xs
xsm
sm
md
lg

‘เอ็กโก้’รุกลงทุนตปท.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – วิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่งผลต่อการเติบโตของเอ็กโก กรุ๊ป หลังความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศหด เน้นการลงทุนโรงไฟฟ้าในอาเซียนทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม รวมทั้งลงทุนด้านเชื้อเพลิงด้วย ส่วนในประเทศให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมทุนโรงไฟฟ้าไอพีพีและเอสพีพี ยอมรับปีนี้รายได้โตแต่กำไรหดหากไม่มีการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่เสริม ยืนยันฐานะการเงินแข็งปั๋ง

นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า จากวิกฤตการเงินโลกที่ส่งผลทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ลดลงนั้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป เพราะสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นสัญญาระยะยาว แต่จะส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ บริษัทฯจะเน้นลงทุนโรงไฟฟ้าในกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้นโดยเฉพาะฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่ยังมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงอยู่ รวมทั้งการเข้าไปลงทุนด้านเชื้อเพลิง เช่นถ่านหิน ซึ่งจะเน้นลงทุนไปพร้อมกับโครงการโรงไฟฟ้า

ขณะเดียวกันการลงทุนในประเทศจะให้ความสำคัญในการเข้าไปร่วมลงทุนในโครงการรับซื้อไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมไปถึงโครงการผลิตไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เช่นพลังงานลม พลังงานแสงแดด และชีวมวล โดยโครงการศึกษาพลังงานลมที่หัวไทร พบว่าปริมาณลมไม่มากพอ ทำให้ต้องศึกษาใหม่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้

ทั้งนี้ในการลงทุนโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จะพิจารณาความเหมาะสมของโครงการ ผลตอบแทนการลงทุนอย่างรอบคอบ โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะต้องมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่แน่นอน โดยขณะนี้บริษัทฯมีการเจรจาอยู่หลายโครงการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้อย่างน้อย 1 ดีล ขนาดกำลังการผลิตไม่น้อยกว่า 100 เมกะวัตต์ปัจจุบันบริษัทฯความเข้มแข็งด้านการเงินสูงมาก โดยมีกระแสเงินสดในมือถึง 5 พันล้านบาท และมีความสามารถในการก่อหนี้เพิ่มได้อีก 1-2 หมื่นล้านบาท เพราะมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำมากเพียง 0.28 เท่า ขณะเดียวกัน ยังมีวงเงินกู้จากแบงก์ที่เหลือจากการโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเควซอน ที่ฟิลิปปินส์อีก 500 ล้านบาท

จากวิกฤตเศรษฐกิจโลก มีผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมาลดลง ทำให้ภาครัฐมีการทบทวนแผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้าของประเทศใหม่ (PDP) โดยเลื่อนการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านออกไป รวมถึงแผนการจ่ายไฟเข้าระบบของIPP 3 รายที่ชนะการประมูลออกไปอีก 1ปี ตลอดจนเตรียมปรับแผนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก(SPP) เพื่อกระตุ้นการลงทุน

นายวินิจ กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโรงไฟฟ้าระยองและโรงไฟฟ้าขนอมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ว่า บริษัทฯจะขอขยายเวลาการขายไฟฟ้าต่อไปอีก 10ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นไปตามสัญญาที่กำหนดไว้ว่าก่อนหมดอายุสัญญา 4ปี ให้บริษัทฯเจรจากับกฟผ.เพื่อต่ออายุสัญญาได้ โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ถูกใจทั้งอัตราค่าไฟถูก แข่งขันกับโรงไฟฟ้าอื่นได้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้

โดยปกติแล้วโรงไฟฟ้าทั่วโลกมีอายุการใช้งาน 30-35 ปี แต่โรงไฟฟ้าระยองและโรงไฟฟ้าขนอมมีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าระยองและขนอมจะสิ้นสุดลงในปี 2557 และปี 2559 อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับการต่อสัญญาโรงไฟฟ้าดังกล่าวก็จะรื้อโรงไฟฟ้าไปก่อสร้างที่ประเทศอื่นแทน โดยจะเก็บที่ดินไว้เพื่อยื่นเข้าประมูลไอพีพีในอนาคต เนื่องจากทำเลดี ส่วนผลกระทบด้านการดำเนินงานนั้นคงไม่มาก เนื่องจากบริษัทฯมีโครงการใหม่เข้ามาเสริม ไม่จำเป็นต้องมีจำนวนเมกะวัตต์เท่ากับ 2โรงดังกล่าว แต่เน้นการทำกำไรสูงสุด

เตือนรายย่อยทำใจ กำไรปีนี้หด

นายศักดา ศรีสังคม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงิน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะมีรายได้รวมเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 โรงไฟฟ้าเควซอนที่ฟิลิปปินส์และโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 แต่กำไรจะลดลงจากปีก่อน เนื่องจากโครงสร้างค่าไฟของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี โรงไฟฟ้าระยองและโรงไฟฟ้าขนอมได้ผ่านช่วงที่ให้กำไรสูงสุดไปแล้ว ทำให้การทำกำไรนับจากจะลดลง หากไม่มีการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่เข้ามาเสริม ส่วนการรับรู้รายได้ในปีนี้จากโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 และโรงไฟฟ้าเควซอนนั้นจะช่วยชะลอการหดตัวลงของกำไรแต่ก็ไม่มากนัก

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนจะยืดหนี้เงินกู้ที่ใช้ลงทุนในโรงไฟฟ้าเควซอนวงเงิน 3,500 ล้านบาท ที่มีอายุเงินกู้เหลืออยู่ 2ปี ออกไปเป็น 4-5ปี โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกับสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้

นายศักดา กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯวางงบประมาณการลงทุนไว้เบื้องต้น 1,600 ล้านบาท เพื่อใช้เพิ่มทุนในโครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ที่สปป.ลาว ส่วนโครงการอื่นๆหากพบว่ามีศักยภาพดีก็พร้อมที่จะใส่เงินลงทุนทันที

ผลการดำเนินงานของเอ็กโก สิ้นสุดปี 2551 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 6,927 ล้านบาท ดลลง 1,475 ล้านบาท หรือลดลง 18% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน หากไม่มีการบันทึกผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว บริษัทฯจะมีกำไรสุทธิ 7,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.34% สาเหตุหลักเนื่องจากรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 2 ที่เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในวันที่ 27 ก.พ. 2551
กำลังโหลดความคิดเห็น