ศูนย์ข่าวภูเก็ต –นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานบริหาร เครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ขึ้นเวทีโชว์ลูกคอให้พี่น้องพันธมิตรฯรับฟังบนเกาะสมุย เปิดใจพ่อในสายตาลูกเป็นคนไม่ดุ แต่เข้มงวด พร้อมยืนยันอยู่เคียงข้างเพื่อร่วมต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ด้าน นายสนธิ ลิ้มทองกุล เผยสอนให้ลูกเป็นคนดี และด้วยมีเลือดเป็นคนใต้ จึงมีความเป็นนักสู้ที่พร้อมยืนเคียงข้างตนในการต่อสู้เพื่อประเทศชาติ
เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ที่เวทีคอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 4 (เกาะสมุย) พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมกันต้อนรับนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานบริหาร เครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ซึ่งได้ร่วมขึ้นเวทีร้องเพลง นับเป็นภาพที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็น เนื่องจากที่ผ่านมามักจะทำงานการเมืองภาคประชาชนที่อยู่เบื้องหลังเสียมากกว่า
ทั้งนี้ นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ พิธีการเอเอสทีวี และนายพชร สมุทรวณิช นักเขียนและคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้ร่วมเสวนากับนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายคนเดียวของนายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถึงผู้เป็นพ่อในสายตาของลูกที่ใกล้ชิดมาหลายสิบปี
นายจิตตนาถ กล่าวยืนยันว่า พ่อเป็นคนที่ไม่ค่อยดุ แต่จะสื่อสารทางสายตาและน้ำเสียงเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามในชีวิตเคยโดนพ่อตีประมาณ 10 ขวบ ในช่วงวัยรุ่นพ่ออนุญาตให้ไปเรียนเมืองนอกตามคำขอ แต่เป็นเมืองเกษตรกรรมขนาดเล็ก มีประชากรทั้งเมืองราว 50,000 คน ตั้งอยู่ในประเทศออสเตรเลีย ต่างจากเมืองนอกในจินตนาการที่ต้องมีความทันสมัยอย่างสิ้นเชิง เพื่อให้ช่วยเหลือตัวเอง ห่างจากสิ่งยั่วยุต่างๆ และตั้งใจเรียนมากกว่าสนใจสิ่งอื่นใดแต่ก็สามารถเรียนที่นั่นได้ 2 ปี ก่อนจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยในเมืองที่ใหญ่ขึ้น
หลังจากที่เรียนจบมานายจิตตนาถตั้งใจจะหางานข้างนอก แต่เพราะเป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ จึงจำเป็นมาเป็นผู้สื่อข่าว หรือเป็นลูกจ้างของพ่อนั่นเอง เริ่มต้นด้วยเงินเดือนประมาณ 7,000 บาทเท่ากับพนักงานคนอื่นๆ พ่ออยากให้เรียนรู้ในระดับล่างๆ ไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นๆ แต่หากเขียนข่าวผิดจะถูกปรับคำละ 100 บาท ซึ่งพนักงานปกติจะไม่โดน
สำหรับการเป็นลูกชายแกนนำพันธมิตรฯ นายจิตตนาถกล่าวว่า ในตอนแรกพ่อเชียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่หลังๆ พบเรื่องไม่ชอบมาพากล สามารถรับรู้ได้ทันทีถึงความอึดอัด จนถึงวันหนึ่งที่ประกาศตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง
“ตอนนั้นไม่ได้ห่วงที่ประกาศเช่นนี้ไป แค่ถ้าไม่ลุยนี่สิ รู้สึกว่าเสียชาติเกิดมาก มันต้องอย่างนี้ ผมก็เห็นด้วย” นายจิตตนาถกล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2548-2549 ตนยังไม่ได้ขึ้นเวที แต่พอปี 2551 การต่อสู้มีความตึงเครียดและเห็นพี่น้องถูกทำร้ายจึงได้ขึ้นเวทีเป็นครั้งแรก เพื่อพูดถึงความอัดอั้นและให้กำลังใจพี่น้องพันธมิตรฯ และที่ยืนหยัดอยู่จนถึงวันนี้ได้เพราะเชื่อในศรัทธาในสิ่งที่เราทำอยู่ว่าถูกต้อง วันหนึ่งเราก็ต้องชนะ
“คิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้เรายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการโดยตรง แต่ทำให้สังคมตื่นตัวและมีเครือข่ายประชาชนที่รักชาติ และอยากขอบคุณทุกคนที่เสียสละที่ทำเพื่อประเทศชาติปัจจุบันนี้ ผมได้มาช่วยงานใน ASTV และวางแผนว่าจะช่วยเป็นสื่อกลางให้แก่พี่น้องได้รู้จักซื้อ รู้จักใช้มากขึ้น โดยเริ่มสร้างเป็นเครือข่ายและจะขยายต่อไปในอนาคต
” นายจิตตนาถกล่าว
ในห้วงเวลาที่กำลังพูดคุยอยู่นั้นเอง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เดินขึ้นมาบนเวที และกล่าวถึงลูกคนนี้ว่า นายจิตตนาถนั้นมีเลือดคนใต้อยู่ด้วย เพราะแม่เป็นคนตรัง ตนนั้นเลี้ยงลูกเหมือนทุกๆ คน ที่อยากให้ลูกได้ดี ซึ่งเขาเติบโตมาเหมือนกับพี่น้องพันธมิตรฯคนใต้นี่เอง โดยวันที่ตนประกาศตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง หากวันหนึ่งตนเสียชีวิต หรือไม่เหลือสมบัติอะไรไว้ให้เลย เขาก็บอกว่ารับได้เพราะเชื่อมั่นว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
“ส่วนตัวแล้วผมจะดุเขาแรงมาก แต่เราสองคนพ่อลูกได้ตัดสินใจสู้เพื่อชาติโดยไม่คิดถึงอะไร ทั้งที่เขายังมีอนาคตแต่ก็ยังยอมรับที่จะเดินมาต่อสู้โดยไม่คิดว่าจะสูญเสียอะไรบ้าง เหมือนพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ นี่แหละเลือดคนใต้ครึ่งหนึ่ง และเลือดลูกเจ๊กอีกครึ่งหนึ่ง” นายสนธิกล่าว