ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - คอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 5 นครราชสีมาคึกคัก พันธมิตรฯหลายหมื่นแห่ร่วม “สนธิ” ชี้ “สุเทพ-เนวิน” รวมหัวทำลาย พธม.ใช้ ตร.ระบอบทักษิณเป็นเครื่องมือ หลังเหยียบย่ำศพพี่น้องกู้ชาติเป็นบันไดขึ้นเสวยอำนาจ เตือน ปชป.ระวังฉิบหายเพราะ “เทพ เทือก” ย้ำ 4 แกนนำ พธม.ไม่รับตำแหน่งหนุนพรรคที่มีจุดยืนการเมืองใหม่ชัด “จำลอง” ระบุหากจำเป็น พธม.ต้องตั้งพรรคทำงานการเมืองคู่ขนาน “พิภพ”อัด“มาร์ค” ขาดความกล้าสั่ง “เทพเทือก” เชือดตำรวจฆ่า ปชช.7 ตุลาทมิฬ ลั่น 21 พธม.พร้อมมอบตัว 30 มี.ค.เพื่อต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ขณะที่ “สมศักดิ์” เผยพรรคเทียนธรรมเป็นทางเลือกของ ปชช. “สมเกียรติ” ชี้ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯคนสุดท้ายผู้ชี้ขาดสังคมไทย
งานคอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 5 (นครราชสีมา) ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี (ASTV) ร่วมกับพันธมิตรฯ นครราชสีมาจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา ณ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ต.ปรุใหญ่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา เต็มไปด้วยความคึกคัก พี่น้องพันธมิตรฯ จากทั่วประเทศหลั่งไหลเข้าร่วมงานหลายหมื่นคน ท่ามกลางการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 500 นาย พร้อมการ์ดพันธมิตรฯ อีกกว่า 300 คน คุมเข้มรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่ แต่ไร้เงาม็อบคนเสื้อแดงบุกมาป่วนการจัดงานครั้งนี้ ทำได้เพียงเกณฑ์ชาวบ้านราว 10 -20 คน มาสร้างความรำคาญป่าเถื่อนและก่อเหตุวุ่นวายเล็กน้อย ให้แก่บรรดานักรบมือตบกู้ชาติที่ไปกราบสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) เพื่อความเป็นสิริมงคล ในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา ก่อนเข้าร่วมงานเวทีคอนเสิร์ตการเมือง เท่านั้น
กิจกรรมบนเวที วิทยากรจาก ASTV และ บรรดาแกนนำพันมิตรฯ ต่างๆ ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปราศรัยสลับการแสดงดนตรีของวงศิลปินกู้ชาติน้อยใหญ่ ก่อนที่เสียงเพลง “เทียนแห่งธรรม” จะดัง กระหึ่มส่งสัญญาณถึงเวลา 5 แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ,นายสนธิ ลิ้มทองกุล ,นายพิภพ ธงไชย, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ขึ้นปรากฏกายบนเวที พบปะกับพี่น้องพันธมิตรฯ กู้ชาติพร้อมกันในเวลาประมาณ 20.00 น.
