ประโยคที่กล่าวข้างต้น “Thailand, my country” เป็นประโยคที่มีการเปล่งด้วยเสียงอันดังของหลานชายผู้เขียนซึ่งมีอายุ 6 ขวบ หลานชายของผู้เขียนได้ไปอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่ไปทำงานประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้กลับมาเยี่ยมบ้านระหว่างที่มีการหยุดการเรียนสองสัปดาห์ โดยได้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2552 เหตุที่มีการตะโกนกล่าวคำว่า Thailand, my country นั้น มีสาเหตุความเป็นมา
จากการฟังคำบอกเล่าจากแม่ (ลูกสะใภ้ของผู้เขียน) ของเด็กได้ทราบว่า การที่ไปเรียนในโรงเรียนที่ประกอบด้วยคนต่างชาติจำนวนมากโดยเวลาได้ผ่านมาเกือบสามปี อายุของเด็กเริ่มโตพอที่จะสังเกตเห็นความแตกต่าง เช่น สังเกตว่าตนเองนั้นมีผมเป็นสีดำ ผิวพรรณแตกต่างจากชาวตะวันตกซึ่งมีผมเป็นสีทอง และได้มีการพูดจาภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และบางครั้งก็ภาษาสวิสในห้องเรียน จึงถามแม่ของตนว่า ทำไมคนเหล่านั้นไม่พูดภาษาไทย แต่ทำไมตนเองต้องพูดภาษาอังกฤษ พร้อมกันนั้นก็ขอให้แม่ช่วยชี้ประเทศของเพื่อนๆ บนหนังสือแผนที่ รวมทั้งชี้แผนที่ประเทศไทยด้วย
ถ้าจะวิเคราะห์เบื้องต้นน่าจะวิเคราะห์ได้ว่า เด็กเริ่มเห็นความแตกต่างระหว่างตนและเพื่อน และเริ่มตระหนักถึงตัวตนซึ่งทางวิชาการเรียกว่าอัตลักษณ์ รวมทั้งความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกับคนที่เป็นชาติเดียวกับตน ขณะเดียวกันก็แตกต่างจากชาติอื่น จึงเริ่มสังเกตสังกาถึงความแตกต่างของผิวพรรณ สีผม ภาษาที่พูด ซึ่งนำไปสู่ความสงสัยจนมีการตั้งคำถามดังกล่าว การอยู่ในกลุ่มที่มีลักษณะใกล้เคียงกันนั้นเป็นเรื่องปกติของสิ่งมีชีวิตทำให้เกิดความอุ่นใจ เช่น นกประเภทเดียวกันก็จะอยู่ด้วยกัน คนดำหนึ่งคนที่อยู่ท่ามกลางคนขาวเป็นร้อยๆ คนย่อมจะรู้สึกถึงความเป็นคนแปลกหน้า ทำนองเดียวกัน ชาวตะวันตกหนึ่งคนที่อยู่ท่ามกลางคนเอเชียเป็นร้อยๆ คนจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับคนดำ และกลับกันฉันใดก็ฉันนั้นสำหรับคนเอเชียที่อยู่ท่ามกลางฝรั่งจำนวนมาก
การมีอัตลักษณ์ก็คือการพูดภาษาของกลุ่ม การเข้าใจวัฒนธรรมของกลุ่ม เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีและแบบแผนปฏิบัติ รวมทั้งแบบกระสวนของพฤติกรรมของกลุ่ม จึงรู้ว่าตนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่ม เช่น เป็นคนไทย จีน ญี่ปุ่น ลักษณะร่วมอาจจะรวมถึงศาสนา การแต่งกาย การรับประทานอาหารของกลุ่ม การเข้าร่วมในการเฉลิมฉลองงานนักขัตฤกษ์ต่างๆ การร้องเพลง การเต้นรำ ฯลฯ
แต่ในยุคโลกาภิวัตน์ความรู้สึกที่เป็นลักษณะพิเศษของแต่ละชนชาติเผ่าพันธุ์ แม้จะยังเหลืออยู่แต่ก็มีวัฒนธรรมสากลที่ทำให้ความแตกต่างของกลุ่มลดลง เช่น การพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วโลก การฉลองคริสต์มาส การฉลองปีใหม่ การรับประทานอาหารแบบผสม เช่น ฝรั่งกินข้าวแกง ไทยกินขนมปัง ญี่ปุ่นกินอาหารจีน จีนกินปลาดิบ แต่ถึงแม้จะมีลักษณะร่วมดังกล่าวความแตกต่างของเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนายังคงมีอยู่ โลกยังไม่ถูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวจนกลายเป็นสังคมโลกและประชากรโลก
