เป็นระยะเวลา 2 ปีแล้ว ที่คดีการลอบสังหาร"สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือASTVผู้จัดการ ที่ไม่มีอะไรคืบหน้า คดีเงียบเป็นเป่าสาก แม้ผู้มีอำนาจหลายคนในขณะนั้น จะเกษียณอายุราชการไปกันบ้างแล้ว รวมทั้งผู้ควบคุมทิศทางแห่งคดี พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตรองผบ.ตร. ที่ปัจจุบัน ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงก็ตาม
เราคงต้องลองย้อนกลับไปดู"วาทกรรม" ของผู้มีอำนาจในขณะนั้น กับคดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุลกันดู ว่ามีใครพูดอะไร ให้ความหวังอะไรไว้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุการณ์ในวันแรก นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายนายสนธิ ออกมาระบุว่า มีเพียงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่โทรศัพท์เข้าไปแสดงความห่วงใยเท่านั้น
17 เม.ย.2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์แสดงความห่วงใยในช่วงสายหลังเกิดเหตุ และในตอนเที่ยง ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า "เจ้าหน้าที่ได้รายงานเบื้องต้นว่า เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ซึ่งได้รับการประสานงานมาตั้งแต่ช่วงเช้า ( 17 เม.ย.) ว่าขอให้ดูแลความเรียบร้อยในส่วนของโรงพยาบาล จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปดูแล หากผู้ใดเห็นว่าตัวเองอยู่ในภาวะที่อาจได้รับอันตรายขอให้แจ้งเบาะแสมา รัฐบาลจะพยายามดูแลไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน เพราะไม่ต้องการให้เกิดเหตุลักษณะนี้กับใครทั้งสิ้น และไม่ต้องการให้เหตุการณ์ลักษณะนี้ถูกนำไปขยายเป็นความขัดแย้งเพิ่มเติม อีก.... รัฐบาลจะดูแลเรื่องการสืบสวนสอบสวนและการดำเนินคดีต่างๆอย่างดีที่สุด จึงอยากให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ"
19 เม.ย.2552 อีก 2 วันต่อมา นายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ว่า"....โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งทำให้หลายฝ่ายมีความห่วงใย และมีความรู้สึกขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งขึ้นมาใหม่อีก อย่างไรก็ตาม ผมขอให้ความมั่นใจว่าคดีนี้ จะได้รับการสะสางอย่างตรงไปตรงมา อย่างรวดเร็วที่สุด...... รัฐบาลพร้อมจะเร่งหาตัวคนผิดมาลงโทษให้เร็วที่สุด"
4 พ.ค.2552 นายอภิสิทธิ์ ตอบคำถามสื่อถึงเรื่องคดีว่า "....ได้คุยกับตำรวจและได้ถามว่ามีความหนักใจหรือไม่ถ้าพบว่าใครที่มีอำนาจ หรือมีอิทธิพล ซึ่งทางตำรวจยืนยันว่าไม่หนักใจ เพราะทุกอย่างต้องตรงไปตรงมา และผมขอให้เดินหน้าต่อไป ทั้งนี้ ตำรวจรายงานความคืบหน้าการหาตัวผู้กระทำผิดแก่ผมอยู่ แต่เขาก็ต้องให้มั่นใจ เพราะถ้าจับกุมแล้วต้องไม่ผิดคน"
23 มิ.ย.2552 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้ให้แนวทางการทำงานไปว่าให้เดินหน้าในการดำเนินคดีต่อไป และได้สอบถามกับ พล.ต.อ.ธานี ด้วยว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ซึ่งทาง พล.ต.อ.ธานี บอกว่าไม่มีปัญหาอะไร และครั้งล่าสุดที่ได้พูดคุยกัน ทาง พล.ต.อ.ธานี บอกว่ามีอุปสรรคในการทำงาน ผมก็ถามว่าเมื่อมีอุปสรรคอย่างนี้ จะทำงานต่อไปได้หรือไม่ ซึ่ง พล.ต.อ.ธานี ก็บอกว่าทำได้ เมื่อเป็นอย่างนี้รัฐบาลก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
15 ก.ค.2552 นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์หลัง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เข้าพบ หลังมีการออกหมายจับทหารและตำรวจที่ร่วมก่อคดีนี้ว่า "ได้รับรายงานแล้ว.... ไม่มีมวยล้ม....อย่างที่ทราบมีการออกหมายจับและเขาได้สอบถามไปว่า มีปัญหาอุปสรรคอะไรหรือไม่ที่จะทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ท่าน พล.ต.อ.ธานี ก็ยืนยันกับเขาว่า ขณะนี้มั่นใจในการทำงานของคณะทำงานเรื่องนี้ มีข้อมูลอยู่พอสมควร และเดินหน้าต่อ ไม่คิดว่ามีปัญหา