“สนธิ”เตือน ปชป.พังเพราะ“สุเทพ”
เวลา 20.10 น.นายสนธิ ได้กล่าวปราศรัยเป็นคนแรก โดยเท้าความถึงประเด็นที่เขาพูดบนเวทีที่หน้าบ้านเจ้าพระยาเมื่อคืนวันที่ 6 มี.ค.นั้นเป็นการฝากคำถามไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่า “ตกลงพวกคุณเห็นพันธมิตรฯเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ อย่าแทงกั๊กอีกเลย”
นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อปี 2551 ทันทีที่นายสมัคร สุนทรเวช เข้ามามีอำนาจเป็นหัวหน้ารัฐบาลในฐานะนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่นายสมัคร รีบทำเลยคือการปลด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวช และย้ายนายตำรวจที่ทำคดีนายยงยุทธ์ ติยะไพรัช ในข้อหาโกงเลือกตั้ง พอมาถึงปี 2552 เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำฝ่ายบริหาร แต่ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ยังอยู่ในตำแหน่ง พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว แค่ถูกย้ายเปลี่ยนภูมิภาค นั่นหมายความว่ามีคนต้องการยืมมือ พ.ต.ต.อำนวย ดำเนินคดีแก่พันธมิตรฯ
"พี่น้องเรากว่า 10 คนที่ตาย 700 กว่าคนที่บาดเจ็บ 20 กว่าคนที่พิการขาดขาด แขนขาดไม่มีความหมายเลยหรือ พวกเขาไม่รู้สึกเป็นหนี้คนที่ตาย บาดเจ็บและพิการเหล่านั้นเลย ไม่รู้สึกเลยว่า ทั้งนายอำนวย นายสุชาติ เป็นกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ตำรวจฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 เขาหลอกใช้พวกเราพันธมิตรฯ เพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจ เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่เราต้องถามคำถามว่าจริงๆ แล้วพวกคุณเห็นเราเป็นเพื่อนหรือเป็นศัตรูกันแน่
พี่น้องครับ พวกเราและ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ต่อสู้กับทักษิณมาแล้วจะกลัวอะไรกับหมายเรียกหรือหมายจับของนายอำนวย นิ่มมะโน การที่เขาปล่อยนายอำนวย มาเล่นงานพวกเรา คงคิดว่าเรากลัวเอ็ม 79 พวกเราก็เจอมาแล้วยังไม่กลัวเลย หรือว่าพวกเขากลัวเราจะตั้งพรรคการเมืองและพวกเราพันธมิตรฯ ไม่กลัวว่าใครจะตั้งพรรคการเมืองตราบใดที่พรรคการเมืองนั้นมีจุดยืนมีกติกาชัดเจน ยอมรับที่จะผลักดันแนวทางของการเมืองใหม่ พวกเราพี่น้องพันธมิตรฯ ก็พร้อมที่จะสนับสนุนใช่หรือไม่
พันธมิตรฯไม่มีเครือข่าย มีแต่พันธมิตรฯ เราสู้กันมาตลอด สู้ด้วยอุดมการณ์ ยังจำคำสัญญาได้ไหมที่บอกว่าแกนนำ 4 คนยกเว้นอาจารย์สมเกียรติ จะไม่มีใครรับตำแหน่งทางการเมือง แต่เราพร้อมจะยอมรับสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีจุดยืนที่จะสร้างการเมืองใหม่”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า พี่น้องพันธมิตรฯ เราต้องทำหน้าที่ 2 ด้านไปพร้อมๆ กัน คือการทำการเมืองภาคประชาชนในนามพันธมิตรฯ และสนับสนุนพรรคการเมืองที่ดีเพื่อสร้างสรรค์การเมืองใหม่ให้เกิดขึ้นได้จริง เข้าไปสู้ในระบอบรัฐสภาพี่น้องคงเห็นแล้วว่า วันนี้พรรคเพื่อไทยเขามีกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นมวลชนรับจ้าง เขาเดินเกมแบบ 4 ประสาน 5 ประสาน อยู่เบื้องหลังพวกเสื้อแดง ตำรวจและข้าราชการบางส่วนได้ยอมทำงานรับใช้ระบอบทักษิณ มีเงินอัดฉีดตลอด ในทางกลับกัน พวกเราพันธมิตรฯ ทุกวันนี้ไม่มีใคร เงินทุนก็ไม่มี รัฐบาลเขาก็รังเกียจ
ตอนนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์เขารังเกียจเรา ทั้งที่เราเป็นมวลชนให้เขาได้ แต่เขากลับรังเกียจพวกเราพันธมิตรฯ มีแต่คุณกษิต ภิรมย์ เท่านั้นที่ให้สัมภาษณ์เต็มปากเต็มคำว่าภูมิใจที่เป็นพันธมิตรฯ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเราทำให้ตนอดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้จับมือกับนายเนวิน ชิดชอบเพื่อทำลายพันธมิตรฯ เพราะจู่ๆ พวกตำรวจทักษิณก็จะจับ 21 พันธมิตรฯ ตอนแรกประกาศจะออกหมายจับ พอเราโวยวายก็เปลี่ยนเป็นหมายเรียก พวกเราก็เลยยื่นคำร้องขอเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวน เพราะมีนายอำนวย นิ่มมะโน เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ทั้งที่เขาเองเป็นพวกตำรวจฆ่าประชาชน
“หลังจากคุณสุริยะใส ผู้ประสานงานของพันธมิตรฯประกาศว่าจะยื่นหนังสือขอเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนเพื่อความเป็นธรรม เมื่อนักข่าวไปถามความเห็นคุณสุเทพ เขาให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงชุดพนักงานสอบสวน ยังคงเดิม นั่นเท่ากับว่าเขาเห็นพี่น้องพันธมิตรฯที่ตาย บาดเจ็บและพิการเป็นแค่บันไดที่เขาใช้เหยียบขึ้นไปเสวยสุขในอำนาจ”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ตอนนี้ต้องยอมรับว่า พวกเราพันธมิตรฯไม่ได้มีปัญหากับประชาธิปัตย์ แต่คนที่มีปัญหากับเราคือนายสุเทพ ก่อนหน้านี้ เคยบอกกับพี่น้องแล้วว่าตนเชื่อว่านายสุเทพ จะกลับตัวกลับใจทัน แต่พิสูจน์แล้วว่านายสุเทพ คิดอย่างไรกับพวกเรา ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ จะฉิบหายช้าหรือเร็วก็เพราะนายสุเทพ คนเดียว พันธมิตรฯไม่เคยรังเกียจพรรคประชาธิปัตย์ แต่นายสุเทพ กำลังจะทำให้ประชาธิปัตย์เป็นศัตรูกับพันธมิตรฯ
"ขอย้อนมาที่ตอนที่ตำรวจในระบอบทักษิณยิงพวกเรา จำได้ว่านายกฯอภิสิทธิ์ เคยไปเยี่ยมพันธมิตรฯ ที่นอนบาดเจ็บ นอนพิการ รู้ทั้งรู้ว่าพวกเขาเป็นเหยื่อของตำรวจ ทำไมนายกฯ ไม่สั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากผลการสรุปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ระบุชัดว่าเหตุการณ์ 7 ต.ค.51 เป็นฝีมือของตำรวจ โดยการสั่งการของคณะรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือไม่ก็ตัดสินใจเซ็นปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ไปเลย เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไปได้"
นายสนธิ กล่าวย้ำว่า พันธมิตรฯ ทุกคนมีสิทธิ์มีส่วนร่วมที่จะสร้างการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้นได้จริง พวกเราต่อสู้กันมานานแล้วและต้องต่อสู้ต่อไป แต่การต่อสู้ต่อไปนี้พวกเราต้องมียุทธวิธีต้องต่อสู้ทั้งในสภาและนอกสภา แต่อยากให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า พวกเราแกนนำ 4 คนยกเว้นอาจารย์สมเกียรติ จะไม่เล่นการเมือง จะไม่รับตำแหน่งใดๆ เด็ดขาด อยากให้พี่น้องชาวอีสาน โดยเฉพาะชาวนครราชสีมาร่วมกันสร้างการเมืองใหม่ การเลือกตั้งครั้งหน้าขอให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นักการเมืองถ่อย นักการเมืองยุคเก่าต้องตายไปจากสภา
”จำลอง”ย้ำหากจำเป็นต้องตั้งพรรค
เวลา 20.45 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวถึงการเมืองใหม่และการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯว่า พวกเราแกนนำทั้ง 5 คนไม่เคยนัดแนะหรือเตรียมกันมาก่อน เมื่อครั้งที่ไปขึ้นเวทีคอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 4 ที่เกาะสมุย และแกนนำทุกคนได้พูดเรื่องนี้ตรงกัน คือ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น คำว่า “เครือข่ายพันธมิตรฯ” ไม่มี ขณะนี้พันธมิตรฯ กำลังมีแนวความคิดในเรื่องการเมืองใหม่ ที่นำไปสู่ การตั้งพรรคการเมือง ซึ่งจะได้สอบถามความเห็นของประชาชนว่าเห็นด้วยอย่างไรหรือไม่ ไปเรื่อยๆ
