ASTVผู้จัดการรายวัน –“บอร์ด”ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับพอร์ตลงทุนปี52 เพิ่มสัดส่วนลงทุนหุ้น และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ด้วยกลยุทธ์ทยอยเข้าเก็บของถูก หวังรับผลตอบแทนที่ 6% ภายใต้เงื่อนไขดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 500 จุด จากปี 51ขาดทุน7% ส่งผลให้เงินลงทุนหดเหลือ 9 พันล้านบาท จาก1.1หมื่นล้านบาท ด้าน“ภัทรียา” เชื่อก.ล.ต.ปรับP/E ใหม่ทำให้บริษัทจดทะเบียนติดเทิร์นโอเวอร์ลิสง่ายขึ้น ขณะที่“ เก่งกล้า” เตรียมดันบจ.ให้ได้คะนแนCGมากขึ้น และเตรียมคลอดเอ็มเอไอ แมทชิ่งฟันด์1กองทุนในปีนี้
นางนารี บุญธีรวร ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งเป้าผลตอบแทนการลงทุนปี 2552 อยู่ที่ 6% จากเงินลงทุนรวม 9,000 ล้านบาท ภายใต้สมมุติฐานดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 500 จุด โดยการลงทุนปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยากจากภาวะตลาดหุ้นไม่ดี มีความผันผวนในทิศทางที่ปรับตัวลดลง ซึ่งจะต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด และจะมีการทบทวนสัดส่วนการลงทุนทุก 3 เดือน โดยสามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ 20%ในทุกสัดส่วนการลงทุน
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯเชื่อว่า การลงทุนในหุ้นยังมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วง 3-5 ปี ซึ่งจากการประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้อนุมัติให้มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ 50% ซึ่งลดลงจากปี2551ที่มีสัดส่วน 61% และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพิ่มเป็น 42% จากเดิม 40% แต่ปัจจุบันลงทุนอยู่ 33% พร้อมกับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์เป็น 5% จากปี 2551 ที่มี 4% แต่ปัจจุบันลงอยู่ที่3% และลดการลงทุนในต่างประเทศเหลือ 3% จากปีก่อนที่ 6%
“ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากในการลงทุน ซึ่งจะต้องมีการติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิดจากภาวะตลาดไม่ดี ดัชนีมีความผันผวนในช่วงขาลงและยังมีข่าวร้ายออกมาต่อเนื่องและยังไม่หมด จากวิกฤตการเงินโลกที่กระทบตลาดหุ้นไทย แต่ในข่าวร้ายนี้ก็ยังมีข่าวดี ซึ่งเรายังมองว่าจากตลาดหุ้นขาลงยังเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ถึงปีหน้า จะสามารถทำกำไรในช่วง 3-5 ปีได้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะทยอยลงทุนไปเรื่อยๆเพราะมองว่าดัชนี 400จุด นั้นมีดาวไซด์แล้ว ”นางนารี กล่าว
สำหรับผลอตอบแทนการลงทุนในปี 2551 พบว่าติดลบกว่า 7% แต่ถือว่าติดลบน้อยกว่าการลดลงของตลาดที่ติดลบ 20% ส่งผลให้มูลค่าพอร์ตการลงทุนลดลงเหลือ 9,000 ล้านบาท จาก 11,000 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุจากราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงไป แต่การลงทุนในตราสารหนี้ยังให้ผลตอบแทนถึง4-5% โดยขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเริ่มที่จะทยอยการลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น ด้วยการให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) 3 แห่งในการบริหารพอร์ตคือ บลจ.วรรณ บลจ.ทิสโก้ และบลจ.อยุธยา ดำเนินการ
