วิเคราะห์
กระสุนนัดแรกที่ยิงใส่รัฐบาลของเครือข่าย “ทักษิณ” ด้านไปแล้วหนึ่งลูก เมื่อม็อบเสื้อแดงที่ชุมนุมหน้าทำเนียบฯได้แค่ 3 วัน ก็ต้องลาโรง เพราะมวลชนหดหาย จากผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว
แต่กระนั่นก็ยังอุตส่าห์รักษาฟอร์ม ทั้งที่ไม่เหลือฟอร์มให้รักษา โดยประกาศจะกลับมาทวงข้อเรียกร้อง 4 ข้อจากรัฐบาลอีกใน 1 เดือนข้างหน้า หากไม่ได้รับการตอบสนอง
เกมนี้เลยเข้าทาง “โอบามาร์ค” โชว์ความเขี้ยวยืนยันภายใน 1 เดือนสามารถดับไฟไม่ให้เสื้อแดงใช้ 4 ข้อเรียกร้องมาเงื่อนไขมาขย่มรัฐบาลได้อีก
ข้อแรกที่กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องก็คือให้ดำเนินคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบและความขัดแย้งทางการเมืองนั้น นายกฯอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าใน 1 เดือนทุกคดีจะเดินหน้า แต่ไม่ใช่เฉพาะคดีของเสื้อเหลืองเท่านั้น แม้แต่คดีที่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายให้เท่าเทียมกัน ใครผิดก็ว่ากันไปตามผิด
ส่วนข้อที่ 2 ที่เรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ตอนนี้รัฐบาลได้ประสานกับสถาบันพระปกเกล้า เพื่อให้ช่วยเป็นแม่งานวางกรอบและแนวทางในการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศไว้แล้ว
ล่าสุดทราบว่าคณะกรรมการสถาบันพระปกเกล้า นัดประชุมเพื่อพิจารณาว่าจะเป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้ตามที่รัฐบาลร้องขอหรือไม่ในวันที่ 6 มีนาคมนี้ ซึ่งก็เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา
นั่นหมายความว่าการปฏิรูปการเมืองก้าวไปอีกขั้น ฉะนั้นกลุ่มเสื้อแดงจะมาใช้เป็นข้ออ้างกดดันรัฐบาลคงไม่ได้อีกแล้ว
สำหรับข้อเรียกร้องให้ปลด “กษิต ภิรมย์” ออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และให้ยุบสภานั้น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ใช้แผน “เกลือจิ้มเกลือ” โยนให้เป็นไปตามกระบวนการของสภาผู้แทนราษฎร
เนื่องจากขณะนี้พรรคเพื่อไทยซึ่งถือเป็นแนวร่วมทางการเมืองที่สำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดง เตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอยู่แล้ว ซึ่งหนึ่งในรัฐมนตรีที่จะถูกซักฟอกมี “กษิต ภิรมย์” ร่วมอยู่ด้วย
ฉะนั้นการที่เจ้ากระทรวงบัวแก้วจะอยู่หรือไป จึงขึ้นอยู่ความสามารถและน้ำหนักในการอภิปรายฯ ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าจะโน้มน้าวให้ ส.ส.ซีกรัฐบาลเห็นคล้อยตามจนลงมติไม่ไว้วางใจ “กษิต ภิรมย์” หรือไม่
แปลไทยเป็นไทยก็คือ หากกษิต ภิรมย์ได้รับความไว้วางใจจาก สภาผู้แทนราษฎรในศึกซักฟอกครั้งนี้ แก๊งเสื้อแดงก็ไม่มีความชอบธรรม ใดๆ ที่จะขับไล่ท่านให้พ้นจากเก้าอี้ได้อีก
ในเมื่อพรรคเพื่อไทยได้ลากกษิต ภิรมย์ไปฟอกขาวในศึกซักฟอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เช่นเดียวกับข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี “ยุบสภา” หากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจบลงด้วยชัยชนะของรัฐบาลที่มีเสียงข้างมาก ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ อีกที่แก๊งเสื้อแดงจะมาขับไล่รัฐบาล
เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสของ “อภิสิทธิ์” และกุนซือในประชาธิปัตย์ พร้อมโชว์ความเก๋าในการแก้เกมการเมืองของฝ่ายตรงข้าม