สำหรับการตั้งพรรคการเมืองนั้น หากมีความจำเป็นจะต้องตั้งพรรคการเมืองก็ต้องตั้ง แต่หากไม่มีความจำเป็น คือ มีคนทำการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้นแล้ว พันธมิตรฯเราก็จะทำเฉพาะการเมืองภาคประชาชนต่อไป
“หากมีความจำเป็นต้องตั้งพรรคการเมืองพันธมิตรฯจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ 1. ทำงานการเมืองด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ และส่วนที่ 2. ทำการเมืองภาคประชาชน ซึ่งเมื่อถึงคราวเลือกตั้ง พันธมิตรฯ ทั่วประเทศจะต้องออกไปช่วยกันชักชวนให้เลือกพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ”
พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า การเมืองภาคประชาชนทำไม่ยากและเคยทำกันมาแล้วเพียงแต่ประชาชนส่วนใหญ่อาจยังไม่ทราบ เช่นตนเคยตั้งพรรคการเมือง เคยเป็นหัวหน้าพรรค และลงสมัครรับเลือกตั้งมาแล้ว ได้คะแนนสนับสนุนจากประชาชนมาตั้ง 47 ส.ส.โดยตนเสียค่าใช้จ่าย ทั้งค่าสมัคร ค่าลงทะเบียนและพิมพ์รูป รวม 6,000 บาท และประชาชนก็ช่วยกันเลือก แต่ในตอนนั้น คนที่รู้เรื่องการเมืองภาคประชาชนมีไม่มากขนาดนี้
สำหรับความจำเป็นที่พันธมิตรฯ จะต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมานั้น เนื่องจากว่าพรรคการเมืองที่มีอยู่ไม่ทำให้การเมืองใหม่เกิดขึ้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แก่ประชาชนได้ ฉะนั้นจึงถึงเวลาที่ พันธมิตรฯ จะต้องมาสร้างการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้น
“หากพวกเราอยากจะเป็นใหญ่เป็นโตในทางการเมือง เมื่อต่อสู้มาจนได้รับชัยชนะพวกเราก็ไปรับตำแหน่งแล้ว แต่ที่ผ่านมาเรารอดู การแสดงของพรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าจะแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้หรือไม่ และทำให้การเมืองใหม่เกิดขึ้นได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะต้องออกมาทำเพื่อบ้านเมือง คือ การตั้งพรรคการเมือง”
พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลาการชุมนุมต่อสู้ 193 วันในปี 2551 บวกอีก 33 วันในปี 2549 รวม 226 วัน กลุ่มพันธมิตรฯไม่เคยมีเป้าหมายที่จะตั้งพรรคการเมืองเลย แต่เนื่องจากเห็นว่าการเมืองไปไม่รอดจึงจะต้องมีพรรคการเมืองของพันธมิตรฯและการเมืองใหม่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ทุกพรรคทุกคนสามารถทำได้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษ หรือเป็นใหญ่ในทางการเมืองจึงจะทำให้การเมืองใหม่เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องมีความซื่อสัตย์ เสียสละ และกล้าหาญ
”พิภพ”ชี้มาร์คไม่กล้าฟันตร.ฆ่าปชช.
เวลา 21.30 น.นายพิภพ ธงไชย กล่าวถึงกรณี 9 แกนนำพันธมิตรฯ โดนข้อหากบฏ ขณะชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาลว่า พวกเราได้อุทธรณ์ต่อสู้ตามกระบวนการ ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่ต่อสู้เพื่อตัวเองและผลการอุทธรณ์ทำให้ตำรวจต้องถอนข้อหากบฏออก เพราะเป็นข้อหาที่หวังไม่ให้แกนนำได้รับการประกันตัวเพื่อให้ขบวนการต่อสู้ของพันธมิตรฯยุติลง นั่นเป็นจุดหมายของรัฐบาล และตำรวจ ซึ่งมีประชาชนกระทำเช่นนี้เป็นจำนวนมาก
มาถึงกรณีข้อกล่าวหาพันธมิตรฯ 21 คนที่จะเข้ามอบตัวพร้อมกันในวันที่ 30 มี.ค.นี้ ที่ต้องพูดถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี, นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งพวกเราเชื่อมั่นนายอภิสิทธิ์ ในเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ แต่ยังสงสัย ในเรื่องความกล้าหาญ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ก็ฝากถามนักข่าวมาว่า เขาขาดความกล้าหาญในเรื่องอะไร