16 ก.ค.2552 นายอภิสิทธิ์ ยืนยันถึงการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องอีกครั้งว่า คดีก็มีความคืบหน้าไปมาก และจะพยายามจับผู้บงการให้ได้ รวมถึงจะระมัดระวังไม่ให้มีการตัดตอนคดี ส่วนการพูดคุยกับ พล.ต.อ.ธานี ยืนยันว่าคดีไม่มีปัญหา แต่อาจมีอุปสรรคบ้าง เพราะต้องหาหลักฐาน พยานที่แน่นหนา ซึ่งหากพบว่ามีการขัดขวางการดำเนินคดี ผมเองก็จะทำทุกวิถีทางให้คดีเดินหน้าได้
29 ก.ค.2552 นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกครั้งว่า “ผมไม่รู้สึกหนักใจ เพราะไว้วางใจฝีมือ พล.ต.อ.ธานี ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้มาตั้งแต่แรก โดย พล.ต.อ.ธานี ได้มีการรายงานความคืบหน้าโดยตลอด และให้คำยืนยันว่าหากพบปัญหาหรือการสืบสวนสอบสวนสะดุดขอให้บอกมา ซึ่งคนที่ทำผิดไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องรับผลกรรม เพราะเมืองไทยมีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้กฏหมายมานานแล้ว พล.ต.อ.ธานี ยังยืนยันว่าสามารถทำงานต่อไปได้ แต่ต้องรัดกุมกว่านี้ เพราะคนร้ายไหวตัวจึงทำให้การจับกุมค่อนข้างลำบาก ส่วนการเชื่อมโยงพอจะทราบแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังแต่จะเปิดเผยต่อสาธารณชน ไม่เหมาะสม เพราะกลายเป็นเครื่องชี้นำ และต้องรอพยานหลักฐาน แต่เชื่อว่าคดีนี้ไม่เป็นมวยล้มอย่างแน่นอน เพราะหลักการทำคดีของ พล.ต.อ.ธานี ไม่เป็นลักษณะเหวี่ยงแห หมายจับไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียว และมั่นใจว่าพยานหลักฐานก่อนออกหมายจับ และจะดิ้นไม่หลุดในชั้นอัยการและศาล”
9 ส.ค.2552 นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" โดยตอบคำถามของผู้ดำเนินรายการถึงความคืบหน้าในคดีนายสนธิว่า สำหรับคดีลอบยิงนายสนธิ ที่มีความพยามยามโยงให้เป็นเรื่องคดีการเมือง มีความเห็นจากหลายฝ่ายก็ได้กำชับให้ทีมพนักงานสอบสวนเคร่งครัดให้ยึดกฏหมาย เป็นหลัก และให้ดำเนินคดีอย่างตรงให้ตรงไปตรงมา
12 ส.ค.2552 นายอภิสิทธิ์ ย้ำอีกว่า พอใจการทำงานคดีนายสนธิ ของ พล.ต.อ.ธานี และเห็นว่า น่าจะขยายผลและสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้
8 ก.ย.2552 นายอภิสิทธิ์ คนเดิม พูดถึงความคืบหน้าของคดีลอบยิงนายสนธิ อีกครั้งว่า ได้พบกับ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวน......ท่านบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร ยังเดินต่ออยู่ และเมื่อถามว่า จะเสร็จก่อนเกษียณหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า พล.ต.อ.ธานี บอกว่า ไม่มีอุปสรรคอะไร ตอนนี้ทำเต็มที่ ต้องไปสอบถามท่าน
นั่นคือ"วาทกรรม"ที่สำคัญๆของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในคดีลอบสังหารสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเมื่อดูตามคำสัมภาษณ์แล้ว ทุกคนล้วนมั่นใจว่า คดีจะต้องถูกปิดลงอย่างสวยงาม ผู้บงการอยู่เบื้องหลังจะต้องถูกนำตัวขึ้นสู่ขบวนการยุติธรรม แต่บัดนี้ เวลาลาวงเลยมาถึง 2 ปีแล้ว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เคยเอื้อนเอ่ยถึงคดีนี้อีกเลย
ในขณะเดียวกัน ทางฟากฝั่งตำรวจ ผู้ทำคดี ก็ล้วนสร้างวาทกรรมในคดีนี้ไว้ไม่น้อยหน้านักการเมือง ที่ได้ชื่อว่า ไม่สามารถเชื่อถือน้ำคำอะไรได้เช่นเดียวกัน
18 เม.ย. 2552 พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร.ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาดูแลเรื่องคดี และเย็นวันเดียวกัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. สั่งเปลี่ยนตัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนจาก พล.ต.อ.จงรัก เป็นพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร.