จากที่กล่าวมาแล้วนั้นเมื่อเครื่องบินที่บินมาจากสวิตเซอร์แลนด์เข้าเขตประเทศไทย จากคำบอกเล่าของแม่เด็กปรากฏว่าหลานชายของผู้เขียนเกิดความตื่นเต้นขนาดหนักเพราะกำลังเดินทางกลับสู่ประเทศไทยหรือกลับบ้าน จึงเริ่มพูดจามากขึ้นด้วยความตื่นเต้น และทันทีเครื่องบินเตะพื้นก็ได้ตะโกนเป็นภาษาอังกฤษว่า Thailand, my country ผู้โดยสารคนอื่นๆ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศส่วนใหญ่ต่างก็ยิ้มในความตื่นเต้นและความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กอายุ 6 ขวบ แต่ในความเป็นจริงทุกคนก็อาจรู้ดีว่าคำพูดดังกล่าวนั้นมีนัยสำคัญอย่างยิ่งถึงความภูมิใจในอัตลักษณ์ของตน รวมทั้งความรู้สึกว่าตนเป็นบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกของประเทศๆ หนึ่งที่เรียกว่า “Thailand “ และคำว่า “my country” มีความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่งที่ว่า แผ่นดินประเทศไทยหรือสยามในอดีตเขามีส่วนเป็นเจ้าของ
ถึงแม้เด็กอาจจะไม่มีความรู้ลึกซึ้งพอที่จะคิดเยี่ยงที่กล่าวมานี้ แต่เนื้อหาในความเป็นจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
ความผูกพันต่อแผ่นดิน ความภูมิใจที่เป็นคนของชาติหนึ่งซึ่งแตกต่างจากชาติอื่น เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ และที่สำคัญคือ คนที่สามารถจะกล่าวว่าตนเป็นคนชาติใด และประเทศชาติที่ตนเป็นพลเมืองชื่อประเทศอะไรนั้น เบื้องต้นต้องถือว่าเป็นคนโชคดี คงจำได้ว่ากลุ่มบุคคลชาวโรฮิงญาที่พยายามหลบหนีเข้าเมืองเป็นบุคคลที่น่าสงสาร เพราะไม่มีแผ่นดินที่จะถือว่าตนเป็นเจ้าของ เป็นคนไร้สัญชาติ แม้จะมีเผ่าพันธุ์และศาสนาที่แน่นอน คนซึ่งมีสิทธิเป็นเจ้าของแผ่นดิน เป็นสมาชิกของคนในแผ่นดินนั้น เป็นคนที่มีอัตลักษณ์ร่วมกับผู้อื่นเป็นสิบๆ ล้านคน เป็นความโชคดีมหาศาล
แต่สิ่งที่น่าคิดก็คือ ถ้าเด็กโตขึ้นจะดีใจและภูมิใจมากถ้า Thailand หรือประเทศไทย ที่ตนเป็นเจ้าของด้วยความภูมิใจนั้นอยู่กันด้วยความผาสุกและสันติสุขภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความสมัครสมานสามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกัน ต่างคนต่างมีส่วนในการพัฒนาสังคมและประเทศเพื่อให้เป็นมรดกของลูกหลานต่อไป เป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขและสงบทางใจจากคำสอนของศาสนาซึ่งมีอยู่หลากหลาย และภายใต้แผ่นดินขวานทองนี้อันประกอบด้วยกว่า 50 เผ่าพันธุ์ ต่างก็มีอัตลักษณ์และจิตสำนึกว่าตนเป็นคนไทยมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เด็กๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกันนี้ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ในสังคมที่มีลักษณะดังกล่าวมาข้างต้นคงจะภูมิใจและดีใจเป็นอย่างมากที่เกิดมาเป็นสมาชิกของแผ่นดินดังกล่าว
แต่กลับกัน ถ้าเด็กโตขึ้นและรู้ว่าแผ่นดินที่ตนมีส่วนเป็นเจ้าของ ซึ่งประกอบด้วยคนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ตนมีความภูมิใจกำลังเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง แตกแยกจนไม่สามารถจะพูดคุยกันได้อย่างสันติวิธี เป็นสังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบของคนกลุ่มเล็กๆ ต่อคนกลุ่มใหญ่ ซึ่งต้องหาเช้ากินค่ำ ระบบการปกครองบริหารไม่สามารถจะบันดาลให้เกิดความผาสุกและสันติสุขได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นธรรมในสังคมในแง่การแจกแจงรายได้ ที่สำคัญก็คือ ในขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจโลกกำลังเกิดขึ้น และประเทศที่ตนภูมิใจก็กำลังแก้ปัญหาวิกฤตนั้นยังต้องเผชิญกับวิกฤตใหญ่ๆ อีกคือ ความขัดแย้งในทางการเมืองที่ยังไม่ลงตัว ความแตกแยกในทางสังคมที่มีจุดยืนทางการเมืองต่างกัน รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค พร้อมกับการแตกแยกทางอุดมการณ์ทางการเมืองเกี่ยวเนื่องกับระบบการเมือง การปกครองบริหาร เลยไปถึงผลกระทบต่อความเป็นเอกรัฐ (unitary state) เด็กจะรู้สึกอย่างไร
