ASTVผู้จัดการรายวัน – วิวาห์ล่ม! ข่าวควบรวมกิจการ2โบรกเกอร์เป็นหมัน เจ้าบ่าว“ยูโอบี เคย์เฮียน”ร่อนจดหมายขอยุติเทกโอเวอร์“บีฟิท” หลังตกลงกันไม่ได้ แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ยอมปล่อย เตรียมเข้าตรวจสอบช่วงราคาหุ้นวิ่งฉิวอาจมีการปั่นราคา พร้อมเตือนเหล่าผู้บริหารคุยกันให้เคลียร์ก่อนให้ข่าว เพราะจะทำชาวบ้านเดือดร้อน ล่าสุด2หุ้นราคาดิ่งวูบ ส่วนใบหุ้นปลอมปูนใหญ่ยืนยันไม่เคยนิ่งนอนใจ
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บีฟิท จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้รับหนังสือแสดงความจำนงในการควบรวมกิจการจากบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBKH) เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 23 ก.พ.ได้มีมติให้บริษัทฯ ตอบรับการเข้าร่วมทำการศึกษาความเป็นไปได้ของการควบรวมกิจการ ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในหนังสือ UOBKHเรื่อง Proposed Brokerage Business Integration/Merger ฉบับลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 (LOI) โดยแต่งตั้งให้นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ เป็นผู้แทนของบริษัทฯ ในการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับหนังสือแสดงความจำนงและการศึกษาความเป็นไปได้ของการควบรวมกิจการร่วมกับผู้แทนของ UOBKH นั้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอเรียนว่า วานนี้(2มี.ค.) เวลา 9.43 น. ระหว่างการประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 3/2552 บริษัทฯได้รับหนังสือผ่านทางโทรสารจาก UOBKHโดยเนื้อหาระบุว่าเนื่องจาก UOBKH ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการควบรวมกิจการได้ ดังนั้น จึงแจ้งให้บริษัทฯ ทราบว่าUOBKH ไม่ประสงค์จะดำเนินการตามข้อเสนอในการขอควบรวมกิจการ รวมถึงการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์(Tender Offer) กับบริษัทต่อไปแล้ว โดยหากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมประการใดบริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบต่อไป
**ตลท.เดินหน้าสอบราคาพุ่ง**
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเข้าไปตรวจสอบการซื้อขายหุ้นของบล.บีฟิทในช่วงก่อนที่บล.ยูโอบี เคย์เฮียน จะมีการแจ้งข่าวว่าจะมีการควบรวมกับกิจการ เนื่องจาก ในช่วงนั้นราคาหุ้นของบล.บีฟิทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งในจุดนี้ตลท.จะเข้าไปดูว่ามีการกระทำผิดในการสร้างราคาหุ้นหรือไม่ แต่ล่าสุดบล.ยูโอบีเคเฮียน มีการแจ้งว่า จะหยุดดำเนินการตามแผนการเสนอขอร่วมธุรกิจหรือการควบรวมกิจการแล้ว
โดยสาเหตุ จากการที่ได้ประชุมและเจรจากับผู้บริหารชั้นสูงของ บีฟิท ยูโอบี เห็นว่าทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุถึงข้อตกลงเกี่ยวกับโครงสร้างการควบรวมกิจการจนเป็นที่พอใจแก่ทั้งสองฝ่ายได้ แต่จากนี้การเจราในการเรื่องการควบรวมกิจการนั้น ผู้บริหารของบริษัทที่จะมีการควบรวมกันนั้นควรมีความระมัดระวังอย่าให้มีข่าวแพร่ออกมาในช่วงที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะเรื่องข่าวที่จะออกมาจะมีผลกระทบต่อราคาหุ้น และนักลงทุน
สำหรับราคาซื้อขายหุ้น BSECในช่วงที่ผ่านมาพบว่าราคาหุ้นเริ่มมีการปรับตัวขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. และเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ซึ่งปิดที่ 1.50บาท เพิ่มขึ้น0.34 หรือ 29.31% มูลค่าการซื้อขาย 35.127 ล้านบาท และปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 30.00%ในวันถัดมา (17ก.พ.) โดยปิดที่ 1.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.45บาท มูลค่าซื้อขาย 111.319 ล้านบาท ขณะที่วันที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดคือ18ก.พ.มีสูงถึง 163.129 ล้านบาท โดยมีราคาปิดที่ 2.12 บาท และตลอดเดือนที่ผ่านมามีราคาสูงสุดที่ 2.30 บาทเมื่อวันที่ 23ก.พ. ซึ่งปิดที่ 2.30บาท มูลค่าซื้อขาย 139.314ล้านบาท หลังจากนั้นราคาหุ้นได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจนเมื่อวานนี้(2มี.ค.)ปิดที่ 1.30บาท ลดลง0.55บาท หรือ29.73% มูลค่าซื้อขาย 20.994 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่มีราคาสูงสุดพบว่ามีส่วนต่างถึง 1.00 บาทหรือ 76.92%