20 เม.ย. 2552 พล.ต.อ.ธานี เรียกประชุมชุดคลี่คลายคดี ระบุว่า คดีมีความคืบหน้า และตำรวจนำแฟนพันธุ์แท้รถยนต์มือสอง เข้าตรวจสอบภาพจากกล้อง รวมทั้งตรวจสอบกล้องทั้งหมดกว่า 200 กล้องตามแยกต่างๆ ค่ำวันเดียวกัน ผบ.ตร.แถลงผ่านโทรทัศน์ว่า "เป็นคดีที่เพิ่งเกิดขึ้น และอยู่ในขั้นสอบสวนสืบสวน แต่ยืนยันว่า สตช.ตั้งใจจะทำให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว"
23 เม.ย.2552 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ยอมรับว่า กระสุนที่ใช้ยิงนายสนธิ เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 เบื้องต้นพบว่าเป็นของหน่วย ร.9 พัน 1, ร.9 พัน 3 และ ร.29 พัน 2 ซึ่งอาจเล็ดลอดออกไประหว่างการฝึกซ้อม
25 เม.ย. 2552 พล.ต.อ.ธานี ประชุมชุดคลี่คลายคดีชุดใหญ่ พร้อมระบุว่า พยานหลักฐานที่รวบรวมได้ก็มีความชัดเจนมากขึ้น มั่นใจว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่สามารถนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้แน่นอน
27 เม.ย. 2552 พล.ต.อ.ธานี ระบุว่า จะไม่พูดถึงเรื่องคดีของนายสนธิ อีก หากไม่มีความชัดเจนเกิดขึ้น
6 พ.ค.2552 พล.ต.อ.ธานี ยืนยันว่า คดีนี้ จะต้องเสร็จก่อนที่ตัวเองจะเกษียณ 30 ก.ย.2552
12 พ.ค. 2552 พล.ต.อ.ธานี ประชุมชุดคลี่คลายคดีชุดใหญ่อีกครั้ง พร้อมทั้งย้ำว่า คดีนี้"ไม่มีตัน"
27 พ.ค.2552 พล.ต.อ.ธานี ยืนยันอีกครั้งว่า จะไม่มีการจับแพะ ส่วนจะจับใครวันไหน ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน
11 มิ.ย.2552 พล.ต.อ.ธานี เข้ารายงานความคืบหน้าคดีกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมยืนยัน คดีไม่ได้ถูกตัดตอน และยังไม่พบมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
22 มิ.ย.2552 พล.ต.อ.ธานี ยอมรับเป็นครั้งแรกว่า การคลี่คลายคดี "ตำรวจเจอตอ" จนขวัญกำลังใจชุดทำงานกระเจิง เพราะถูกข่มขู่
23 มิ.ย.2552 พล.ต.อ.ธานี ระบุ แม้เจอตอ ถูกข่มขู่ ก็ไม่ทำให้คดีล่าช้า แต่ปฏิเสธที่จะตอบว่า คนระดับใด ที่กล้าข่มขู่ตำรวจได้
สุดท้าย ทั้งพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผบ.ทบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. และพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตรองผบ.ตร. ต่างเปิดหมวกอำลาชีวิตราชการกันไปหมดแล้ว ในขณะที่การสืบสวนสอบสวนในคดีลอบสังหารสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ได้ถูกรูดม่านปิดฉากลงเช่นเดียวกัน โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ผู้มีอำนาจ ทั้งรัฐบาลและตำรวจ ได้ใช้งบประมาณ และบุคลากรในการคลี่คลายคดีนี้เป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่ได้กลับมา มีเพียงแค่ กระดาษปิดประกาศหมายจับผู้ต้องหาเพียง 3 แผ่นเท่านั้น อย่างนี้ ถ้าไม่ให้เรียกว่า "วาทกรรมดีแต่พูด" แล้วจะให้เรียกอะไร?