นายพิภพ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ 7 ตุลาทมิฬ ที่พี่น้องพันธมิตรฯเสียชีวิต 8 คน ต่อมาเสียชีวิตอีก 2 คนและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก บางรายยังอยู่ในอาการโคม่าและหลายรายยังต้องรักษาตัวอีกนาน โดยที่พันธมิตรฯ ไม่มีอาวุธอะไรที่จะไปต่อสู้กับตำรวจได้เลย และนายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ในขณะนั้นเป็นผู้ยื่นเรื่องต่อกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้สอบสวนเรื่องนี้เองและผลสอบสวนออกมาแล้วว่าใครผิด ใครต้องรับผิดชอบบ้าง อยากถามว่าตอนนี้ทำอะไรไปบ้างแล้ว
ไม่ทำอะไรยังไม่พอ ยังปล่อยให้ตำรวจที่ยิงประชาชนมาลอยหน้าลอยตัว ออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯอีก 21 คนแล้วความกล้าหาญของนายอภิสิทธิ์ อยู่ตรงไหน ขอให้เอาความจริงในขณะที่ตัวเองเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน มาพูดออกจากปากตัวเองเสียที และในวันที่ 7 ต.ค.นั้นแกนนำพันธมิตรฯ หลายคนอยู่ในทำเนียบ ไม่ได้ไปที่หน้ารัฐสภา ตำรวจยังปล่อยแก๊สน้ำตา มาตามท่อน้ำเสียมาพุ่งขึ้นที่เวทีพันธมิตรฯในทำเนียบรัฐบาลอีกแล้ว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี คุมตำรวจ ทำไมไม่สั่งสอบสวนตำรวจที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ 7 ต.ค.ทุกคน นายสุเทพ เล่นการเมืองแบบเก่า คงไม่อยากให้พันธมิตรฯ เติบโตมาเป็นก้างขวางคอ และอยากผสมสายพันธุ์กับเนวิน ต่อไปใช่หรือเปล่า
“ขอถามนายอภิสิทธิ์ว่า อยู่ภายใต้การชี้นำของสุเทพ และเนวิน หรือเปล่า กล้าสั่งให้สุเทพ ดำเนินการให้ความเป็นธรรมต่อพันธมิตรฯ และจัดการตำรวจที่ยิงประชาชน หรือไม่ นี่คือคำตอบที่นายอภิสิทธิ์ ถามนักข่าวมา ว่า เขาขาดความกล้าหาญเรื่องอะไร”
นายพิภพ กล่าวต่อว่า นายอภิสิทธิ์ ถือเป็นนักการเมืองน้ำใหม่ มีการศึกษาดี รักครอบครัว หลังได้จัดตั้งรัฐบาลก็เป็นความชอบธรรม และมีความกล้าในการตั้งนายกษิต ภิรมย์ ที่มีความสามารถเป็น รมว.ต่างประเทศ แต่วันนี้คุณต้องกล้าจัดการกับคนที่เข่นฆ่าประชาชนในวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าคุณ ที่เป็น ส.ส.และคุณบอยคอตไม่เข้าร่วมประชุมสภาฯ ในวันนั้นนายอภิสิทธิ์ เป็นนักการเมืองที่มีต้นทุนสูง แต่หากไม่กล้าตัดสินใจ และไม่กล้าหักนักการเมืองเก่าในพรรคของตัวเอง ก็จะหมดอนาคตทางการเมือง
“เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ไม่เคยเอาคนผิดที่ฆ่าประชาชนมาลงโทษได้เลย แต่วันนี้หวังว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จะเอาคนผิดที่ยิงประชาชนมาลงโทษให้ได้ ส่วนพวกเรา 21 คนจะไปมอบตัวในวันที่ 30 มี.ค.นี้เพื่อต่อสู้ไปตามกระบวนการยุติธรรม เราต้องการให้ความเป็นธรรมปรากฏ ไม่ต้องการให้มาเข้าข้าง และพวกเราแกนนำพันธมิตรฯ 21 คน พร้อมที่จะเป็นเหยื่อหากได้ความเป็นธรรมคืนกลับมาให้ประชาชน
นายพิภพ กล่าวถึงเรื่องการเมืองใหม่และการตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯว่า แนวคิดการตั้งพรรคการเมืองกับขบวนการการเมืองภาคประชาชนนั้นมีมาแล้วในยุโรป เช่น การตั้งพรรคกรีนปาร์ตี้ ในประเทศเยอรมนีที่ต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งการผลักดันนโยบายของพรรคการเมืองกับภาคประชาชนก็เดินไปด้วยกันได้ และการตั้งพรรคการเมืองคุณภาพในเมืองไทยก็เกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น พรรคพลังธรรมของ พล.ต.จำลอง และการพยายามก่อตั้งพรรคพลังใหม่ หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เป็นต้น
