ศูนย์ข่าวขอนแก่น- “กมล เหล่าโสภาพันธ์”สมาชิกยามเฝ้าแผ่นดิน และสมาชิกเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชัน นักเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่คัดค้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องในพื้นที่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น หายตัวไปนานกว่าปี ณ วันนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ลูกชายคนโตวัย 26 ปี ต้องลาออกจากบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่กรุงเทพฯ เพื่อดูแลแม่และน้องชายแทนพ่อ ร้องหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องช่วยตามพ่อให้เจอแม้ไม่มีลมหายใจก็ยังดี เพื่อจะได้ทำบุญตามวิถีชาว พร้อมวอนสังคม “อย่าทอดทิ้งคนดีที่กล้าลุกขึ้นสู้กับคนโกงในสังคม”
ผ่านไปกว่า 1 ปี ที่นายกมล เหล่าโสภาพันธ์ สมาชิกยามเฝ้าแผ่นดินและสมาชิกเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชัน ซึ่งออกมาเคลื่อนไหวตรวจสอบข้อมูลที่ไม่โปร่งใสและเข้าข่ายทุจริตหลายๆ กรณี ในพื้นที่อำเภอบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น จนกระทั่งคืนวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 ได้ติดต่อญาติครั้งสุดท้ายขณะอยู่ที่ สถานีตำรวจภูธรบ้านไผ่
ขณะที่นายกมล ไปติดตามความคืบหน้าคดีที่เข้าได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าพนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ไว้ อันเกี่ยวเนื่องกับการเช่าที่ดินการรถไฟก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ที่นายกมลเห็นว่ามีการกระทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และยังมีความไม่โปร่งใสหลายประเด็น
จนนำมาซึ่งการร้องเรียนหลายคดี เกี่ยวโยงทั้งผู้รับเหมา เจ้าพนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ และในค่ำคืนดังกล่าวนายกมล ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งที่สถานีตำรวจกับบ้านพักห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร
หลังการหายตัวไปของนายกมล ลูก-เมียและญาติๆเข้าร้องทุกข์กับตำรวจเพื่อช่วยติดตาม เพราะเชื่อว่าในคืนเกิดเหตุต้องมีนายตำรวจหลายนายที่เข้าเวรเห็นและได้พูดคุยกับนายกมล น่าจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการติดตามค้นหา แต่ผลกลับตรงกันข้าม ไม่พบแม้แต่ร่องรอยที่จะให้ลูกเมียได้ฝากความหวัง
1 เดือนจากนั้น พบรถยนต์ที่นายกมลใช้ในวันเกิดเหตุจอดทิ้งเป็นปริศนาที่โรงพยาบาลสิรินธร อ.บ้านแฮด แต่จนถึงวันนี้หลักฐานชิ้นดังกล่าวเป็นเพียงข้อความในบันทึกประจำวัน ไม่สามารถนำมาเป็นพยานวัตถุขยายผลให้คดีความคืบหน้าเหมือนบทเรียนที่สอนกันในหลักสูตรสอบสวนสืบสวน
พ.ต.อ.ฉลอง ภาคย์ภิญโญ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ผู้รับผิดชอบติดตามคดีการหายตัวไปของนายกมล เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเบาะแสใดที่จะเป็นแรงจูงใจสำคัญนำไปสู่การสืบหาตัวนายกมลแต่อย่างใด แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ละทิ้ง ยังติดตามคดีต่อเนื่อง
นางนรารัตน์ เหล่าโสภาพันธ์ ภรรยานายกมล เปิดเผยความรู้สึกว่า ทุกวันนี้ตนยังคงทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัว และอดร้องไห้ไม่ได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึงสามีที่อยู่ร่วมกันมาหลายสิบปี ที่ต้องมาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เธอเล่าต่อว่า เป็นแค่แม่บ้านธรรมดาๆ ช่วยสามีคือนายกมล ค้าขายอยู่กับบ้าน ที่บ้านขายปลีกขายส่งสินค้าประเภทเครื่องดื่ม จะมีหน้าที่คอยรับโทรศัพท์ที่ลูกค้าสั่งซื้อของ และก็ให้ลูกน้องเอาของไปส่ง คอยรับเงิน จ่ายเงิน ไม่ได้ออกไปพบใคร กิจวัตรของเธอมีแค่นี้
นายกมลเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี หลายสิบปีที่อยู่ด้วยกัน เขาจะดูแลครอบครัวทุกอย่าง จนลูกชายคนโต ไปเรียนและได้ทำงานที่กรุงเทพฯอีกคนก็ยังเล็ก ยังเรียนหนังสือ วันหยุดเธอและสามีคิดถึงลูก กมลก็จะขับรถพาเธอไปหาลูกที่กรุงเทพฯ วันไหนอยากไปไหว้พระที่วัดใด จังหวัดไหน เขาก็พาไป เธอไม่เคยออกไปไหนเองคนเดียว ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ หวังว่าจะได้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า