เราคงต้องลองย้อนกลับไปดู"วาทกรรม" ของผู้มีอำนาจในขณะนั้น กับคดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุลกันดู ว่ามีใครพูดอะไร ให้ความหวังอะไรไว้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุการณ์ในวันแรก นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายนายสนธิ ออกมาระบุว่า มีเพียงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่โทรศัพท์เข้าไปแสดงความห่วงใยเท่านั้น
17 เม.ย.2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์แสดงความห่วงใยในช่วงสายหลังเกิดเหตุ และในตอนเที่ยง ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า "เจ้าหน้าที่ได้รายงานเบื้องต้นว่า เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ซึ่งได้รับการประสานงานมาตั้งแต่ช่วงเช้า ( 17 เม.ย.) ว่าขอให้ดูแลความเรียบร้อยในส่วนของโรงพยาบาล จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปดูแล หากผู้ใดเห็นว่าตัวเองอยู่ในภาวะที่อาจได้รับอันตรายขอให้แจ้งเบาะแสมา รัฐบาลจะพยายามดูแลไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน เพราะไม่ต้องการให้เกิดเหตุลักษณะนี้กับใครทั้งสิ้น และไม่ต้องการให้เหตุการณ์ลักษณะนี้ถูกนำไปขยายเป็นความขัดแย้งเพิ่มเติม อีก.... รัฐบาลจะดูแลเรื่องการสืบสวนสอบสวนและการดำเนินคดีต่างๆอย่างดีที่สุด จึงอยากให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ"
19 เม.ย.2552 อีก 2 วันต่อมา นายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ว่า"....โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งทำให้หลายฝ่ายมีความห่วงใย และมีความรู้สึกขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งขึ้นมาใหม่อีก อย่างไรก็ตาม ผมขอให้ความมั่นใจว่าคดีนี้ จะได้รับการสะสางอย่างตรงไปตรงมา อย่างรวดเร็วที่สุด...... รัฐบาลพร้อมจะเร่งหาตัวคนผิดมาลงโทษให้เร็วที่สุด"
4 พ.ค.2552 นายอภิสิทธิ์ ตอบคำถามสื่อถึงเรื่องคดีว่า "....ได้คุยกับตำรวจและได้ถามว่ามีความหนักใจหรือไม่ถ้าพบว่าใครที่มีอำนาจ หรือมีอิทธิพล ซึ่งทางตำรวจยืนยันว่าไม่หนักใจ เพราะทุกอย่างต้องตรงไปตรงมา และผมขอให้เดินหน้าต่อไป ทั้งนี้ ตำรวจรายงานความคืบหน้าการหาตัวผู้กระทำผิดแก่ผมอยู่ แต่เขาก็ต้องให้มั่นใจ เพราะถ้าจับกุมแล้วต้องไม่ผิดคน"
23 มิ.ย.2552 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้ให้แนวทางการทำงานไปว่าให้เดินหน้าในการดำเนินคดีต่อไป และได้สอบถามกับ พล.ต.อ.ธานี ด้วยว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ซึ่งทาง พล.ต.อ.ธานี บอกว่าไม่มีปัญหาอะไร และครั้งล่าสุดที่ได้พูดคุยกัน ทาง พล.ต.อ.ธานี บอกว่ามีอุปสรรคในการทำงาน ผมก็ถามว่าเมื่อมีอุปสรรคอย่างนี้ จะทำงานต่อไปได้หรือไม่ ซึ่ง พล.ต.อ.ธานี ก็บอกว่าทำได้ เมื่อเป็นอย่างนี้รัฐบาลก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
15 ก.ค.2552 นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์หลัง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เข้าพบ หลังมีการออกหมายจับทหารและตำรวจที่ร่วมก่อคดีนี้ว่า "ได้รับรายงานแล้ว.... ไม่มีมวยล้ม....อย่างที่ทราบมีการออกหมายจับและเขาได้สอบถามไปว่า มีปัญหาอุปสรรคอะไรหรือไม่ที่จะทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ท่าน พล.ต.อ.ธานี ก็ยืนยันกับเขาว่า ขณะนี้มั่นใจในการทำงานของคณะทำงานเรื่องนี้ มีข้อมูลอยู่พอสมควร และเดินหน้าต่อ ไม่คิดว่ามีปัญหา