ดังนั้น หากพรรคการเมืองพันธมิตรฯเกิดขึ้น กลุ่มพันธมิตรฯก็คงยังอยู่ และพรรคการเมืองต้องมีแนวนโยบายตรงกับการเคลื่อนไหวต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เรียกว่า การเมืองภาคประชาชน และบทบาทการเมืองในรัฐสภา ภายใต้การเมืองใหม่ต้องสอดคล้องไปด้วยกันระหว่างพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์กับการต่อสู้ของประชาชน ส.ส.ต้องซื่อสัตย์ เสียสละ และกล้าหาญ โดยประชาชนเป็นผู้เลือกตัวแทนที่จะลงรับเลือกตั้ง ส.ส. เบื้องต้นด้วยตนเอง เป็นต้น
“หากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถทำการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้นได้ ไม่สามารถจัดการการเมืองน้ำเน่ากับพรรคร่วมรัฐบาลได้ เมื่อนั้นถึงเวลาแล้วที่พันธมิตรฯ ต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา เพื่อสร้างการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้นให้จงได้” นายพิภพ กล่าว
“สมศักดิ์”แย้มพรรค“เทียนแห่งธรรม”
เวลา 21.45 น.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข กล่าวว่า การรวมตัวของพันธมิตรฯ โดยเฉพาะชาวอีสานในการจัดงานคอนเสิร์ตการเมืองครั้งนี้ คือ สัญลักษณ์อนาคตของประเทศชาติและเป็นสัญญาณการเกิดการเมืองภาคพลเมืองขึ้นได้อย่างแน่นอนภายในสิ้นปี 2552 นี้
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า การเมืองใหม่ผู้นำประเทศจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการเสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ จัดการคนที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เราเห็นว่าระบอบทักษิณ ทำลายประเทศชาติ สร้างหนี้สินให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะชาวอีสานซึ่งเป็นภาคที่ยากจนที่สุดกลับมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นในการบริหารประเทศของระบอบทักษิณ เหตุผลเพราะเป็นการเมืองที่สกปรก การเมืองแบบทุนนิยมไม่เคยทำให้คนรวยขึ้นแต่กลับทำให้คนจนลงเรื่อย ๆ
การที่คนอีสานยากจน ลำบากไม่ใช่เป็นเพราะกรรมที่ทำมาจากชาติก่อน แต่เพราะการเมือง ทำให้คนดีขึ้นหรือเลวลง การเมืองจะต้องจัดแจงทรัพยากรของประเทศชาติให้ประชาชนอย่างยุติธรรม ไม่ใช่ไปแบ่งให้นักการเมืองและพรรคพวกของตัวเอง ทำให้นักการเมืองรวยขึ้น ๆ มิหน่ำซ้ำรวยแล้วยังโกงอีก นี่คือการเมืองของระบอบทักษิณ
ฉะนั้นพี่น้องประชาชนอย่างเราจึงต้องต่อสู้ ถ้าไม่มีพันธมิตรฯ ลุกขึ้นสู้ ทักษิณอยู่ในอำนาจต่อไปบ้านเมืองไม่เหลืออะไรเลย เพราะมันขายชาติบ้านเมืองไปจนหมดไม่เหลือไว้ให้ลูกให้หลาน สภาฯ ก็ทำอะไรไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลขณะนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ประชาชนกลุ่มพันธมิตรฯ ทำได้เพราะเราเห็นความไม่ถูกต้อง นี่คือชัยชนะของประชาชน มีบางคนเคยขึ้นเวที พันธมิตรฯ ถามว่าจะชนะอย่างไร คำถามแบบนี้ถือเป็นการดูถูกชัยชนะของประชาชน
“พวกเราต่อสู้มาถึงวันนี้เราก็สูญเสีย มีพี่น้องเราเสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นน้องโบว์, สารวัตรจ๊าบ และบาดเจ็บหลายคน เราเสียใจและเจ็บปวดเพื่อพวกเขาคือเลือดเนื้อของเรา แต่ทุกวันนี้ พวกเรากลับถูกรังแกถูกตั้งข้อหา 21 แกนนำ เป็นเรื่องที่แปลกคนที่มายิงพวกเรากลับไม่ได้ตั้งข้อหา นี่คือความไม่เป็นธรรมในสังคม”
