xs
xsm
sm
md
lg

สุขุมพันธุ์ขอคุมผับเบ็ดเสร็จ“ชูวิทย์”ฉะสรรพสามิตห่วย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - “ชูวิทย์” ชี้สถานบันเทิงในกทม. 90 % ผิดกฎหมาย ไม่มีใบอนุญาต เตือนตำรวจดูแลให้ดี พร้อมเสนอให้ กทม.มีอำนาจสั่งปิดสถานบันเทิงที่ไม่มีใบอนุญาต พร้อมฉะสรรพสามิตห่วย เก็บภาษีร้อยล้าน ยันความจริงต้องหมื่นล้าน ด้าน “สุขุมพันธุ์” เตรียมประสานรัฐบาลขอมีอำนาจเบ็ดเสร็จเรื่องสถานบันเทิง พร้อมเตรียมแก้-อุดช่องโหว่กฎหมาย แถมให้ “เสี่ยอ่าง” วิจารณ์หาก 3 เดือนไม่เห็นผลขณะที่ รมช.คลังสั่งตั้งกรรมการสอบภาษีซานติกาขีดเส้น 15 วันได้ข้อสรุป

วานนี้(12 ก.พ.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และผู้เชี่ยวชาญสถานบันเทิงของเมืองไทย เดินทางมายังศาลาว่าการกทม.เพื่อเข้าให้ข้อมูล ข้อเสนอแนะช่องโหว่เกี่ยวกับสถานบันเทิงในพื้นที่ กทม.ตามคำเชิญของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.

