xs
xsm
sm
md
lg

ตีปี๊บ2ล้านล.ดันจีดีพีบวก มาร์คซีดเพิ่มทุนให้ADB

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - นายกฯ ลั่นส่งออกติดลบต้องแก้ด้วยการทำงานล่วงเวลาเพื่อให้จีดีพีอยู่ในแดนบวกให้ได้ ตีปี๊บแผนลงทุนร่วมเอกชน 2 ล้านล้านบาท เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรทุกกลุ่ม ครม.หัวหินเจียด 3.2 พันล้าน ให้ ธ.ก.ส.ช่วยลูกหนี้ ชดเชยน้ำท่วมปี 51 แฉต้องควัก 46 ล้านดอลล์ (1.6 พันล้านบาท) ในฐานะสมาชิกให้เอดีบีเพิ่มทุนหลังถังแตก สภาพัฒน์ชง 4 แผนลอจิสติกส์ ก่อนแถลงจีดีพีวันนี้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" เมื่อเช้าวานนี้ ( 22ก.พ.) ว่า ขณะนี้ประเทศและทั่วโลกประสบปัญหาเศรษฐกิจ โดยพบว่าในเดือนมกราคม ตัวเลขการส่งออกของไทยติดลบ 26.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงมาก แม้ตัวเลขจะติดลบ แต่รัฐบาลต้องรักษากำลังซื้อเพื่อให้ไตรมาส 3 และ 4 จะให้นำเศรษฐกิจมาและให้อยู่ในแดนบวกให้ได้ ทั้งนี้ มาตรกรกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว 3 - 4 ปีข้างหน้า รัฐบาลได้วางแผนการลงทุนร่วมกันเอกชนด้วย โดยเป็นการลงทุนด้านสาธารณะ การศึกษา จำนวนเงิน 2 ล้านล้านบาท รวมทั้งจากแหล่งเงินกู้ภายใต้วินัยการเงินการคลัง และความยั่งยืนซึ่งการพัฒนาจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

***เจียด 3.2 พันล.ให้ ธ.ก.ส.ช่วยน้ำท่วม
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า รัฐบาลพยายามเร่งออกมาตรการต่างๆในการช่วยเหลือเกษตกรทั้งเกษตรผู้ปลูก ข้าวนาปรัง และข้าวนาปี ซึ่งมีการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า ส่วนเกษตรกรที่มีปัญหาหนี้สินซึ่งได้มีหานำเข้าหารือใน ครม.และจะโอนหนี้ไปยังสู่กองทุนฟื้นฟูเกษตรกร ซึ่งในส่วนนี้ ธกส. และกระทรวงการคลังจะไปดำเนินการ ซึ่งไม่ต้องข้อวิตกกังวลว่าการแก้ปัญหาจะมีความโปร่งใสหรือไม่ ซึ่งเราจะการติดตามเพื่อดูแลกระบวนการให้มีความโปร่งใส

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ที่โรงแรมดุสิต รีสอร์ต หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในวันที่ 24 ก.พ. นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม.ให้พิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ประสบอุทกภัยในปี 2551 โดยของบประมาณวงเงิน 3,200 ล้านบาท เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ของเกษตรกรให้แก่ธ.ก.ส. ซึ่งกำหนดให้ชดเชยเป็นปี ๆ ไปตามข้อเท็จจริงภายใน 3 ปี และเมื่อครม.เห็นชอบแล้วธ.ก.ส.ต้องหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อจัดสรรเงินให้ตามข้อเท็จจริงต่อไป

ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรไม่ต่ำกว่า 50% โดยกรณีเกษตรกรลูกค้าเสียชีวิต ธ.ก.ส.จะจำหน่ายลูกหนี้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญซึ่งธ.ก.ส.เป็นผู้รับภาระเอง หากประสบภัยร้ายแรงและไม่เสียชีวิต จะขยายเวลาชำระหนี้เงินกู้เป็นเวลา 3 ปี งดคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา 3 ปี แต่ต้องขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลตามดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์หรือลูกค้ารายย่อยชั้นดี รวมทั้งยังให้เงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต

ธ.ก.ส.จะให้เงินกู้กับเกษตรกรรายละไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อนำไปฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดดอกเบี้ยเงินกู้จากปกติ 3% เป็นเวลา 3 ปี แต่ธ.ก.ส.ต้องขอชดเชยจากรัฐบาลเช่นกัน และกำหนดให้ลูกค้าชำระหนี้ตามความสามารถ โดยลดหย่อนหลักประกันการกู้เงินจากหลักเกณฑ์ปกติ เช่น กรณีกู้เงินโอนจำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกัน ก็ให้ขยายวงเงินกู้จากที่กู้ได้ไม่เกิน 50% ของวงเงินจดทะเบียนจำนองเป็นให้กู้ได้ไม่เกินวงเงินจดทะเบียนจำนอง หรือขยายวงเงินในการประกันจากรายละ 150,000 บาท เป็น 200,000 บาท เป็นต้น

***สภาพัฒน์ชง 4 แนวทางลอจิสติกส์
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเรียกประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ของประเทศ เป็นครั้งแรก เพื่อพิจารณาแนวทางและจัดลำดับความสำคัญของแต่ละโครงการเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดทำงบประมาณประจำปี 53 โดยเน้นโครงการที่เกิดขึ้นได้จริง