นางนารี กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าในการพัฒนาที่ดินของตลาดหลักทรัพย์ฯที่รัชดาจำนวน 15 ไร่ นั้น ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะให้หน่วยงานเข้ามาเริ่มศึกษาในเดือนเมษายนนี้ ว่าจะมีการพัฒนาพื้นที่อย่างไร จะมีคอนโดมิเนียม โรงแรม อาคารให้เช่าหรือไม่ ซึ่งจะใช้เวลาในการศึกษา 6 เดือน และคาดว่าจัดทำเป็นแผนแม่บทได้ในเดือนกันยายนนี้ หลังจากนั้นจะมีความชัดเจนในการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะใช้เงินในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว 5,000 ล้านบาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมดำเนินการ
“เงินพัฒนาพื้นที่ป.กุ้งเผา 15 ไร่นั้น จะใช้เงินประมาณ 5 พันล้านบาท แต่ไม่ได้เป็นเงินของตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างเดียวแต่จะเป็นเงินของพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาด้วย ”นางนารี กล่าว
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดหวังผลอตบแทนจากการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ที่บริเวณนอร์ธพาร์ค ที่จะเปิดทำการในกลางปีนี้ ประมาณ 10% ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะให้เช่าห้องเป็นประชุม โดยคาดว่าจะมีผลตอบแทนจากการเช่าประมาณ 4-5% ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯมีหนี้สินอยู่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ของบริษัทหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ฯมีทุนอยู่รวม 14,000 ล้านบาท
***บจ.ติดเทิร์นโอเวอร์ลิสต์มากขึ้น**
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)มีการปรับการคำนวณปรับปรุงสูตรการคำนวณ P/E ratio ที่ใช้ประกอบกับ Turnover List โดยกำหนดให้กำไรสุทธิต้องไม่รวมกำไรจากเงินลงทุน เพื่อให้ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงกำไรที่ได้จากการประกอบธุรกิจปกติของบริษัทนั้น จะทำให้บริษัทมีการติด Turnover List ที่ง่ายมากขึ้น เพราะ ไม่มีการนำกำไรจากเงินลงทุนมารวม
ทั้งนี้จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยซบเซาปีนี้ แต่จากการมีตราสารทางการเงินใหม่ออกมาเพิ่มขึ้น จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในปีนี้ที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าใหม่กับนักลงทุน และเจ้าหน้าที่การตลาดให้สามารถลงทุนและแนะนำการลงทุนแก่นักลงทุนให้อย่างถูกต้องและรู้ถึงความเสี่ยงในการลงทุน และสามารถที่จะจัดพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสมโดยการนำสินค้าต่างๆเข้ามาผสมผสาน และสามารถวางแผนในการลงทุนได้อย่างดี
**คลอดแมทชิ่งฟันด์maiกลางปีนี้
นายเก่งกล้า รักเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ศูนย์พัฒนาธุรกิจตลาด กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดว่าในปีนี้คาดว่าจะสามารถตั้งกองทุนเพื่อการร่วมลงทุน (เวนเจอร์แคปปิตอล) ของบริษัท เอ็ม เอ ไอ แมทชิ่ง ฟันด์ จำกัด (mai Matching Fund Co.,Ltd.) ได้อย่างน้อย 1 กองทุน ประมาณกองละ 200 ล้านบาท โดยตลท.ร่วมลงทุน 100 ล้านบาท และบลจ.ไประดมทุนจากนักลงทุนอีก 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีสถาบันสนใจที่จะร่วมลงทุน 2-3ราย โดย ทางตลาดหลักทรัพย์ฯจะร่วมลงทุน 50% ของมูลค่ากองทุนทั้งหมด 2,000 ล้านบาท และที่ผ่านมาบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯได้อนุมัติเงินร่วมลงทุนไปแล้ว 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนที่ได้คะแนนธรรมาภิบาล(CG)ที่ 3 ดาว มีคะแนนมากขึ้น โดยปัจจุบันมีบริษัทที่ได้คะแนน 3 ดาวจำนวน 178 บริษัท ขณะที่มีต่ำกว่า 2 ดาวและ2 ดาวมีจำนวน 126 บริษัท โดยจะทำให้บริษัทดังกล่าวมีคะแนนมากขึ้น ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีเอแอสแอล ได้มีการประเมินCG ของบริษัทจดทะเบียนในเอเซียแปซิฟิก และในปี2551บจ.ไทยได้คะแนนCGที่ 63 คะแนนแต่ยังไม่ทราบอันดับต้องรอประมาณกลางปีนี้ ซึ่งในปี 2550 ไทยอยู่อันดับที่ 2 ได้คะแนนที่ 57 ขณะที่อันดับ1 คือญี่ปุ่นได้คะแนน 59 คะแนน