ขณะที่ UOBKH ราคาหุ้นเริ่มมีการปรับตัวมาในช่วงใกล้เคียงกันโดยวันที่ 23ก.พ.มีราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงสุด ปิดที่ 3.70บาท เพิ่มขึ้น0.70บาท หรือ23.33% มูลค่าซื้อขาย 10.84ล้านบาท และในวันที่มีการแจ้งความจำนงค์เข้าซื้อกิจการราคา(19ก.พ.) ปิดที่ 3.34 บาท เพิ่มขึ้น 14.38% มูลค่าซื้อขาย 1.472 ล้านบาท ก่อนที่จะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 24ก.พ. ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 14.275ล้านบาท จนมาถึงวานนี้ราคาปิดที่ 2.40บาท ลดลง 0.20 บาทหรือ 7.69% มูลค่าซื้อขาย 211,000 บาท มีส่วนต่างของราคาถึง1.30บาท หรือ54.16%
**ยืนยันไม่นิ่งนอนใจใบหุ้นปลอม**
นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการตลท.ให้ความเห็นถึงรณีใบหุ้นปลอมของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC ว่า ทางปูนซิเมนต์ไทยฯ มีการดูแลและพร้อมรับผิดชอบกรณีที่เกิดขึ้นและทางบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศ ไทย) หรือ TSD และตลาดหลักทรัพย์ฯก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเรื่องดังกล่าวและได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการสืบหาข้อเท็จจริงแล้ว แต่ก็มีกระบวนการในการดำเนินการรวบรวมหลักฐาน ดังนั้นการที่ทนายความของ ตระกูลอมาตยกุล จะมีการให้หน่วยงานกำกับดูแลการซื้อขายหุ้นมีการรับผิดชอบนั้น จากที่มองว่ากระบวนการดูแลการซื้อขายไม่ดีนั้น ส่วนตัวไม่ขอตอบในเรื่องนี้ เพราะ หากมีการเปิดเผยออกไปอาจจะมีผลกระทบต่อกระบวนการตรวจสอบ ซึ่งส่วนตัวต้องการให้ขั้นตอนการตรวจสอบมีความชัดเจนก่อน
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บีฟิท จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้รับหนังสือแสดงความจำนงในการควบรวมกิจการจากบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBKH) เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 23 ก.พ.ได้มีมติให้บริษัทฯ ตอบรับการเข้าร่วมทำการศึกษาความเป็นไปได้ของการควบรวมกิจการ ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในหนังสือ UOBKHเรื่อง Proposed Brokerage Business Integration/Merger ฉบับลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 (LOI) โดยแต่งตั้งให้นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ เป็นผู้แทนของบริษัทฯ ในการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับหนังสือแสดงความจำนงและการศึกษาความเป็นไปได้ของการควบรวมกิจการร่วมกับผู้แทนของ UOBKH นั้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอเรียนว่า วานนี้(2มี.ค.) เวลา 9.43 น. ระหว่างการประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 3/2552 บริษัทฯได้รับหนังสือผ่านทางโทรสารจาก UOBKHโดยเนื้อหาระบุว่าเนื่องจาก UOBKH ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการควบรวมกิจการได้ ดังนั้น จึงแจ้งให้บริษัทฯ ทราบว่าUOBKH ไม่ประสงค์จะดำเนินการตามข้อเสนอในการขอควบรวมกิจการ รวมถึงการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์(Tender Offer) กับบริษัทต่อไปแล้ว โดยหากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมประการใดบริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบต่อไป