ถ้าจะช่วยคิดแทนเด็กอายุ 6 ขวบ เด็กอาจจะมีสิทธิคาดหวังให้ผู้ใหญ่ซึ่งผ่านชีวิตมาก่อน มีประสบการณ์มากกว่าตนช่วยดูแลประเทศชาติ ทำการแก้ไขสภาพที่ไม่พึงประสงค์เบื้องต้น และเพื่อตนจะได้อาศัยอยู่ได้อย่างมีความสุขและมีความหวัง และจะได้รับภารกิจจากการดูแลต่อไป แต่ถ้าหากผู้ใหญ่ซึ่งกำลังดูแลบ้านเมืองอยู่ในปัจจุบัน หรือเป็นประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองบริหารในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะใช้เหตุใช้ผลในการแก้ปัญหาความขัดแย้งเพื่อจะนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตจนเกิดความหวังที่จะฟื้นจากวิกฤตเพื่อจะได้มีการพัฒนาในอนาคตรองรับคนรุ่นใหม่ที่เป็นเด็กและเยาวชนต่อไป “Thailand, my country” จะยังเป็นสิ่งที่เด็กอายุขนาดนี้เป็นสิบๆ ล้านคน สามารถจะเปล่งเสียงอันดังด้วยความภูมิใจได้หรือไม่
การเปล่งเสียงของเด็กอายุ 6 ขวบ เพียงประโยคเดียวซึ่งได้รับการตอบรับจากการยิ้มของผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่อยู่บนเครื่องบิน เป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ เหตุการณ์หนึ่ง แต่ความหมายและนัยมีความสำคัญอย่างมหาศาลต่อหน่วยการเมืองที่เรียกว่าประเทศไทย และต่อประชาชาติที่อยู่ภายใต้แผ่นดินรูปขวานทองที่เรียกว่าคนไทย
“Thailand, my country” มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ต่อคำว่า ประเทศไทย และมีนัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อคนที่เรียกตนเองว่า คนไทย
จากการฟังคำบอกเล่าจากแม่ (ลูกสะใภ้ของผู้เขียน) ของเด็กได้ทราบว่า การที่ไปเรียนในโรงเรียนที่ประกอบด้วยคนต่างชาติจำนวนมากโดยเวลาได้ผ่านมาเกือบสามปี อายุของเด็กเริ่มโตพอที่จะสังเกตเห็นความแตกต่าง เช่น สังเกตว่าตนเองนั้นมีผมเป็นสีดำ ผิวพรรณแตกต่างจากชาวตะวันตกซึ่งมีผมเป็นสีทอง และได้มีการพูดจาภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และบางครั้งก็ภาษาสวิสในห้องเรียน จึงถามแม่ของตนว่า ทำไมคนเหล่านั้นไม่พูดภาษาไทย แต่ทำไมตนเองต้องพูดภาษาอังกฤษ พร้อมกันนั้นก็ขอให้แม่ช่วยชี้ประเทศของเพื่อนๆ บนหนังสือแผนที่ รวมทั้งชี้แผนที่ประเทศไทยด้วย
ถ้าจะวิเคราะห์เบื้องต้นน่าจะวิเคราะห์ได้ว่า เด็กเริ่มเห็นความแตกต่างระหว่างตนและเพื่อน และเริ่มตระหนักถึงตัวตนซึ่งทางวิชาการเรียกว่าอัตลักษณ์ รวมทั้งความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกับคนที่เป็นชาติเดียวกับตน ขณะเดียวกันก็แตกต่างจากชาติอื่น จึงเริ่มสังเกตสังกาถึงความแตกต่างของผิวพรรณ สีผม ภาษาที่พูด ซึ่งนำไปสู่ความสงสัยจนมีการตั้งคำถามดังกล่าว การอยู่ในกลุ่มที่มีลักษณะใกล้เคียงกันนั้นเป็นเรื่องปกติของสิ่งมีชีวิตทำให้เกิดความอุ่นใจ เช่น นกประเภทเดียวกันก็จะอยู่ด้วยกัน คนดำหนึ่งคนที่อยู่ท่ามกลางคนขาวเป็นร้อยๆ คนย่อมจะรู้สึกถึงความเป็นคนแปลกหน้า ทำนองเดียวกัน ชาวตะวันตกหนึ่งคนที่อยู่ท่ามกลางคนเอเชียเป็นร้อยๆ คนจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับคนดำ และกลับกันฉันใดก็ฉันนั้นสำหรับคนเอเชียที่อยู่ท่ามกลางฝรั่งจำนวนมาก