“ตอนนี้พอไม่มีเขา จากที่เคยอยู่ด้วยกันตลอด เราก็เหมือนอยู่คนเดียว มันมองไม่เห็นอนาคต ก็จะคิดมาก มองไปทางไหนในบ้านก็เห็นภาพเขา มันอดสะเทือนใจไม่ได้จริงๆ” นางนรารัตน์ กล่าว พร้อมกับร่ำไห้
ส่วน นายอัครวินท์ เหล่าโสภาพันธ์ บุตรชายคนโตวัย 26 ปี ปัจจุบัน ต้องลาออกจากงานบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมายแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ เพื่อกลับมาดูแลร้านค้าของครอบครัวและคอยดูแลปลอบโยนจิตใจผู้เป็นแม่ รวมถึงน้องชายที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างแรง จากการหายตัวไปของพ่อที่เคยอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน
นายอัครวินท์ยอมรับว่าเขาต้องเข้มแข็ง เพื่อพาครอบครัวเดินข้างหน้า ท่ามกลางความทรมานในใจของคนในครอบครัว ที่ยากจะกลับมาเหมือนเดิม
นายอัครวินท์เล่าว่า หลังจากคุณพ่อหายตัวไป ทุกอย่างในครอบครัวเปลี่ยนหมด และไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้เด็ดขาด เขาและม่าม๊า และน้องชาย ไม่อาจหลอกตัวเองเหมือนที่ทุกคนอยากให้พวกเขาคิดว่า ชีวิตคนเรายังมีเรื่องที่สดใสอยู่ ก็เพราะวันนี้พวกเขาไม่มีเสาหลักแล้ว ไม่มีปะป๊าแล้ว
“เราไม่สามารถปกปิดความทุกข์ในใจได้ บางทีผมอยากร้องไห้ แต่ผมจะร้องไห้ให้ใครเห็นไม่ได้ ก็ต้องไปแอบร้องไห้ในรถบ้าง แต่บางครั้งเวลาเราอยู่ด้วยกัน เราก็อดไม่ได้ที่จะกอดกันร้องไห้ เพราะเราคิดถึงปะป๊ามาก แต่สิ่งที่ผมต้องทำคือทำให้ตัวเองเข้มแข็ง เพื่อที่จะให้ครอบครัวเรายังเดินไปในวันข้างหน้าได้ เพราะคนเราจะจมปลักอยู่กับความทุกข์ไม่ได้” นายอัครวินท์เล่าด้วยน้ำเสียงสะอื้นน้ำตาคลอเบ้า
สภาพจิตใจที่ต้องขาดคนอันเป็นที่รักอย่างไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตสมาชิกในครอบครัว”เหล่าโสภาพันธ์” รวมถึงร้านจำหน่ายเครื่องดื่มทั้งปลีกและส่ง เมื่อหลายปีก่อนถือเป็นร้านค้าส่งขนาดใหญ่ในตัวเมืองบ้านไผ่ ที่เคยเป็นรายได้มั่นคงของครอบครัว
นายอัครวินท์ บอกว่าเขาและแม่ต้องลดการสั่งสินค้าเข้าร้านเพราะทุนรอน ร่อยหรอ อีกทั้งต้องหาซื้อเสื้อผ้ามาวางขายในร้านและออกไปขายตามตลาดนัดเป็นรายได้เสริม โดยยอมรับว่าชีวิตที่เคยทำงานมีเงินเดือนประจำไม่เดือดร้อน ค่อนข้างลำบากที่ต้องปรับตัวใหม่เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลง คุณแม่เองไม่เคยทำงานนอกบ้าน ณ วันนี้ต้องไปยืนขายเสื้อผ้าตามตลาดนัด ลำบากแค่ไหนก็ต้องกัดฟันทน เพราะไม่เหลือหัวหน้าครอบครัวให้พึ่งอีกแล้ว
ส่วนการตามหาพ่อ นายกมล ยังต้องทำต่อ โดยมีญาติช่วยอีกแรง ร่วมปีที่ผ่านมาได้ตระเวนยื่นหนังสือร้องทุกข์ไปยังหน่วยราชการต่างๆ ที่เชื่อว่าจะช่วยตามหาคุณพ่อได้ แต่ กว่า 1 ปีที่ผ่านไป ยังไม่มีแม้แต่วี่แววที่จะได้พบผู้เป็นพ่อ ยอมรับว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ทุกข์มากต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลึกๆก็ยังมั่นใจว่า สังคมต้องมีคนดีที่กล้าเสียสละ
“ผมอยากรู้ว่า เส้นแบ่งระหว่างคนดี ที่เสียสละ กับการที่ถูกมองว่าบ้า มันอยู่ตรงไหน มันเล็กนิดเดียวเลยหรือ คนดีที่เสียสละที่เขากล้าทำเพื่อความถูกต้อง สังคมก็ควรที่จะให้ความเป็นธรรม ถึงอย่างไรก็ตามผมก็ยังเห็นว่าสังคมต้องมีคนดีคนเสียสละที่กล้าเปิดโปงสิ่งไม่ดีในสังคม เพื่อให้สังคมดีขึ้น เหมือนอย่างที่พ่อผมทำ เสียใจมากที่พ่อถูกมองว่าบ้าเพียงเพราะเป็นคนดีที่ทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้”
แม้จะมีน้ำตาแห่งความเจ็บปวดจากการพรากจากที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของคนที่รัก แต่ครอบครัว”เหล่าโสภาพันธ์”ก็ยังยิ้มได้ เมื่อนึกถึงสิ่งที่นายกมลทิ้งไว้ โดยเฉพาะ เมื่อเห็นการกระทำที่ส่อไปทางทุจริตครั้งใด จะไม่เคยได้ยินคำว่า ปล่อยไปเถอะ จากปากนายกมลแม้แต่ครั้งเดียว จึงเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาภูมิใจที่มีหัวหน้าครอบครัวเป็นคนดีของแผ่นดิน