ASTVผู้จัดการรายวัน - คดีแม่ “น้องโบว์”พันธมิตรฯที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 7 ตุลาเลือด ฟ้อง “สุรพล ทวนทอง” อดีตรองโฆษกตำรวจ หมิ่นผู้ตายกล่าวหาพกระเบิดไปชุมนุมเองจนเสียชีวิต ไกล่เกลี่ยสำเร็จ จำเลย ยอมทำบันทึกแสดงความเสียใจ สำนึกผิด และกราบขอบพระคุณ ศาลสั่งจำหน่ายคดี จบลงแบบสมานฉันท์
วานนี้ (16 ก.พ.) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ อ.4167/2551 ที่ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รับมอบอำนาจจาก นางวิชชุดา ระดับปัญญาวุฒิ มารดาของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ อายุ 27 ปี นักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค)ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายด้วยการโฆษณา และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีแถลงข่าวกล่าวหาว่า น.ส.อังคณา เสียชีวิตเนื่องจากมีระเบิดอยู่ในกระเป๋าถือ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2551
โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายได้เดินทางมาที่ศาล และศาลได้แนะนำให้คู่ความไกล่เกลี่ยกัน เพื่อนำคดีเข้าสู่กระบวนการประนอมข้อพิพาท ปรากฏว่า คู่ความสามารถสมานฉันท์กันได้ โดยจำเลยได้ทำบันทึกแสดงความเสียใจและกราบขอบพระคุณ โจทก์ โดยระบุว่า ในช่วงเกิดเหตุในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนพาดพิงไปถึงการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา หรือน้องโบว์ เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนว่า น.ส.อังคณา หรือ น้องโบว์ พกพาระเบิดในขณะชุมนุม ซึ่งการแถลงข่าวดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้น เนื่องจากตั้งใจจะเตือนพี่น้องประชาชนที่เข้าชุมนุมด้วยอุดมการณ์ให้ระมัดระวังผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองพกพาอาวุธแฝงตัวเข้ามาในการชุมนุม โดยจำเลยยืนยันกับโจทก์ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเชื่อมาตลอดว่า น.ส.อังคณา หรือ น้องโบว์ ไม่ได้มีระเบิดในกระเป๋า หรือหนีบระเบิดมาในชุมชนแต่อย่างใด หากโจทก์ประสงค์ที่จะให้บ้านเมืองและพี่น้องประชาชนเกิดความสมานฉันท์อย่างแท้จริงขอให้ยอมให้อภัยแก่จำเลย
หลังจากนั้น นางวิชชุดา โจทก์ ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง โดยศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คดีจึงจบลงด้วยความสมานฉันท์
สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.51 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยในฐานะรองโฆษก ตร.ได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมาย โดยแถลงข่าวใส่ร้ายป้ายสีผู้ตายว่า “สำหรับการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตจากใบชันสูตรพบว่าซี่โครงบริเวณด้านซ้ายหักทุกซี่ น่าจะเกิดจากการหนีบระเบิด หรือมีระเบิดอยู่ในกระเป๋าที่หนีบมา บาดแผลเกินกว่าที่อาวุธของเจ้าหน้าที่มีอยู่” ข้อความดังกล่าวเป็นเท็จทั้งสิ้น ความจริงแล้วผู้ตายมีแผลขนาดใหญ่ เป็นรอยไหม้ มีเขม่า ซึ่ง ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี๋ยวนิ่ม หัวหน้าหน่วยนิติเวช ภาควิชาพยาธิวิทยา ยืนยันว่าลักษณะบาดแผลของผู้ตายเกิดจากเป็นบาดแผลไม่เรียบ เกิดจากความแข็งมีรอยไหม้ เนื่องจากวัตถุมีความร้อน ตับและม้ามแตกจากวัตถุที่มีแรงอัด เกิดจากระเบิดในระยะใกล้ตัว ไม่ติดกับลำตัว เนื่องจากซี่โครงร้อยเป็นแนวยาว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เสียชีวิตจะพกวัตถุระเบิดติดตัว
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกล่าวใส่ร้ายผู้ตายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า ผู้ตายเป็นผู้หญิงไม่ดี มีนิสัยก้าวร้าว ดุดัน พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ครอบครัวบิดา มารดา และครูบาอาจารย์ไม่สั่งสอน และเป็นการมุ่งเจตนาใส่ร้ายให้ผู้ตายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงเป็นการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายโดยการโฆษณา
นอกจากนี้ จำเลยในฐานะรองโฆษก ตร.เป็นเจ้าพนักงาน ได้กล่าวข้อความอันเป็นเท็จต่อสื่อมวลชน ซึ่งเป็นการใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่ 3 จึงเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อีกด้วย.