16 ก.ค.2552 นายอภิสิทธิ์ ยืนยันถึงการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องอีกครั้งว่า คดีก็มีความคืบหน้าไปมาก และจะพยายามจับผู้บงการให้ได้ รวมถึงจะระมัดระวังไม่ให้มีการตัดตอนคดี ส่วนการพูดคุยกับ พล.ต.อ.ธานี ยืนยันว่าคดีไม่มีปัญหา แต่อาจมีอุปสรรคบ้าง เพราะต้องหาหลักฐาน พยานที่แน่นหนา ซึ่งหากพบว่ามีการขัดขวางการดำเนินคดี ผมเองก็จะทำทุกวิถีทางให้คดีเดินหน้าได้
29 ก.ค.2552 นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกครั้งว่า “ผมไม่รู้สึกหนักใจ เพราะไว้วางใจฝีมือ พล.ต.อ.ธานี ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้มาตั้งแต่แรก โดย พล.ต.อ.ธานี ได้มีการรายงานความคืบหน้าโดยตลอด และให้คำยืนยันว่าหากพบปัญหาหรือการสืบสวนสอบสวนสะดุดขอให้บอกมา ซึ่งคนที่ทำผิดไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องรับผลกรรม เพราะเมืองไทยมีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้กฏหมายมานานแล้ว พล.ต.อ.ธานี ยังยืนยันว่าสามารถทำงานต่อไปได้ แต่ต้องรัดกุมกว่านี้ เพราะคนร้ายไหวตัวจึงทำให้การจับกุมค่อนข้างลำบาก ส่วนการเชื่อมโยงพอจะทราบแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังแต่จะเปิดเผยต่อสาธารณชน ไม่เหมาะสม เพราะกลายเป็นเครื่องชี้นำ และต้องรอพยานหลักฐาน แต่เชื่อว่าคดีนี้ไม่เป็นมวยล้มอย่างแน่นอน เพราะหลักการทำคดีของ พล.ต.อ.ธานี ไม่เป็นลักษณะเหวี่ยงแห หมายจับไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียว และมั่นใจว่าพยานหลักฐานก่อนออกหมายจับ และจะดิ้นไม่หลุดในชั้นอัยการและศาล”
9 ส.ค.2552 นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" โดยตอบคำถามของผู้ดำเนินรายการถึงความคืบหน้าในคดีนายสนธิว่า สำหรับคดีลอบยิงนายสนธิ ที่มีความพยามยามโยงให้เป็นเรื่องคดีการเมือง มีความเห็นจากหลายฝ่ายก็ได้กำชับให้ทีมพนักงานสอบสวนเคร่งครัดให้ยึดกฏหมาย เป็นหลัก และให้ดำเนินคดีอย่างตรงให้ตรงไปตรงมา
12 ส.ค.2552 นายอภิสิทธิ์ ย้ำอีกว่า พอใจการทำงานคดีนายสนธิ ของ พล.ต.อ.ธานี และเห็นว่า น่าจะขยายผลและสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้
8 ก.ย.2552 นายอภิสิทธิ์ คนเดิม พูดถึงความคืบหน้าของคดีลอบยิงนายสนธิ อีกครั้งว่า ได้พบกับ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวน......ท่านบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร ยังเดินต่ออยู่ และเมื่อถามว่า จะเสร็จก่อนเกษียณหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า พล.ต.อ.ธานี บอกว่า ไม่มีอุปสรรคอะไร ตอนนี้ทำเต็มที่ ต้องไปสอบถามท่าน
นั่นคือ"วาทกรรม"ที่สำคัญๆของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในคดีลอบสังหารสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเมื่อดูตามคำสัมภาษณ์แล้ว ทุกคนล้วนมั่นใจว่า คดีจะต้องถูกปิดลงอย่างสวยงาม ผู้บงการอยู่เบื้องหลังจะต้องถูกนำตัวขึ้นสู่ขบวนการยุติธรรม แต่บัดนี้ เวลาลาวงเลยมาถึง 2 ปีแล้ว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เคยเอื้อนเอ่ยถึงคดีนี้อีกเลย
ในขณะเดียวกัน ทางฟากฝั่งตำรวจ ผู้ทำคดี ก็ล้วนสร้างวาทกรรมในคดีนี้ไว้ไม่น้อยหน้านักการเมือง ที่ได้ชื่อว่า ไม่สามารถเชื่อถือน้ำคำอะไรได้เช่นเดียวกัน
18 เม.ย. 2552 พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร.ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาดูแลเรื่องคดี และเย็นวันเดียวกัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. สั่งเปลี่ยนตัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนจาก พล.ต.อ.จงรัก เป็นพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร.
