รอยเตอร์ – ซีอีโอของซิตี้กรุ๊ปประกาศว่า มีกำไรในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ นอกจากนั้นเขายังได้แสดงความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของเงินทุนด้วย ปรากฏว่าท่าทีเช่นนี้ทำให้ตลาดคลายความกังวลเรื่องความอยู่รอดของธนาคาร และส่งให้หุ้นซิตี้พุ่งขึ้น 38.1%
“ผมรู้สึกเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของธุรกิจของเราในปีนี้อย่างมาก” วิกรัม บัณฑิตซึ่งเป็นซีอีโอของซิตี้กรุ๊ปกล่าวในบันทึกถึงพนักงานทุกคน “เรามีกำไรในช่วงสองเดือนแรกของปี 2009 และมีผลการดำเนินงานดีที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสสามของปี 2007 เป็นต้นมา”
การประเมินนี้อาจจะทำให้บัณฑิตต้องประสบกับแรงกดดันในการรายงานผลประกอบการของซิตี้กรุ๊ปในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เพราะว่า 5 ไตรมาสก่อนหน้านี้ซิตี้กรุ๊ปขาดทุนรวมกัน 37,500 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว
ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนปี 2007 ซิตี้กรุ๊ปมีรายได้ 2,200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายที่ธนาคารสามารถทำกำไรได้ หลังจากบัณฑิตก็เข้ามาเป็นซีอีโอในเดือนธันวาคม 2007 ส่วนนักวิเคราะห์คาดเอาไว้ว่าซิตี้จะขาดทุนไปจนถึงเดือนกันยายนปีนี้เลยทีเดียว
“คุณไม่สามารถมาพูดว่าสองเดือนแรกของปีนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา แต่แล้วมากลับลำบอกว่าเดือนมีนาคมทำเสียเรื่อง” ราล์ฟ โคลนักลงทุนของเฟอร์กูสัน เวลแมน แคปิตอล แมเนจเมนต์กล่าว “บัณฑิตกำลังเอาชื่อเสียงของเขามาเสี่ยงในเรื่องนี้ เพราะพูดแบบนี้ก็ทำให้ความคาดหวังของผู้คนเพิ่มขึ้น”
อย่างไรก็ดี ข่าวนี้ได้ทำให้หุ้นของซิตี้กรุ๊ปปิดวันอังคารเพิ่มขึ้น 40 เซนต์มาอยู่ที่ 1.45 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นถึง 38%
นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯโดยรวมผงาดขึ้นด้วยในวันอังคาร โดยดัชนีดาวโจนส์ทะยานไป 5.8% ในขณะที่สแตนดาร์ด แอนด์พัวร์ส 500 พุ่งมากกว่า 6% ทั้งนี้หุ้นของธนาคารอื่น ๆก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ส.ส. บาร์นีย์ แฟรง ประธานของคณะกรรมาธิการบริการการเงินแห่งสภาล่างกล่าวว่า ตอนนี้บรรดาผู้คุ้มกฏวางแผนที่จะนำเอาระเบียบห้ามการทำชอตเซลลิ่งในขณะที่หุ้นกำลังตกมาใช้
ก่อนหน้านี้ซิตี้กรุ๊ปกล่าวหาพวกทำช็อตเซลล์ว่า เป็นตัวการที่ทำให้ราคาหุ้นของธนาคารตกลงอย่างต่อเนื่อง และแตะระดับต่ำกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐฯเป็นครั้งแรก
นับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา ซิตี้กรุ๊ปได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯมาสองครั้งแล้ว โดยกระทรวงการคลังอัดฉีดเม็ดเงินจากแผนการบรรเทาสินทรัพย์มีปัญหาเข้ามา 45,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งได้รับคำมั่นจากรัฐบาลด้วยว่าจะลดการขาดทุนจากทรัพย์สินมีปัญหาที่ซิตี้กรุ๊ปถืออยู่ราว 300,800 ล้านดอลลาร์ให้
ทั้งนี้จากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาเมื่อเดือนที่แล้วของรัฐบาสหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของซิตี้ โดยมีหุ้นอยู่ถึง 36%
ตอนนี้บรรดาหน่วยงานกำกับดูแลทั้งหลายก็กำลังร่างแผนรับเหตุไม่คาดคิด เพื่อทำให้ซิตี้กรุ๊ปยังมีเสถียรภาพ ถึงแม้ปัญหาที่มีอยู่จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นอีก แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียดแผนการช่วยเหลือใด ๆออกมา