การมีอัตลักษณ์ก็คือการพูดภาษาของกลุ่ม การเข้าใจวัฒนธรรมของกลุ่ม เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีและแบบแผนปฏิบัติ รวมทั้งแบบกระสวนของพฤติกรรมของกลุ่ม จึงรู้ว่าตนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่ม เช่น เป็นคนไทย จีน ญี่ปุ่น ลักษณะร่วมอาจจะรวมถึงศาสนา การแต่งกาย การรับประทานอาหารของกลุ่ม การเข้าร่วมในการเฉลิมฉลองงานนักขัตฤกษ์ต่างๆ การร้องเพลง การเต้นรำ ฯลฯ
แต่ในยุคโลกาภิวัตน์ความรู้สึกที่เป็นลักษณะพิเศษของแต่ละชนชาติเผ่าพันธุ์ แม้จะยังเหลืออยู่แต่ก็มีวัฒนธรรมสากลที่ทำให้ความแตกต่างของกลุ่มลดลง เช่น การพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วโลก การฉลองคริสต์มาส การฉลองปีใหม่ การรับประทานอาหารแบบผสม เช่น ฝรั่งกินข้าวแกง ไทยกินขนมปัง ญี่ปุ่นกินอาหารจีน จีนกินปลาดิบ แต่ถึงแม้จะมีลักษณะร่วมดังกล่าวความแตกต่างของเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนายังคงมีอยู่ โลกยังไม่ถูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวจนกลายเป็นสังคมโลกและประชากรโลก
จากที่กล่าวมาแล้วนั้นเมื่อเครื่องบินที่บินมาจากสวิตเซอร์แลนด์เข้าเขตประเทศไทย จากคำบอกเล่าของแม่เด็กปรากฏว่าหลานชายของผู้เขียนเกิดความตื่นเต้นขนาดหนักเพราะกำลังเดินทางกลับสู่ประเทศไทยหรือกลับบ้าน จึงเริ่มพูดจามากขึ้นด้วยความตื่นเต้น และทันทีเครื่องบินเตะพื้นก็ได้ตะโกนเป็นภาษาอังกฤษว่า Thailand, my country ผู้โดยสารคนอื่นๆ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศส่วนใหญ่ต่างก็ยิ้มในความตื่นเต้นและความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กอายุ 6 ขวบ แต่ในความเป็นจริงทุกคนก็อาจรู้ดีว่าคำพูดดังกล่าวนั้นมีนัยสำคัญอย่างยิ่งถึงความภูมิใจในอัตลักษณ์ของตน รวมทั้งความรู้สึกว่าตนเป็นบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกของประเทศๆ หนึ่งที่เรียกว่า “Thailand “ และคำว่า “my country” มีความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่งที่ว่า แผ่นดินประเทศไทยหรือสยามในอดีตเขามีส่วนเป็นเจ้าของ
ถึงแม้เด็กอาจจะไม่มีความรู้ลึกซึ้งพอที่จะคิดเยี่ยงที่กล่าวมานี้ แต่เนื้อหาในความเป็นจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
ความผูกพันต่อแผ่นดิน ความภูมิใจที่เป็นคนของชาติหนึ่งซึ่งแตกต่างจากชาติอื่น เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ และที่สำคัญคือ คนที่สามารถจะกล่าวว่าตนเป็นคนชาติใด และประเทศชาติที่ตนเป็นพลเมืองชื่อประเทศอะไรนั้น เบื้องต้นต้องถือว่าเป็นคนโชคดี คงจำได้ว่ากลุ่มบุคคลชาวโรฮิงญาที่พยายามหลบหนีเข้าเมืองเป็นบุคคลที่น่าสงสาร เพราะไม่มีแผ่นดินที่จะถือว่าตนเป็นเจ้าของ เป็นคนไร้สัญชาติ แม้จะมีเผ่าพันธุ์และศาสนาที่แน่นอน คนซึ่งมีสิทธิเป็นเจ้าของแผ่นดิน เป็นสมาชิกของคนในแผ่นดินนั้น เป็นคนที่มีอัตลักษณ์ร่วมกับผู้อื่นเป็นสิบๆ ล้านคน เป็นความโชคดีมหาศาล