ว่ากันไปแล้วการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยรอบนี้ เป็นการกระทำของ ส.ส.เพียงไม่กี่คน ขณะที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะดูแล้วไม่มีมัดใดที่จะไปน๊อครัฐบาลได้ ดีไปดีอาจพากันเข้ารกเข้าพงไปอีก
แต่ “เฉลิม อยู่บำรุง” แกนนำศึกซักฟอกครั้งนี้กลับไม่ฟังคำทักท้วง เพราะมักใหญ่ใฝ่สูงอยากถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี
จนล่าสุด “เสนาะ เทียนทอง” หัวหน้าค่ายประชาราช หนึ่งเดียวของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ถึงกับอดรนทนไม่ได้ต้องมาเตือนสติ น้องๆ
“ไม่ควรทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าล้มรัฐบาลไม่ได้แล้วจะทำทำไม ที่สำคัญบ้านเมืองมีวิกฤตอย่างนี้ยังเอาน้ำมันไปรด ทำไมไม่มีเหตุผลอายเข้าเปล่าๆ”
ผู้เฒ่าแห่งวังน้ำเย็น ไม่เห็นด้วยที่คนบางคนในพรรคเพื่อไทย เล่นเกมป่วนรัฐบาล โดยไม่ดูอารมณ์ชาวบ้านที่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ รัฐบาลจะได้มีเวลาแก้ปัญหาปากท้องประชาชนยามภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
ที่สำคัญยังสื่อไปถึง “เฉลิม” ให้ดูตัวเองว่าเหมาะที่จะถูกเสนอชื่อให้เป็นผู้นำรัฐบาลหรือไม่
“คนที่จะปกครองบ้านเมืองได้นั้นต้องไม่มีอดีต แต่เฉลิมยังมีอดีตที่ล้างไม่ออก”
เบรกกันแบบไม่ไว้หน้าอย่างนี้ นอกจากเป็นการปฏิเสธที่จะร่วมสังฆกรรมเพื่อใครบางคนแล้ว ยังทำลายน้ำหนักและความน่าเชื่อถือของ “เฉลิม” ที่จะเป็นตัวหลักในศึกซักฟอกครั้งนี้ไปด้วย
เห็นทีกระสุนนัดนี้ของพลพรรคเพื่อไทยคง “แป้ก” ไปตามม็อบเสื้อแดงอีกลูกหนึ่งเสียแล้ว
กระสุนนัดแรกที่ยิงใส่รัฐบาลของเครือข่าย “ทักษิณ” ด้านไปแล้วหนึ่งลูก เมื่อม็อบเสื้อแดงที่ชุมนุมหน้าทำเนียบฯได้แค่ 3 วัน ก็ต้องลาโรง เพราะมวลชนหดหาย จากผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว
แต่กระนั่นก็ยังอุตส่าห์รักษาฟอร์ม ทั้งที่ไม่เหลือฟอร์มให้รักษา โดยประกาศจะกลับมาทวงข้อเรียกร้อง 4 ข้อจากรัฐบาลอีกใน 1 เดือนข้างหน้า หากไม่ได้รับการตอบสนอง
เกมนี้เลยเข้าทาง “โอบามาร์ค” โชว์ความเขี้ยวยืนยันภายใน 1 เดือนสามารถดับไฟไม่ให้เสื้อแดงใช้ 4 ข้อเรียกร้องมาเงื่อนไขมาขย่มรัฐบาลได้อีก
ข้อแรกที่กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องก็คือให้ดำเนินคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบและความขัดแย้งทางการเมืองนั้น นายกฯอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าใน 1 เดือนทุกคดีจะเดินหน้า แต่ไม่ใช่เฉพาะคดีของเสื้อเหลืองเท่านั้น แม้แต่คดีที่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายให้เท่าเทียมกัน ใครผิดก็ว่ากันไปตามผิด
ส่วนข้อที่ 2 ที่เรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ตอนนี้รัฐบาลได้ประสานกับสถาบันพระปกเกล้า เพื่อให้ช่วยเป็นแม่งานวางกรอบและแนวทางในการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศไว้แล้ว
ล่าสุดทราบว่าคณะกรรมการสถาบันพระปกเกล้า นัดประชุมเพื่อพิจารณาว่าจะเป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้ตามที่รัฐบาลร้องขอหรือไม่ในวันที่ 6 มีนาคมนี้ ซึ่งก็เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา
นั่นหมายความว่าการปฏิรูปการเมืองก้าวไปอีกขั้น ฉะนั้นกลุ่มเสื้อแดงจะมาใช้เป็นข้ออ้างกดดันรัฐบาลคงไม่ได้อีกแล้ว
สำหรับข้อเรียกร้องให้ปลด “กษิต ภิรมย์” ออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และให้ยุบสภานั้น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ใช้แผน “เกลือจิ้มเกลือ” โยนให้เป็นไปตามกระบวนการของสภาผู้แทนราษฎร
เนื่องจากขณะนี้พรรคเพื่อไทยซึ่งถือเป็นแนวร่วมทางการเมืองที่สำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดง เตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอยู่แล้ว ซึ่งหนึ่งในรัฐมนตรีที่จะถูกซักฟอกมี “กษิต ภิรมย์” ร่วมอยู่ด้วย
ฉะนั้นการที่เจ้ากระทรวงบัวแก้วจะอยู่หรือไป จึงขึ้นอยู่ความสามารถและน้ำหนักในการอภิปรายฯ ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าจะโน้มน้าวให้ ส.ส.ซีกรัฐบาลเห็นคล้อยตามจนลงมติไม่ไว้วางใจ “กษิต ภิรมย์” หรือไม่
แปลไทยเป็นไทยก็คือ หากกษิต ภิรมย์ได้รับความไว้วางใจจาก สภาผู้แทนราษฎรในศึกซักฟอกครั้งนี้ แก๊งเสื้อแดงก็ไม่มีความชอบธรรม ใดๆ ที่จะขับไล่ท่านให้พ้นจากเก้าอี้ได้อีก
ในเมื่อพรรคเพื่อไทยได้ลากกษิต ภิรมย์ไปฟอกขาวในศึกซักฟอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เช่นเดียวกับข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี “ยุบสภา” หากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจบลงด้วยชัยชนะของรัฐบาลที่มีเสียงข้างมาก ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ อีกที่แก๊งเสื้อแดงจะมาขับไล่รัฐบาล
เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสของ “อภิสิทธิ์” และกุนซือในประชาธิปัตย์ พร้อมโชว์ความเก๋าในการแก้เกมการเมืองของฝ่ายตรงข้าม
ว่ากันไปแล้วการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยรอบนี้ เป็นการกระทำของ ส.ส.เพียงไม่กี่คน ขณะที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะดูแล้วไม่มีมัดใดที่จะไปน๊อครัฐบาลได้ ดีไปดีอาจพากันเข้ารกเข้าพงไปอีก
แต่ “เฉลิม อยู่บำรุง” แกนนำศึกซักฟอกครั้งนี้กลับไม่ฟังคำทักท้วง เพราะมักใหญ่ใฝ่สูงอยากถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี
จนล่าสุด “เสนาะ เทียนทอง” หัวหน้าค่ายประชาราช หนึ่งเดียวของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ถึงกับอดรนทนไม่ได้ต้องมาเตือนสติ น้องๆ
“ไม่ควรทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าล้มรัฐบาลไม่ได้แล้วจะทำทำไม ที่สำคัญบ้านเมืองมีวิกฤตอย่างนี้ยังเอาน้ำมันไปรด ทำไมไม่มีเหตุผลอายเข้าเปล่าๆ”
ผู้เฒ่าแห่งวังน้ำเย็น ไม่เห็นด้วยที่คนบางคนในพรรคเพื่อไทย เล่นเกมป่วนรัฐบาล โดยไม่ดูอารมณ์ชาวบ้านที่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ รัฐบาลจะได้มีเวลาแก้ปัญหาปากท้องประชาชนยามภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
ที่สำคัญยังสื่อไปถึง “เฉลิม” ให้ดูตัวเองว่าเหมาะที่จะถูกเสนอชื่อให้เป็นผู้นำรัฐบาลหรือไม่
“คนที่จะปกครองบ้านเมืองได้นั้นต้องไม่มีอดีต แต่เฉลิมยังมีอดีตที่ล้างไม่ออก”
เบรกกันแบบไม่ไว้หน้าอย่างนี้ นอกจากเป็นการปฏิเสธที่จะร่วมสังฆกรรมเพื่อใครบางคนแล้ว ยังทำลายน้ำหนักและความน่าเชื่อถือของ “เฉลิม” ที่จะเป็นตัวหลักในศึกซักฟอกครั้งนี้ไปด้วย
เห็นทีกระสุนนัดนี้ของพลพรรคเพื่อไทยคง “แป้ก” ไปตามม็อบเสื้อแดงอีกลูกหนึ่งเสียแล้ว