ในอีกด้านหนึ่ง ความอดทนของรัฐบาลสหรัฐฯก็เริ่มจะหมดลงทีละน้อย เนื่องจากมีเสียงไม่พอใจอย่างมาก จากการที่นำเอาเงินภาษีของประชาชนมาอุดรูรั่วให้ธนาคารเช่นนี้
“ผมรู้สึกเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของธุรกิจของเราในปีนี้อย่างมาก” วิกรัม บัณฑิตซึ่งเป็นซีอีโอของซิตี้กรุ๊ปกล่าวในบันทึกถึงพนักงานทุกคน “เรามีกำไรในช่วงสองเดือนแรกของปี 2009 และมีผลการดำเนินงานดีที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสสามของปี 2007 เป็นต้นมา”
การประเมินนี้อาจจะทำให้บัณฑิตต้องประสบกับแรงกดดันในการรายงานผลประกอบการของซิตี้กรุ๊ปในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เพราะว่า 5 ไตรมาสก่อนหน้านี้ซิตี้กรุ๊ปขาดทุนรวมกัน 37,500 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว
ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนปี 2007 ซิตี้กรุ๊ปมีรายได้ 2,200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายที่ธนาคารสามารถทำกำไรได้ หลังจากบัณฑิตก็เข้ามาเป็นซีอีโอในเดือนธันวาคม 2007 ส่วนนักวิเคราะห์คาดเอาไว้ว่าซิตี้จะขาดทุนไปจนถึงเดือนกันยายนปีนี้เลยทีเดียว
“คุณไม่สามารถมาพูดว่าสองเดือนแรกของปีนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา แต่แล้วมากลับลำบอกว่าเดือนมีนาคมทำเสียเรื่อง” ราล์ฟ โคลนักลงทุนของเฟอร์กูสัน เวลแมน แคปิตอล แมเนจเมนต์กล่าว “บัณฑิตกำลังเอาชื่อเสียงของเขามาเสี่ยงในเรื่องนี้ เพราะพูดแบบนี้ก็ทำให้ความคาดหวังของผู้คนเพิ่มขึ้น”
อย่างไรก็ดี ข่าวนี้ได้ทำให้หุ้นของซิตี้กรุ๊ปปิดวันอังคารเพิ่มขึ้น 40 เซนต์มาอยู่ที่ 1.45 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นถึง 38%
นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯโดยรวมผงาดขึ้นด้วยในวันอังคาร โดยดัชนีดาวโจนส์ทะยานไป 5.8% ในขณะที่สแตนดาร์ด แอนด์พัวร์ส 500 พุ่งมากกว่า 6% ทั้งนี้หุ้นของธนาคารอื่น ๆก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ส.ส. บาร์นีย์ แฟรง ประธานของคณะกรรมาธิการบริการการเงินแห่งสภาล่างกล่าวว่า ตอนนี้บรรดาผู้คุ้มกฏวางแผนที่จะนำเอาระเบียบห้ามการทำชอตเซลลิ่งในขณะที่หุ้นกำลังตกมาใช้
ก่อนหน้านี้ซิตี้กรุ๊ปกล่าวหาพวกทำช็อตเซลล์ว่า เป็นตัวการที่ทำให้ราคาหุ้นของธนาคารตกลงอย่างต่อเนื่อง และแตะระดับต่ำกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐฯเป็นครั้งแรก
นับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา ซิตี้กรุ๊ปได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯมาสองครั้งแล้ว โดยกระทรวงการคลังอัดฉีดเม็ดเงินจากแผนการบรรเทาสินทรัพย์มีปัญหาเข้ามา 45,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งได้รับคำมั่นจากรัฐบาลด้วยว่าจะลดการขาดทุนจากทรัพย์สินมีปัญหาที่ซิตี้กรุ๊ปถืออยู่ราว 300,800 ล้านดอลลาร์ให้
ทั้งนี้จากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาเมื่อเดือนที่แล้วของรัฐบาสหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของซิตี้ โดยมีหุ้นอยู่ถึง 36%
ตอนนี้บรรดาหน่วยงานกำกับดูแลทั้งหลายก็กำลังร่างแผนรับเหตุไม่คาดคิด เพื่อทำให้ซิตี้กรุ๊ปยังมีเสถียรภาพ ถึงแม้ปัญหาที่มีอยู่จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นอีก แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียดแผนการช่วยเหลือใด ๆออกมา
ในอีกด้านหนึ่ง ความอดทนของรัฐบาลสหรัฐฯก็เริ่มจะหมดลงทีละน้อย เนื่องจากมีเสียงไม่พอใจอย่างมาก จากการที่นำเอาเงินภาษีของประชาชนมาอุดรูรั่วให้ธนาคารเช่นนี้