ทั้งนี่้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป ซึ่งมีทั้งหมด 4 แนวทาง คือการลดต้นทุนโลจิสติกส์ภายในภาคการผลิตทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง เร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่ง การให้บริการและระบบเครือข่ายการกระจายและรวบรวมสินค้าที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังต้องเร่งผลักดันให้เกิดบูรณาการเชื่อมโยงแผนงานและขยายขอบเขตของระบบ เอสดับบลิวอี-โลจิสติกส์ ให้สมบูรณ์ และต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับความรู้ความสามารถและการจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพของบุคลากรด้านโลจิสติกส์ทั้งในระดับบริหารจัดการและปฏิบัติการ

โครงการด้านลอจิสติกส์ที่ดำเนินการแล้วเสร็จ คิดเป็นวงเงินรวมประมาณ 3,676 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการเพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งและลอจิสติกส์ เช่นโครงการจัดหาโบกี้บรรทุกตู้สินค้า 112 คัน โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมโยงท่าเรือต่าง ๆ ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการต่อเนื่องถึงปี 52 มีวงเงินลงทุนรวม 22,827 ล้านบาท เช่นโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง โครงการจัดหารหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า 7 คันและแคร่บรรทุก 308 แคร่ โครงการพัฒนาท่าเรืออิเล็กทรอนิกส์ และโครงการจัดตั้งการให้บริการระบบ เนชั่นแนล ซิงเกิล วินโดว์ เป็นต้น

ส่วนโครงการที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 53 ซึ่งครม.ได้รับทราบในหลักการแล้ว มีวงเงินลงทุน 244,852 ล้านบาท เช่น โครงการก่อสร้างทางคู่ขนานในเส้นทางรถไฟสายตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย โครงการปรับปรุงทางระยะที่ 5 และ 6 โครงการก่อสร้างสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่องแห่งที่ 2 โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 และการก่อสร้างถนนเชื่อมโยงเรือเชียงแสน 2 แผนพัฒนาสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2552-2558) โครงการก่อสร้างด่านพรมแดนบ้านประกอบ และด่านศุลกากรบูเก๊ะตา และโครงการพัฒนาโลจิสติกส์ทางการเกษตรของผลไม้

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในเวลา 09.30 น.วันนี้ (23 ก.พ. ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะทำการแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมชาติ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2551 ทั้งนี้ จะเป็นการแถลงฯครั้งแรก ภายใต้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเฉพาะรัฐบาลกำลังได้รับการกดดันในเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจของโลกอย่างต่อเนื่อง

***ต้องเพิ่มทุน 46 ล้านยูเอส ให้เอดีบี
นายชอง ปิแอร์ เอเวอร์บีส์ ผู้อำนวยการ สำนักผู้แทนประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) กล่าวว่า ในการประชุมประเทศสมาชิกของธนาคารพัฒนาเอเชีย ช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ได้เตรียมเสนอให้ประเทศสมาชิก 67 ประเทศ เพิ่มทุนให้กับเอดีบีจาก 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มเป็น 1.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปใช้ในการปล่อยกู้และแก้ปัญหาทางการเงินกับประเทศสมาชิกให้มีความเพียงพอ โดยการเพิ่มทุนจะให้สมาชิกทยอยส่งเงินสมทบในการเพิ่มทุนเพื่อไม่ให้กระทบต่องบประมาณของประเทศสมาชิก สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทย เห็นว่า รัฐบาลไทยมีความพร้อมและเตรียมการรับมือต่อปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

ประเทศไทยถือหุ้นอยู่ร้อยละ 1 อาจต้องเพิ่มทุนให้เอดีบี 46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.6 พันล้านบาท โดยทางเอดีบี ยังมีความกังวลว่าการประชุมในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยประเทศสมาชิกต้องนำเรื่องเสนอให้สภาพิจารณาให้เสร็จก่อน จึงคาดไม่ได้ว่า ดำเนินการเสร็จทันทุกประเทศหรือไม่

วานนี้ (22 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งระหว่างหารือกับนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ (Mr.Haruhiko Kuroda) ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน +3 ณ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ ลากูนา จังหวัดภูเก็ต ว่านอกจากไทยและธนาคารพัฒนาเอเชียจะมีความสัมพันธ์ที่ดียิ่งต่อกันแล้ว ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจนี้ ไทยและธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียจะกระชับความร่วมมือระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น เหมือนดังเช่นวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540

นายกรัฐมนตรี ยังแจ้งขั้นตอนการขอรับความสนับสนุนทางการเงินของไทยว่า ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทุนสามัญทั่วไป หรือ โครงการที่ขอใช้เงินกู้ จะต้องเป็นตามหลักการและขั้นตอนตามที่กฎหมายไทยกำหนด โดยจะต้องให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรรับรองก่อน อาจจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง

ด้านนาย Kuroda ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย กล่าวว่า บทบาทของธนาคารพัฒนาเอเชียที่ผ่านมาว่า นอกเหนือจากการให้ความสนับสนุนด้านเงินทุนแล้ว ยังให้ช่วยพัฒนาด้านการฝึกอบรมและเพิ่มทักษะด้านการเงิน การคลัง แก่บุคลากรในภูมิภาค ทั้งนี้ ธนาคารพัฒนาเอเชีย ยังมีความร่วมมือที่ดียิ่งกับหน่วยงานเพื่อการพัฒนาและหุ้นทุนของญี่ปุ่น อาทิ JICA และ JBIC เพื่อสนับสนุนด้านการเงิน ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ภายในภูมิภาค

"การทำงานของประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากชาติสมาชิก และไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกสำคัญ ที่ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ถือเป็นหุ้นส่วนและให้ความสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างไทยและธนาคารพัฒนาเอเชีย"
กำลังโหลดความคิดเห็น