**แฉสถานบันเทิง 90%ผิด กม.
นายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าพบว่า ขณะนี้ สถานบริการในพื้นที่กทม.ส่วนใหญ่ 90 % นั้นผิดกฎหมาย ไม่มีใบอนุญาตเพราะมีกฎหมายโซนนิ่งบังคับอยู่ อย่างสถานบันเทิงย่านเอกมัย ทองหล่อ ไม่มีใบอนุญาต เพราะสถานีตำรวจที่สามารถออกใบอนุญาตสถานบันเทิงได้มีเพียง 3 แห่งเท่านั้น คือ สน.สุทธิสาร สน.เอกมัย และสน.มักกะสัน ดังนั้นคนที่จะลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้มีน้อยแต่ตนจำเป็นต้องออกมาเพราะอยากให้สังคมได้รับบทเรียนของซานติก้า ผับซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 66 คนมันไม่น้อยและการที่กทม.จะเป็นเมืองมหานคร จะเป็นเมืองท่องเที่ยว จึงต้องแก้ปัญหาแบบนี้ให้ได้บทเรียนของซานติก้าจะไม่ใช่ที่สุดท้ายแน่นอน ดังนั้นเราจึงต้องมีการป้องกันให้ถูกต้อง
ทั้งนี้ หลังจากที่ตนพบผู้ว่าฯกทม. คนต่อไปที่ตนอยากเจอก็คือนายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดก็บภาษีสรรพสามิตสถานบริการที่เก็บได้เพียง 100 ล้านบาทต่อปีซึ่งเป็นรายได้ที่ต่ำกว่าเป้า และ 100 ล้านบาทนั้นเป็นแค่การจัดการภาษีสรรพสามิตสถานบริการบนถนนรัชดาภิเษกเท่านั้น ทั้งที่จริงควรจะเก็บได้ถึง 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นจัดเก็บในกทม. 5,000 ล้านบาท และทั่วประเทศอีก 5,000 ล้านบาท ซึ่งการส่งคนไปประเมินว่าจะจัดเก็บภาษีเท่าไหร่นั้นจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญไปประเมิน เช่น อย่างตนเป็นต้น นอกจากนี้ตนอยากไปหารือกับนายพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หากมีความใจกว้างพอขวาง และหากประชาธิปัตย์มองหาการเมืองใหม่ตนพร้อมจะเข้าไปให้ข้อมูล
นายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์ หลังเข้าพบม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ด้วยว่า 9 ใน 10 ของสถานบันเทิงในพื้นที่กทม.นั้นผิดกฎหมายทั้งสิ้นตามกฎหมายโซนนิ่ง และปัจจุบันโซนนิ่งมี 3 โซนคือ โซนนิ่งรัชดา อาร์ซีเอ และโซนนิ่งเพชรบุรี นอกเหนือจากนี้ต้องปิดเที่ยงคืนหมด แต่สิ่งที่ตนพูดจะเป็นผลร้ายให้ผู้ประกอบการตนอยากจะให้สถานบริการในกทม.ทั้งหมดได้รับผลประโยชน์เพราะเราจะทำกทม.เป็นแหล่งท่องเที่ยว สถานบริการแถวทองหล่อ เอกมัย นานา เกษตรนวมินทร์ สุทธิสาร ข้าวสาร ตนมั่นใจว่ากทม.ไม่มีหมัดเด็ดที่จะจัดการกับสถานบันเทิงที่กระทำผิดกฎหมายเนื่องจากกทม.ไม่มีอำนาจไปสั่งปิดเพราะอำนาจเหล่านี้อยู่ที่ตำรวจเท่านั้น และเมื่ออำนาจอยู่ที่ตำรวจ ตำรวจย่อมหวงอำนาจเพราะไม่อยากให้ใครสั่งปิดดังนั้นตนจึงได้แนะนำเครื่องมือหลายอย่างให้กับกทม. เช่น ใบอันตรายต่อสุขภาพซึ่งจริงๆต้องมีการควบคุมเพราะมีกฎหมายที่ต้องกำหนดกิจการที่ต้องควบคุมอันตรายต่อสุขภาพ เช่น สถานบริการเสียงดัง
“การปฏิบัติหน้าที่ของกทม.ลำบากมาก และกทม.เป็นแค่ต้นน้ำใบอนุญาตก่อสร้าง หลังจากนั้นแล้วผู้ตรวจ ผู้ปิดคือตำรวจทั้งสิ้น ดังนั้นตั้งแต่นี้ต่อไปผมจะเดินหน้าเปิดเผยสถานบริการที่ไม่ถูกต้องในท้องที่ต่าง ๆเพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจหากรู้ตัวก็รีบกำชับในท้องที่ของตัวเอง ผมไม่อยากจะไปพูดแต่เนื่องจากเหตุการณ์ซานติก้า เสียชีวิต 66 คน ผมจึงต้องทำ ทั้งนี้ผมเห็นใจกทม.เพราะนอกจากเจ้าหน้าที่จะมีอยู่อย่างจำกัด แล้วจะไปโทษคนก่อสร้าง คนออกใบอนุญาตก็ไม่ได้ เพราะผู้ประกอบการคือกลจักรสำคัญ ทั้งนี้ผมขอท้าตำรวจเลยใบอนุญาตที่ตำรวจมีมีแต่รูปของนอมินีทั้งนั้นมีแต่เด็กรับรถ แม่บ้านที่ถือแทน ไม่มีเจ้าของคนไหนที่ขอใบอนุญาตเองเพราะไม่มีใครอยากจะติดคุก ดังนั้นจึงไม่ต้องไปหาหรอกใบอนุญาตที่รูปเจ้าของตัวจริงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้บางครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เป็นใจเสียเองเพราะเห็นสถานบริการมาเปิดในพื้นที่ ก็ตีปีกเพราะจะได้เงิน และยังจะไปชี้ช่องทางให้อีก” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้สถานบริการส่วนใหญ่จะมีองค์ประกอบหลัก 3 อย่างคือ เมา มืด แน่น ซึ่งตนมีข้อเสนอ 3 ประการคือ ประการแรกให้มีการระบุจำนวนคนที่เข้าไปใช้บริการได้ เช่น เข้าได้ 500 คน ก็ต้อง 500 คนเท่านั้นต้องมีการเข้าคิวแบบต่างประเทศ และหากออก 10 คนเข้าได้ 10 คน ประการที่สอง อยากให้กทม.มีอำนาจระงับใช้อาคารได้ไม่ใช่ต้องรออาคารทรุดถึงจะไปปิด และประการที่ 3 ในการขอใบอนุญาตก่อสร้างให้กทม.ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นอาคารพาณิชย์หรือสถานบันเทิง