นางนารี บุญธีรวร ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งเป้าผลตอบแทนการลงทุนปี 2552 อยู่ที่ 6% จากเงินลงทุนรวม 9,000 ล้านบาท ภายใต้สมมุติฐานดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 500 จุด โดยการลงทุนปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยากจากภาวะตลาดหุ้นไม่ดี มีความผันผวนในทิศทางที่ปรับตัวลดลง ซึ่งจะต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด และจะมีการทบทวนสัดส่วนการลงทุนทุก 3 เดือน โดยสามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ 20%ในทุกสัดส่วนการลงทุน
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯเชื่อว่า การลงทุนในหุ้นยังมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วง 3-5 ปี ซึ่งจากการประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้อนุมัติให้มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ 50% ซึ่งลดลงจากปี2551ที่มีสัดส่วน 61% และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพิ่มเป็น 42% จากเดิม 40% แต่ปัจจุบันลงทุนอยู่ 33% พร้อมกับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์เป็น 5% จากปี 2551 ที่มี 4% แต่ปัจจุบันลงอยู่ที่3% และลดการลงทุนในต่างประเทศเหลือ 3% จากปีก่อนที่ 6%
“ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากในการลงทุน ซึ่งจะต้องมีการติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิดจากภาวะตลาดไม่ดี ดัชนีมีความผันผวนในช่วงขาลงและยังมีข่าวร้ายออกมาต่อเนื่องและยังไม่หมด จากวิกฤตการเงินโลกที่กระทบตลาดหุ้นไทย แต่ในข่าวร้ายนี้ก็ยังมีข่าวดี ซึ่งเรายังมองว่าจากตลาดหุ้นขาลงยังเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ถึงปีหน้า จะสามารถทำกำไรในช่วง 3-5 ปีได้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะทยอยลงทุนไปเรื่อยๆเพราะมองว่าดัชนี 400จุด นั้นมีดาวไซด์แล้ว ”นางนารี กล่าว
สำหรับผลอตอบแทนการลงทุนในปี 2551 พบว่าติดลบกว่า 7% แต่ถือว่าติดลบน้อยกว่าการลดลงของตลาดที่ติดลบ 20% ส่งผลให้มูลค่าพอร์ตการลงทุนลดลงเหลือ 9,000 ล้านบาท จาก 11,000 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุจากราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงไป แต่การลงทุนในตราสารหนี้ยังให้ผลตอบแทนถึง4-5% โดยขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเริ่มที่จะทยอยการลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น ด้วยการให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) 3 แห่งในการบริหารพอร์ตคือ บลจ.วรรณ บลจ.ทิสโก้ และบลจ.อยุธยา ดำเนินการ
นางนารี กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าในการพัฒนาที่ดินของตลาดหลักทรัพย์ฯที่รัชดาจำนวน 15 ไร่ นั้น ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะให้หน่วยงานเข้ามาเริ่มศึกษาในเดือนเมษายนนี้ ว่าจะมีการพัฒนาพื้นที่อย่างไร จะมีคอนโดมิเนียม โรงแรม อาคารให้เช่าหรือไม่ ซึ่งจะใช้เวลาในการศึกษา 6 เดือน และคาดว่าจัดทำเป็นแผนแม่บทได้ในเดือนกันยายนนี้ หลังจากนั้นจะมีความชัดเจนในการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะใช้เงินในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว 5,000 ล้านบาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมดำเนินการ
“เงินพัฒนาพื้นที่ป.กุ้งเผา 15 ไร่นั้น จะใช้เงินประมาณ 5 พันล้านบาท แต่ไม่ได้เป็นเงินของตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างเดียวแต่จะเป็นเงินของพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาด้วย ”นางนารี กล่าว
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดหวังผลอตบแทนจากการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ที่บริเวณนอร์ธพาร์ค ที่จะเปิดทำการในกลางปีนี้ ประมาณ 10% ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯจะให้เช่าห้องเป็นประชุม โดยคาดว่าจะมีผลตอบแทนจากการเช่าประมาณ 4-5% ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯมีหนี้สินอยู่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ของบริษัทหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ฯมีทุนอยู่รวม 14,000 ล้านบาท
***บจ.ติดเทิร์นโอเวอร์ลิสต์มากขึ้น**
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)มีการปรับการคำนวณปรับปรุงสูตรการคำนวณ P/E ratio ที่ใช้ประกอบกับ Turnover List โดยกำหนดให้กำไรสุทธิต้องไม่รวมกำไรจากเงินลงทุน เพื่อให้ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงกำไรที่ได้จากการประกอบธุรกิจปกติของบริษัทนั้น จะทำให้บริษัทมีการติด Turnover List ที่ง่ายมากขึ้น เพราะ ไม่มีการนำกำไรจากเงินลงทุนมารวม
ทั้งนี้จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยซบเซาปีนี้ แต่จากการมีตราสารทางการเงินใหม่ออกมาเพิ่มขึ้น จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในปีนี้ที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าใหม่กับนักลงทุน และเจ้าหน้าที่การตลาดให้สามารถลงทุนและแนะนำการลงทุนแก่นักลงทุนให้อย่างถูกต้องและรู้ถึงความเสี่ยงในการลงทุน และสามารถที่จะจัดพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสมโดยการนำสินค้าต่างๆเข้ามาผสมผสาน และสามารถวางแผนในการลงทุนได้อย่างดี
**คลอดแมทชิ่งฟันด์maiกลางปีนี้
นายเก่งกล้า รักเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ศูนย์พัฒนาธุรกิจตลาด กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดว่าในปีนี้คาดว่าจะสามารถตั้งกองทุนเพื่อการร่วมลงทุน (เวนเจอร์แคปปิตอล) ของบริษัท เอ็ม เอ ไอ แมทชิ่ง ฟันด์ จำกัด (mai Matching Fund Co.,Ltd.) ได้อย่างน้อย 1 กองทุน ประมาณกองละ 200 ล้านบาท โดยตลท.ร่วมลงทุน 100 ล้านบาท และบลจ.ไประดมทุนจากนักลงทุนอีก 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีสถาบันสนใจที่จะร่วมลงทุน 2-3ราย โดย ทางตลาดหลักทรัพย์ฯจะร่วมลงทุน 50% ของมูลค่ากองทุนทั้งหมด 2,000 ล้านบาท และที่ผ่านมาบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯได้อนุมัติเงินร่วมลงทุนไปแล้ว 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนที่ได้คะแนนธรรมาภิบาล(CG)ที่ 3 ดาว มีคะแนนมากขึ้น โดยปัจจุบันมีบริษัทที่ได้คะแนน 3 ดาวจำนวน 178 บริษัท ขณะที่มีต่ำกว่า 2 ดาวและ2 ดาวมีจำนวน 126 บริษัท โดยจะทำให้บริษัทดังกล่าวมีคะแนนมากขึ้น ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีเอแอสแอล ได้มีการประเมินCG ของบริษัทจดทะเบียนในเอเซียแปซิฟิก และในปี2551บจ.ไทยได้คะแนนCGที่ 63 คะแนนแต่ยังไม่ทราบอันดับต้องรอประมาณกลางปีนี้ ซึ่งในปี 2550 ไทยอยู่อันดับที่ 2 ได้คะแนนที่ 57 ขณะที่อันดับ1 คือญี่ปุ่นได้คะแนน 59 คะแนน