20 เม.ย. 2552 พล.ต.อ.ธานี เรียกประชุมชุดคลี่คลายคดี ระบุว่า คดีมีความคืบหน้า และตำรวจนำแฟนพันธุ์แท้รถยนต์มือสอง เข้าตรวจสอบภาพจากกล้อง รวมทั้งตรวจสอบกล้องทั้งหมดกว่า 200 กล้องตามแยกต่างๆ ค่ำวันเดียวกัน ผบ.ตร.แถลงผ่านโทรทัศน์ว่า "เป็นคดีที่เพิ่งเกิดขึ้น และอยู่ในขั้นสอบสวนสืบสวน แต่ยืนยันว่า สตช.ตั้งใจจะทำให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว"
23 เม.ย.2552 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ยอมรับว่า กระสุนที่ใช้ยิงนายสนธิ เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 เบื้องต้นพบว่าเป็นของหน่วย ร.9 พัน 1, ร.9 พัน 3 และ ร.29 พัน 2 ซึ่งอาจเล็ดลอดออกไประหว่างการฝึกซ้อม
25 เม.ย. 2552 พล.ต.อ.ธานี ประชุมชุดคลี่คลายคดีชุดใหญ่ พร้อมระบุว่า พยานหลักฐานที่รวบรวมได้ก็มีความชัดเจนมากขึ้น มั่นใจว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่สามารถนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้แน่นอน
27 เม.ย. 2552 พล.ต.อ.ธานี ระบุว่า จะไม่พูดถึงเรื่องคดีของนายสนธิ อีก หากไม่มีความชัดเจนเกิดขึ้น
6 พ.ค.2552 พล.ต.อ.ธานี ยืนยันว่า คดีนี้ จะต้องเสร็จก่อนที่ตัวเองจะเกษียณ 30 ก.ย.2552
12 พ.ค. 2552 พล.ต.อ.ธานี ประชุมชุดคลี่คลายคดีชุดใหญ่อีกครั้ง พร้อมทั้งย้ำว่า คดีนี้"ไม่มีตัน"
27 พ.ค.2552 พล.ต.อ.ธานี ยืนยันอีกครั้งว่า จะไม่มีการจับแพะ ส่วนจะจับใครวันไหน ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน
11 มิ.ย.2552 พล.ต.อ.ธานี เข้ารายงานความคืบหน้าคดีกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมยืนยัน คดีไม่ได้ถูกตัดตอน และยังไม่พบมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
22 มิ.ย.2552 พล.ต.อ.ธานี ยอมรับเป็นครั้งแรกว่า การคลี่คลายคดี "ตำรวจเจอตอ" จนขวัญกำลังใจชุดทำงานกระเจิง เพราะถูกข่มขู่
23 มิ.ย.2552 พล.ต.อ.ธานี ระบุ แม้เจอตอ ถูกข่มขู่ ก็ไม่ทำให้คดีล่าช้า แต่ปฏิเสธที่จะตอบว่า คนระดับใด ที่กล้าข่มขู่ตำรวจได้
สุดท้าย ทั้งพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผบ.ทบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. และพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตรองผบ.ตร. ต่างเปิดหมวกอำลาชีวิตราชการกันไปหมดแล้ว ในขณะที่การสืบสวนสอบสวนในคดีลอบสังหารสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ได้ถูกรูดม่านปิดฉากลงเช่นเดียวกัน โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ผู้มีอำนาจ ทั้งรัฐบาลและตำรวจ ได้ใช้งบประมาณ และบุคลากรในการคลี่คลายคดีนี้เป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่ได้กลับมา มีเพียงแค่ กระดาษปิดประกาศหมายจับผู้ต้องหาเพียง 3 แผ่นเท่านั้น อย่างนี้ ถ้าไม่ให้เรียกว่า "วาทกรรมดีแต่พูด" แล้วจะให้เรียกอะไร?