเผนการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) ในปีนี้นั้น เราจะให้ความสนใจกองทุนอสังหาฯ ขนาดเล็ก 1-2 พันล้านบาท แทนกองทุนขนาดใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ผ่านมา ซึ่งทำให้แผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านี้ต้องทบทวนใหม่อีกครั้ง ในเรื่องของความเสี่ยงและความคุ้มค่าในการลงทุน เช่น โรงไฟฟ้าพลังแกลบ โรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ เช่น หากโรงสีไม่มีแกลบมาให้จะเป็นความเสี่ยงทันที เครื่องจักรจึงควรจะใช้วัตถุดิบอื่นด้วยได้หรือไม่ หรือโซร์ล่าร์เซล์ปัจจุบันยังใช้พื้นที่ในการทำมาก
ขณะที่โครงการขนาดใหญ่อย่างรถไฟฟ้า คงต้องรอคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์เเละตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. อนมุัติเรื่องกองสาธารณูปโภคก่อน ซึ่งถ้าอนุมัติเมื่อไรทางบลจ.ไอเอ็นจีมีความพร้อมที่จะตั้งกองทุนทันที
“โรงงานไฟฟ้าพลังงานทดแทน ที่เป็นโรงงานแกลบ เรากำลังศึกษาข้อมูลอยู่กับมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งการลงทุนในโรงงานดังกล่าวก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน โดยถ้าจะจัดตั้งเป็นกองทุนเราน่าจะได้ Freehold และผลตอบแทนน่าจะอยู่ที่ 15% ต่อปีอีกด้วย ” นายมาราริษกล่าว
ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร หรือ AUM ในปีที่ผ่านมา นายมาริษกล่าวว่า บลจ.เรามีสินทรัพย์ที่บริหารอยู่ประมาณ 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งในปีนี้เราจะพยายามรักษาและบริหารสินทรัพย์ให้เท่ากับปีที่ผ่านมา ไม่ให้ลดลงจากเดิม ขณะเดียวกันก็สินทรัพย์ที่บลจ.บริหารจัดการอยู่นั้นก็อาจมีโอกาสโตได้ 20-30% เช่นกัน
ทั้งนี้ ที่มองว่า AUM มีโอกาสโต 20-30% นั้น ส่วนหนึ่งจะมาจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งขนาดกองทุนอาจจะไม่ใหญ่อย่างที่ผ่านมา และที่สำคัญคงต้องดูจังหวะและช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย ขณะที่กองทุนอื่นเช่นก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เช่นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งที่ผ่านมาไอเอ็นจีบริหารจัดการได้อย่างดีและยังไม่มีการรายงานตัวเลขการขาดทุนอีกด้วย ส่วนการขายกองทุนผ่านธนาคารทหารไทยนั้นเป็นช่องทางการขายที่บลจ.ไอเอ็นจี ได้เต็มที่ตลอดทั้งปีแต่เราก็ไม่ได้คาดหวังในเรื่องการเติบโตของกองทุนตราสารตลาดเงินมากนัก เพราะบลจ.ทหารไทยก็มีกองทุนตราสารตลาดเงินเช่นเดียวกัน ซึ่งธนาคารทหารไทยก็คงต้องดูแลทั้ง 2 บลจ. อย่างไรก็ตามบริษัทพยายามที่จะนำเสนอโพรดักท์ที่แตกต่างออกมานำเสนอเพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับทางบลจ.ทหารไทย
สำหรับกองทุนรวมต่างประเทศ หรือ FIF บลจ.ไอเอ็นจีคงต้องชะลอการออกกองทุนดังกล่าวไปก่อน เพื่อดูทิศทาง และดูเวลาที่เหมาะสมในการเข้าไปลงทุน แต่หากไปลงทุนต่างประเทศเราต้องขออนุมัติจากบริษัทแม่ของเราก่อน เนื่องจากยังมีความเสี่ยงอีกหลายอย่าง และที่สำคัญบริษัทแม่จะมีมุมมองในการลงทุนในประเทศต่างๆที่ดีกว่าเรา
“ตอนนี้เราก็ดูไว้เหมือนกัน คือประเทศจีน กับ ตะวันออกกลาง ซึ่งในส่วนของตะวันออกกลางนี้เราให้ บริษัทไอเอ็นจี ที่ดูไบดูอยู่ แต่เราคงต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเช่นนี้”นายมาริษกล่าว
สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที ยู โดม เรสซิเดนท์เชียล คอมเพล็กซ์ จะลงทุนในโครงการหอพักนักศึกษาและเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ (ระหว่างการก่อสร้าง) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 12.5 ไร่ ริมถนนเชียงราก จังหวัดปทุมธานี โดยรายละเอียดการลงทุนคือ 1.สิทธิการเช่าที่ดิน 30 ปี เนื้อที่ประมาณ 12-250 ไร่ อายุเช่าการเช่า 30 ปี 2.สิทธิการเช่าสิ่งปลูกสร้าง 30 ปี อาคารหอพัก 3 หลังพื้นที่รวมประมาณ 59,000 ตารางเมตร จำนวนห้องพัก 1,232 ห้อง อาคารหอพักหลังที่ 1 สูง 9 ชั้นจำนวน 392 ห้องและพื้นที่ร้านค้าประมาณ 4,000 ตารางเมตร ส่วนอาคารหอพักหลังที่ 2 สูง 9 ชั้นจำนวน 392 ห้อง และพื้นที่ร้านค้าประมาณ 4,000 ตารางเมตร และอาคารหอพักหลังที่ 3สูง 9 ชั้นจำรวน 448 ห้องและพื้นที่ร้านค้าประมาณ 2,000 ตารางเมตร 3.สิทธิการเช่าสิ่งปลูกสร้าง 30 ปี อาคารเซอร์วิส อพาร์เม้นท์ 1 หลังสูง 10 ชั้นพื้นที่ประมาณ 19,000 ตารางเมตร จำนวนห้องพัก 302 ห้องและพื้นที่ร้านค้ารวม 1,600 ตารางเมตร สระว่ายน้ำและพื้นที่โดยรอบขนาด 865 ตารางเมตร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที ยู โดม เรสซิเดนท์เชียล คอมเพล็กซ์ ได้งดการจ่ายเงินจากรอบผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนของกองทุนระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 กองทุนมีกำไรสุทธิตามข้อกำหนดการจ่ายเงินปันผลสำหรับงวด 3 เดือนดังกล่าวต่ำกว่า 10 สตางค์ต่อหน่วยตามเงื่อนไขการสงวนสิทธิไม่จ่ายเงินปันผลตามที่ระบุไว้ในโครงการจัดการของกองทุน ประกอบกับกองทุนมียอดขาดทุนสะสมและมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 ซึ่งเท่ากับ 9.9665 บาทต่อหน่วยนั้นยังคงต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้ 10.00 บาทต่อหน่วย โดยบริษัทจัดการจะนำผลการดำเนินงานของงวดดังกล่าวไปจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนพร้อมกับผลการดำเนินงานในงวดถัดๆ ไป