แต่สิ่งที่น่าคิดก็คือ ถ้าเด็กโตขึ้นจะดีใจและภูมิใจมากถ้า Thailand หรือประเทศไทย ที่ตนเป็นเจ้าของด้วยความภูมิใจนั้นอยู่กันด้วยความผาสุกและสันติสุขภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความสมัครสมานสามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกัน ต่างคนต่างมีส่วนในการพัฒนาสังคมและประเทศเพื่อให้เป็นมรดกของลูกหลานต่อไป เป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขและสงบทางใจจากคำสอนของศาสนาซึ่งมีอยู่หลากหลาย และภายใต้แผ่นดินขวานทองนี้อันประกอบด้วยกว่า 50 เผ่าพันธุ์ ต่างก็มีอัตลักษณ์และจิตสำนึกว่าตนเป็นคนไทยมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เด็กๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกันนี้ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ในสังคมที่มีลักษณะดังกล่าวมาข้างต้นคงจะภูมิใจและดีใจเป็นอย่างมากที่เกิดมาเป็นสมาชิกของแผ่นดินดังกล่าว
แต่กลับกัน ถ้าเด็กโตขึ้นและรู้ว่าแผ่นดินที่ตนมีส่วนเป็นเจ้าของ ซึ่งประกอบด้วยคนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ตนมีความภูมิใจกำลังเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง แตกแยกจนไม่สามารถจะพูดคุยกันได้อย่างสันติวิธี เป็นสังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบของคนกลุ่มเล็กๆ ต่อคนกลุ่มใหญ่ ซึ่งต้องหาเช้ากินค่ำ ระบบการปกครองบริหารไม่สามารถจะบันดาลให้เกิดความผาสุกและสันติสุขได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นธรรมในสังคมในแง่การแจกแจงรายได้ ที่สำคัญก็คือ ในขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจโลกกำลังเกิดขึ้น และประเทศที่ตนภูมิใจก็กำลังแก้ปัญหาวิกฤตนั้นยังต้องเผชิญกับวิกฤตใหญ่ๆ อีกคือ ความขัดแย้งในทางการเมืองที่ยังไม่ลงตัว ความแตกแยกในทางสังคมที่มีจุดยืนทางการเมืองต่างกัน รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค พร้อมกับการแตกแยกทางอุดมการณ์ทางการเมืองเกี่ยวเนื่องกับระบบการเมือง การปกครองบริหาร เลยไปถึงผลกระทบต่อความเป็นเอกรัฐ (unitary state) เด็กจะรู้สึกอย่างไร
ถ้าจะช่วยคิดแทนเด็กอายุ 6 ขวบ เด็กอาจจะมีสิทธิคาดหวังให้ผู้ใหญ่ซึ่งผ่านชีวิตมาก่อน มีประสบการณ์มากกว่าตนช่วยดูแลประเทศชาติ ทำการแก้ไขสภาพที่ไม่พึงประสงค์เบื้องต้น และเพื่อตนจะได้อาศัยอยู่ได้อย่างมีความสุขและมีความหวัง และจะได้รับภารกิจจากการดูแลต่อไป แต่ถ้าหากผู้ใหญ่ซึ่งกำลังดูแลบ้านเมืองอยู่ในปัจจุบัน หรือเป็นประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองบริหารในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะใช้เหตุใช้ผลในการแก้ปัญหาความขัดแย้งเพื่อจะนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตจนเกิดความหวังที่จะฟื้นจากวิกฤตเพื่อจะได้มีการพัฒนาในอนาคตรองรับคนรุ่นใหม่ที่เป็นเด็กและเยาวชนต่อไป “Thailand, my country” จะยังเป็นสิ่งที่เด็กอายุขนาดนี้เป็นสิบๆ ล้านคน สามารถจะเปล่งเสียงอันดังด้วยความภูมิใจได้หรือไม่
การเปล่งเสียงของเด็กอายุ 6 ขวบ เพียงประโยคเดียวซึ่งได้รับการตอบรับจากการยิ้มของผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่อยู่บนเครื่องบิน เป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ เหตุการณ์หนึ่ง แต่ความหมายและนัยมีความสำคัญอย่างมหาศาลต่อหน่วยการเมืองที่เรียกว่าประเทศไทย และต่อประชาชาติที่อยู่ภายใต้แผ่นดินรูปขวานทองที่เรียกว่าคนไทย
“Thailand, my country” มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ต่อคำว่า ประเทศไทย และมีนัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อคนที่เรียกตนเองว่า คนไทย