**สุขุมพันธุ์ขออำนาจคุมเบ็ดเสร็จ
ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายชูวิทย์ว่า ข้อมูลของนายชูวิทย์บางส่วนทำให้ตนตกใจมาก เช่น จำนวนร้านที่ไม่มีใบอนุญาตที่มีจำนวนมากจนน่าตกใจ ทั้งนี้จากการหารือกันแล้วและทราบว่าปัญหาอยู่ในจุดในใดบ้าง ตนก็จะมีการผลักดัน ใน 3 ส่วน ได้แก่ 1.จะมีการประสานกับรัฐบาลกลางและหน่วยงานของรัฐ เพื่อเสนอขอถ่ายโอนอำนาจการออกใบอนุญาต สถานประกอบการให้มาอยู่ในความดูแลของ กทม. เพื่อให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการแก้ปัญหาเหมือนเช่น เมืองใหญ่ ๆทั่วโลก ซึ่งในเรื่องนี้ก็จะรวบรวบข้อมูลเพื่อหารือกับตำรวจนครบาล(บช.น.)เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันด้วย 2.จะดูกฎหมายว่า กทม.สามารถเพิ่มเติมข้อบัญญัติเพื่อให้กฎหมายมีความสมบูรณ์หรือเข้มข้นขึ้นจากเดิม เนื่องจากยังพบว่ามีช่องว่างทางกฎหมายอยู่หลายจุด โดยเฉพาะเรื่องการระงับการใช้อาคารที่ยังมีกระบวนการมากมายกว่าจะระงับได้ และ3.หากมีการเพิ่มเติมข้อบัญญัติไม่ได้ก็จะมีการประสานรัฐบาลกลางเพื่อออกเป็นข้อบัญญัติใหญ่นำมาใช้ควบคุม
อย่างไรก็ตามตนอยากให้นายชูวิทย์ ติดตามการทำงานของ กทม.ในเรื่องนี้ ซึ่งตนคาดว่าน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงก่อน 3 เดือน หากหลังจาก 3 เดือนแล้วนายชูวิทย์เห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ช่วยวิพากษ์ วิจารณ์การทำงานของตนด้วย

***รมช.คลังสั่งสอบภาษีซานติกา
นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการเสียภาษีสรรพสามิตสถานบริการกรณีซานติกาผับ โดยให้นายสถิต ลิ่มพงษ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน ซึ่งจะให้มีการติดตามข้อเท็จจริงการเสียภาษีตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาและได้กำหนดระยะเวลาในการตรวจสอบ 15 วันเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสถานบริการทั้งระบบ ซึ่งจากการรายงานข้อมูลของกรมสรรพสามิตในเบื้องต้นพบว่าซานติกาผับไม่ได้มีการจดทะเบียนการเสียภาษีสรรพสามิตสถานประกอบการแต่อย่างใด มีเพียงการชำระภาษีการจำหน่ายสุราและบุหรี่เท่านั้น
“ผมจะถือโอกาสนี้หลังจากที่ได้ข้อสรุปการตรวจสอบเรื่องซานติกาแล้วจะสังคายนาภาษีสรรพสามิตสถานประกอบการโดยจะดึงสถานประกอบการที่อยู่นอกระบบไม่ได้มีการจดทะเบียนเข้ามาอยู่ในระบบ ซึ่งกรรมการชุดนี้จะจัดทำรายงานทั้งหมดอย่างละเอียดว่าที่ผ่านมาซานติกามีการเสียภาษีอย่างไรและมีพฤติกรรมต่อกรมอย่างไรบ้าง” นายพฤฒิชัยกล่าวและว่า จากข้อมูลดังกล่าวจะนำมาประกอบการพิจารณาแก้ไขกฎหมายให้มีความทันสมัยและทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสถานประกอบการในปัจจุบัน

***บิ๊กสรรพสามิตตะแบงอุ้ม
นายเอกศักดิ์ โอเจริญ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้นพบว่าซานติกาผับไม่ได้จดทะเบียนเป็นสถานประกอบการที่ต้องชำระภาษีสรรพสามิต สถานประกอบการที่ต้องชำระภาษีสรรพสามิตตามกฎหมายคือ ดิสโก้เทคและไนต์คลับเท่านั้น เจ้าหน้าที่ของกรมที่ทำหน้าที่ตรวจสอบจะเป็นผู้ใช้ดุลยวินิจว่าสถานประกอบการใดต้องเสียภาษีตามกฎหมายซึ่งเท่าที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานของซานติกาพบว่าไม่เข้าข่ายต้องเสียภาษี
โดยปัญหาที่พบในปัจจุบันเกี่ยวกับสถานประกอบการคือดิสโก้เทคที่มีอยู่แล้วพยายามปรับเปลี่ยนชื่อหรือรูปแบบการให้บริการเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี หรือแม้แต่ร้านอาหารหรือผับ บาร์ บางแห่งแม้จะไม่จัดให้มีการเต้นรำแต่พฤติกรรมในการให้บริการลูกค้ามีการเต้นรำเกิดขึ้นก็ต้องดำเนินการจัดเก็บภาษีเข้าสู่ระบบให้ถูกต้อง ซึ่งผลการตรวจสอบของคณะกรรมการน่าจะออกมาในระยะเวลาเดียวกันที่จะมีการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน
“การตรวจสอบสถานประกอบการต้องใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่พิจารณาตามข้อกฎหมายซึ่งในปัจจุบันยอมรับว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกันมาก เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบต้องดูอย่างละเอียดว่าพฤติกรรมการเต้นรำที่เกิดขึ้นของผู้ใช้บริการนั้นเป็นอย่างไร เต้นรำกันเป็นประจำหรือไม่ หรือเต้นในโอกาสหรือเทศกาลพิเศษเพียงเท่านั้น” นายเอกศักดิ์กล่าว และว่า กรมสรรพสามิตไม่ได้ปกป้องผู้ประกอบการที่กระทำความผิดซึ่งหากพบหลักฐานการกระทำความผิดที่แน่นหนาก็จะดำเนินการตามกฎหมายโดยทันที

***เสียงอ่อยดำเนินคดีย้อนหลังได้
รองอธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่า สำหรับการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบชุดนี้ขึ้นมาหากผลการตรวจสอบออกมาแล้วพบว่าซานติกาเข้าข่ายที่ต้องเสียภาษีทางกรมสรรพสามิตก็สามารถดำเนินการจัดเก็บภาษีสถานประกอบการย้อนหลังได้โดยอัตราการจัดเก็บภาษีสถานประกอบการประเภทดิสโก้เทคและไนท์คลับอยู่ที่ 10% ของรายได้รวม ซึ่งหากมีการจัดเก็บย้อนหลังผู้ที่กระทำผิดจะมีเบี้ยปรับ 2 เท่าของภาษีที่ต้องเสียและผู้ประกอบการต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 1.5% ของภาษี
ทั้งนี้ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีสถานประกอบการที่เสียภาษีสรรพสามิตดิสโก้เทคและไนต์คลับถูกต้องตามกฎหมายทั้งสิ้น 28 ราย เป็นรายได้ประมาณปีละกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งหากสามารถดึงสถานประกอบการที่มีอยู่ทั่วประเทศเข้าสู่ระบบการจัดเก็บภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมายจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ยืนยันว่าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของสถานประกอบการจะไม่ให้กระทบถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่มีอยู่เป็นจำนวนมากทั่วประเทศ.
กำลังโหลดความคิดเห็น