วานนี้ (16 ก.พ.) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ อ.4167/2551 ที่ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รับมอบอำนาจจาก นางวิชชุดา ระดับปัญญาวุฒิ มารดาของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ อายุ 27 ปี นักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค)ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายด้วยการโฆษณา และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีแถลงข่าวกล่าวหาว่า น.ส.อังคณา เสียชีวิตเนื่องจากมีระเบิดอยู่ในกระเป๋าถือ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2551
โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายได้เดินทางมาที่ศาล และศาลได้แนะนำให้คู่ความไกล่เกลี่ยกัน เพื่อนำคดีเข้าสู่กระบวนการประนอมข้อพิพาท ปรากฏว่า คู่ความสามารถสมานฉันท์กันได้ โดยจำเลยได้ทำบันทึกแสดงความเสียใจและกราบขอบพระคุณ โจทก์ โดยระบุว่า ในช่วงเกิดเหตุในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนพาดพิงไปถึงการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา หรือน้องโบว์ เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนว่า น.ส.อังคณา หรือ น้องโบว์ พกพาระเบิดในขณะชุมนุม ซึ่งการแถลงข่าวดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้น เนื่องจากตั้งใจจะเตือนพี่น้องประชาชนที่เข้าชุมนุมด้วยอุดมการณ์ให้ระมัดระวังผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองพกพาอาวุธแฝงตัวเข้ามาในการชุมนุม โดยจำเลยยืนยันกับโจทก์ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเชื่อมาตลอดว่า น.ส.อังคณา หรือ น้องโบว์ ไม่ได้มีระเบิดในกระเป๋า หรือหนีบระเบิดมาในชุมชนแต่อย่างใด หากโจทก์ประสงค์ที่จะให้บ้านเมืองและพี่น้องประชาชนเกิดความสมานฉันท์อย่างแท้จริงขอให้ยอมให้อภัยแก่จำเลย
หลังจากนั้น นางวิชชุดา โจทก์ ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง โดยศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คดีจึงจบลงด้วยความสมานฉันท์
สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.51 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยในฐานะรองโฆษก ตร.ได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมาย โดยแถลงข่าวใส่ร้ายป้ายสีผู้ตายว่า “สำหรับการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตจากใบชันสูตรพบว่าซี่โครงบริเวณด้านซ้ายหักทุกซี่ น่าจะเกิดจากการหนีบระเบิด หรือมีระเบิดอยู่ในกระเป๋าที่หนีบมา บาดแผลเกินกว่าที่อาวุธของเจ้าหน้าที่มีอยู่” ข้อความดังกล่าวเป็นเท็จทั้งสิ้น ความจริงแล้วผู้ตายมีแผลขนาดใหญ่ เป็นรอยไหม้ มีเขม่า ซึ่ง ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี๋ยวนิ่ม หัวหน้าหน่วยนิติเวช ภาควิชาพยาธิวิทยา ยืนยันว่าลักษณะบาดแผลของผู้ตายเกิดจากเป็นบาดแผลไม่เรียบ เกิดจากความแข็งมีรอยไหม้ เนื่องจากวัตถุมีความร้อน ตับและม้ามแตกจากวัตถุที่มีแรงอัด เกิดจากระเบิดในระยะใกล้ตัว ไม่ติดกับลำตัว เนื่องจากซี่โครงร้อยเป็นแนวยาว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เสียชีวิตจะพกวัตถุระเบิดติดตัว
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกล่าวใส่ร้ายผู้ตายให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า ผู้ตายเป็นผู้หญิงไม่ดี มีนิสัยก้าวร้าว ดุดัน พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ครอบครัวบิดา มารดา และครูบาอาจารย์ไม่สั่งสอน และเป็นการมุ่งเจตนาใส่ร้ายให้ผู้ตายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงเป็นการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายโดยการโฆษณา
นอกจากนี้ จำเลยในฐานะรองโฆษก ตร.เป็นเจ้าพนักงาน ได้กล่าวข้อความอันเป็นเท็จต่อสื่อมวลชน ซึ่งเป็นการใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่ 3 จึงเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อีกด้วย.