มติบอร์ด สปสช.เตรียมเสนอ ครม.ขยายสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมคนไร้สัญชาติที่รอการพิสูจน์สิทธิ์กว่า 3.7 แสนคน เฉพาะที่เกิดในไทย-อยู่มานาน เริ่มตั้งแต่ปี 52 ชี้รักษาพยาบาลเพื่อมนุษยชน ลด รพ.ทุรกันดารตะเข็บชายแดนแบกรับภาระค่าใช้จ่าย
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งในที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่อง “การสร้างหลักประกันสุขภาพสำหรับประชาชนที่อยู่ระหว่างรอการพิสูจน์สิทธิ และอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวร”
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสปสช. กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการให้ประชาชนประชาชนที่เกิดในประเทศไทยแต่ยังไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้และอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานซึ่งมีอยู่ประมาณ 370,000 คน ให้มีหลักประกันสุขภาพ โดยจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณเหมาจ่ายรายหัวครอบคลุมบุคคลกลุ่มดังกล่าว โดยเริ่มในงบเหมาจ่ายรายหัวที่ได้รับ ปี 2552 ในอัตรา 2,202 บาทต่อประชากร ซึ่งเป็นไปตามตามจำนวนที่มีการขึ้นทะเบียนจริง
“งบประมาณที่จะขอเพิ่มขึ้นคาดว่าจะต้องใช้ประมาณ 600 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณก้อนเดียวกับงบเหมาจ่ายรายหัว ซึ่งเป็นการให้เฉพาะสิทธิในการรักษาพยาบาลไม่เกี่ยวกับสิทธิอื่นๆ เช่น การถือครองที่ดิน ความมั่นคง สิทธิการศึกษา จึงมั่นใจว่า ครม.จะเห็นชอบในหลักการ เพราะหากไม่อนุมัติงบประมาณส่วนดังกล่าว ก็จะเป็นภาระของสถานพยาบาลในพื้นที่ที่ต้องให้ความช่วยเหลือ” นพ.วินัยกล่าว
นพ.วินัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา รพ.ในถิ่นทุรกันดารโดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ตาก แม่ฮ่องสอน ต้องรับภาระด้านงบประมาณคนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือตามมนุษยธรรม โดยก่อนที่จะมีระบบหลักประกันสุขภาพยังพอมีงบประมาณช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยมาดูแล แต่ปัจจุบันสิทธิด้านการรักษาครอบคลุมคนไทยทุกคน คนที่รอการพิสูจน์สัญชาติจึงไม่มีงบใดๆ มาช่วยเหลือ และหากไม่ดูแลคนกลุ่มนี้ ก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาด หรือเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ ทำให้สถานพยาบาลต้องรับภาระหนักขึ้นในการดูแล
นพ.วินัย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ การขยายสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองให้ครอบคลุมประชาชนที่กำลังรอการพิสูจน์สัญชาติไทยนั้น เป็นมติของคณะกรรมการฯมาตั้งแต่ปี 2548 แล้ว แต่ยังไม่ได้มีการเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เนื่องจากคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องให้ชะลอไว้ก่อน
เดิมนั้นตั้งเป้าหมายไว้มากกว่านี้ แต่ภายในกลุ่มนี้ได้รับสิทธิไปบ้างแล้ว เช่น นักเรียนและนักศึกษาที่ได้รับสิทธิการศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการ คนที่มีประวัติและเลขทะเบียนตามกฎหมายทะเบียนราษฎรและได้รับผ่อนผันให้อยู่ชั่วคราว คนที่มีใบต่างด้าวและมีถิ่นที่อยู่ถาวรในประเทศไทย และกลุ่มคนไร้รากเหง้าและเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์ ได้รับสิทธิบัตรทองต่อเนื่องจากบัตรสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล (สปร.) และบัตรประกันสุขภาพ ทำให้เหลือผู้ไม่มีสิทธิใดๆ ประมาณ 370,000 คน ทั้งนี้ งบประมาณดังกล่าวไม่รวมแรงงานอพยพซึ่งมีอีกเป็นจำนวนมาก