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า การเมืองใหม่ ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ใครไม่ผิดก็ว่ากันไปตามกระบวนการ ไม่ใช่ไปหาผลประโยชน์จากการต่อสู้ของประชาชน แบบนี้เป็นการเมืองเก่าที่วนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ ใครมีเงินก็ชนะการเลือกตั้งได้รับเลือกเข้ามาและบอกว่าเป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
สำหรับพรรคการเมืองโดยทฤษฎี เกิดขึ้นได้ 2 ทาง คือ การเมืองในสภาฯ เรียกว่าธุรกรรมทางการเมือง ทุนนิยมสามานย์ไม่ใช่การเมืองในอุดมการณ์ เช่นเดียวกับการเมืองของประเทศไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่มีแต่คนหน้าด้าน หน้ามืด เป็นโสเภณีทางการเมือง เลวร้าย ส่วนตัวยังนับถือผู้ที่มีอาชีพเป็นโสเภณี หรือคนขายตัว แต่โสเภณีทางการเมืองน่าเกลียดที่สุด เพราะมันขายชาติ อย่าปล่อยให้การเมืองเก่า ๆ แบบนี้อยู่ในสังคมไทย พวกเราต้องลุกขึ้นมาสู้
ส่วนการเมืองอีกทางหนึ่งคือ การเมืองที่เกิดจากกลุ่มคนหลากหลายอาชีพมารวมตัวกันเพื่อต่อสู้ จัดการประเทศให้เดินไปตามทิศทางที่ถูกต้อง ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องมาเป็นสมาชิกพรรค เพราะพี่น้องประชาชนก็ต้องคอยตรวจสอบนักการเมืองกลุ่มนี้ด้วย เพราะนักการเมืองหรือคนมีอำนาจเหมือนกับลิง ถ้าปีนต้นมะพร้าวไม่ดีก็ต้องเปลี่ยนลิงตัวใหม่ปีนแทน การเมืองใหม่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนเพราะมันเป็นไปตามอัตโนมัติของสังคมเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนแปลง แต่การเมืองใหม่จะต้องอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจของประชาชนเป็นสำคัญ
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคใหญ่ตั้งรัฐบาล ถ้าประชาธิปัตย์ทำอะไรไม่ได้ล้มเหลว บริหารประเทศชาติไม่ได้ และประกาศยุบสภาหรือมีเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนจะเลือกใคร แต่หากมีพรรคการเมือง “เทียนแห่งธรรม” ของพันธมิตรฯเกิดขึ้น ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีให้แก่ประชาชนได้ วันนี้ ผู้นำของประชาธิปัตย์ขาดความกล้าหาญในการตัดสินใจแก้ปัญหาให้ประเทศชาติบ้านเมืองไม่ได้ ไปที่ไหนกลุ่มคนเสื้อแดงยังตามไปไล่ขว้างปาขวดน้ำใส่
“พวกเราเกิดมาอย่าเสียชาติเกิด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ จงตั้งหน้าตั้งตาสามัคคีกันวันนี้ดีใจที่ชาวอีสานได้ประกาศเอกราชที่โคราชในงานเวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งนี้” นายสมศักดิ์ กล่าว
“สมเกียรติ”ชี้มาร์คผู้ชี้ขาดสังคมไทย
เวลาประมาณ 22.30 น. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของประเทศไทย ที่จะชี้ขาดสังคมไทยว่าจะเดินไปทางไหน ระหว่างสังคมการเมืองน้ำเน่าแบบเดิม หรือก้าวไปสู่การเมืองใหม่ตามเจตนารมณ์ที่พันธมิตรฯได้ร่วมกันต่อสู้
นายสมเกียรติ กล่าวย้ำว่า การต่อสู้ของพันธมิตรฯ จะไม่ยอมให้นักการเมืองไม่ดีไปใช้วิธีสกปรกเข้าสู่วงจรการเมืองได้อีกแล้ว “เราไม่มีเวลาให้นักการเมืองเล่นละครน้ำเน่าอีกแล้ว เราจะไม่แก่เฒ่าโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอีกแล้ว”
ขณะเดียวกัน นายสมเกียรติ กล่าวถึงการจัดเวทีคอนเสิร์ตการเมืองในจังหวัดต่อไปจะเริ่มขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือที่ จ.เชียงราย ต่อไปที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำปาง รวมถึงพื้นที่ภาคอีสานที่พี่น้องพันธมิตรฯ ยังไม่ได้เข้าไปจัดเวที คือ จ.อุบลราชธานี ส่วนภาคกลางจะไปจัดคอนเสิร์ตการเมืองที่ จ.นครปฐม, จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นดินแดนของประเทศไทย