**ตลท.เดินหน้าสอบราคาพุ่ง**
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเข้าไปตรวจสอบการซื้อขายหุ้นของบล.บีฟิทในช่วงก่อนที่บล.ยูโอบี เคย์เฮียน จะมีการแจ้งข่าวว่าจะมีการควบรวมกับกิจการ เนื่องจาก ในช่วงนั้นราคาหุ้นของบล.บีฟิทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งในจุดนี้ตลท.จะเข้าไปดูว่ามีการกระทำผิดในการสร้างราคาหุ้นหรือไม่ แต่ล่าสุดบล.ยูโอบีเคเฮียน มีการแจ้งว่า จะหยุดดำเนินการตามแผนการเสนอขอร่วมธุรกิจหรือการควบรวมกิจการแล้ว
โดยสาเหตุ จากการที่ได้ประชุมและเจรจากับผู้บริหารชั้นสูงของ บีฟิท ยูโอบี เห็นว่าทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุถึงข้อตกลงเกี่ยวกับโครงสร้างการควบรวมกิจการจนเป็นที่พอใจแก่ทั้งสองฝ่ายได้ แต่จากนี้การเจราในการเรื่องการควบรวมกิจการนั้น ผู้บริหารของบริษัทที่จะมีการควบรวมกันนั้นควรมีความระมัดระวังอย่าให้มีข่าวแพร่ออกมาในช่วงที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะเรื่องข่าวที่จะออกมาจะมีผลกระทบต่อราคาหุ้น และนักลงทุน
สำหรับราคาซื้อขายหุ้น BSECในช่วงที่ผ่านมาพบว่าราคาหุ้นเริ่มมีการปรับตัวขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. และเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ซึ่งปิดที่ 1.50บาท เพิ่มขึ้น0.34 หรือ 29.31% มูลค่าการซื้อขาย 35.127 ล้านบาท และปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 30.00%ในวันถัดมา (17ก.พ.) โดยปิดที่ 1.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.45บาท มูลค่าซื้อขาย 111.319 ล้านบาท ขณะที่วันที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดคือ18ก.พ.มีสูงถึง 163.129 ล้านบาท โดยมีราคาปิดที่ 2.12 บาท และตลอดเดือนที่ผ่านมามีราคาสูงสุดที่ 2.30 บาทเมื่อวันที่ 23ก.พ. ซึ่งปิดที่ 2.30บาท มูลค่าซื้อขาย 139.314ล้านบาท หลังจากนั้นราคาหุ้นได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจนเมื่อวานนี้(2มี.ค.)ปิดที่ 1.30บาท ลดลง0.55บาท หรือ29.73% มูลค่าซื้อขาย 20.994 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่มีราคาสูงสุดพบว่ามีส่วนต่างถึง 1.00 บาทหรือ 76.92%
ขณะที่ UOBKH ราคาหุ้นเริ่มมีการปรับตัวมาในช่วงใกล้เคียงกันโดยวันที่ 23ก.พ.มีราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงสุด ปิดที่ 3.70บาท เพิ่มขึ้น0.70บาท หรือ23.33% มูลค่าซื้อขาย 10.84ล้านบาท และในวันที่มีการแจ้งความจำนงค์เข้าซื้อกิจการราคา(19ก.พ.) ปิดที่ 3.34 บาท เพิ่มขึ้น 14.38% มูลค่าซื้อขาย 1.472 ล้านบาท ก่อนที่จะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 24ก.พ. ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 14.275ล้านบาท จนมาถึงวานนี้ราคาปิดที่ 2.40บาท ลดลง 0.20 บาทหรือ 7.69% มูลค่าซื้อขาย 211,000 บาท มีส่วนต่างของราคาถึง1.30บาท หรือ54.16%
**ยืนยันไม่นิ่งนอนใจใบหุ้นปลอม**
นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการตลท.ให้ความเห็นถึงรณีใบหุ้นปลอมของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC ว่า ทางปูนซิเมนต์ไทยฯ มีการดูแลและพร้อมรับผิดชอบกรณีที่เกิดขึ้นและทางบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศ ไทย) หรือ TSD และตลาดหลักทรัพย์ฯก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเรื่องดังกล่าวและได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการสืบหาข้อเท็จจริงแล้ว แต่ก็มีกระบวนการในการดำเนินการรวบรวมหลักฐาน ดังนั้นการที่ทนายความของ ตระกูลอมาตยกุล จะมีการให้หน่วยงานกำกับดูแลการซื้อขายหุ้นมีการรับผิดชอบนั้น จากที่มองว่ากระบวนการดูแลการซื้อขายไม่ดีนั้น ส่วนตัวไม่ขอตอบในเรื่องนี้ เพราะ หากมีการเปิดเผยออกไปอาจจะมีผลกระทบต่อกระบวนการตรวจสอบ ซึ่งส่วนตัวต้องการให้ขั้นตอนการตรวจสอบมีความชัดเจนก่อน