xs
xsm
sm
md
lg

รมต.สิงคโปร์ยอมรับกลางรัฐสภา “เทมาเส็ก”เจ๊ง31%ชั่วเวลา8เดือน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเอฟพี –เทมาเส็ก โฮลดิ้ง กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งซื้อหุ้น “ชินคอร์ป” และเข้าไปช่วยพยุงวาณิชธนกิจยักษ์วอลล์สตรีท “เมอร์ริลลินช์” ขณะใกล้จะไปไม่รอด จนทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเสียหายหนักหน่วง พอร์ตลงทุนมีมูลค่าลดลงถึง 31% ในช่วงเวลาเพียง 8 เดือนเมื่อปีที่แล้ว ทั้งนี้ตามคำแถลงของรัฐมนตรีผู้หนึ่งเมื่อวันอังคาร(10)

ก่อนหน้านี้ เทมาเส็ก ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการลงทุนภาครัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพิ่งออกมาประกาศเมื่อวันศุกร์(6)ว่า โฮชิง ผู้เป็นภรรยาของนายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง ของสิงคโปร์ จะก้าวลงจากตำแหน่ง ภายหลังเป็นซีอีโอของเทมาเส็กอยู่ถึง 5 ปี

สถานีวิทยุ 938Live ของสิงคโปร์ รายงานในวันอังคารว่า ลิมวีฮัว รัฐมนตรีอาวุโสด้านการเงิน ได้แถลงกับรัฐสภาว่า พอร์ตโฟลิโอการลงทุนของเทมาเส็กลดลงมาเหลือ 127,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (84,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จากเดิมที่มีอยู่ 185,000 ล้าน ดอลลาร์สิงคโปร์ ในชั่วระยะเวลาเพียง 8 เดือนที่สิ้นสุดที่เดือนพฤศจิกายนที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ลิมชี้ว่าการลดมูลค่าของพอร์ตโฟลิโอเทมาเส็กนี้ ยังคงน้อยกว่าการตกต่ำของดัชนีตลาดหุ้นสำคัญสองตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอ็มเอสซีไอ สิงคโปร์ อินเด็กซ์ ซึ่งลิมอ้างว่าลดลงไปถึง 44% ในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อวัดตามสกุลเงินของสิงคโปร์

การลาออกจากตำแหน่งของโฮ ชิง ภรรยาของนายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง บังเกิดขึ้นท่ามกลางคำถามเกี่ยวกับการลงทุนก้อนโตบางรายการของเทมาเส็ก โดยการลงทุนครั้งล่าสุดที่ถูกตั้งข้อสงสัยดังกล่าวนี้ ได้แก่การที่เทมาเส็กใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ เข้าไปซื้อหุ้น เมอรริลลินช์ ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2007

เมอริลลินช์ นั้นขาดทุนอย่างมหาศาลจากการลงทุนในตราสารซับไพรม์ และในที่สุดก็ถูกแบงก์ออฟอเมริกาควบรวมกิจการเข้าไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม หลังจากเมอริลลินช์แสดงท่าทีว่าอาจจะล้มครืนลงมา

เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เทมาเส็กประกาศว่ามูลค่าพอร์ตโฟลิโอเมื่อเดือนมีนาคมปีเดียวกัน มีมูลค่า 185,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ก็ยังได้รายงานด้วยว่ามีกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 18,200 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ด้วย

สภาได้ตั้งคำถามกับลิมด้วยว่า วิกฤตการเงินโลกส่งผลต่อเทมาเส็กและ กัฟเวอร์นเมนต์ ออฟ สิงคโปร์ อินเวสต์เมนท์ คอร์ป (จีไอซี) ซึ่งเป็น 2 กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์อย่างไรบ้าง

โดยเฉพาะจีไอซีนั้น เมื่อปี 2007 และต้นปีที่แล้วได้เทเม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯเข้าซื้อหุ้น ยูบีเอส ธนาคารใหญ่ของสวิส ตลอดจน ซิตี้กรุ๊ปของสหรัฐฯ ปรากฏว่าในเวลานี้ธนาคารทั้งสองต่างขาดทุนอย่างย่อยยับในการลงทุนตราสารซับไพรม์ โดยที่วิกฤตของตลาดตราสารซับไพรม์นี้เอง ที่ได้ลุกลามไปยังตลาดการเงินทั่วโลก

เมื่อวันอังคาร(10) ยูบีเอสเพิ่งประกาศว่าขาดทุนในปี 2008 ไปถึง 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของธนาคาร ทำให้ต้องปลดพนักงานอีก 2,000 ตำแหน่ง

ส่วนลิมก็ตอบรัฐสภาว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จีไอซีและเทมาเส็กประสบกับภาวะตกต่ำรุนแรง จากสภาวะของตลาด

“แม้ว่าตลาดจะเข้าสู่วงจรแห่งความย่ำแย่ครั้งแล้วครั้งเล่ารวมทั้งในครั้งนี้ด้วย แต่เมื่อเฉลี่ยตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เทมาเส็กสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 13% ต่อปี ในขณะที่จีซีไอซึ่งลงทุนหลากหลายและค่อนข้างระมัดระวังมากกว่า ก็มีผลตอบแทนในระดับสูงเช่นเดียวกัน”

จีโอซีได้เคยเมื่อเดือนกันยายนว่า อัตราผลตอบแทนการลงทุนของตนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 7.8% เมื่อคิดเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

ระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เอส ธนาบาลัน ซึ่งเป็นประธานของเทมาเส็กได้ปฏิเสธว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างการลาออกของโฮชิง และกรณีที่เทมาเส็กเข้าไปลงทุนในเมอริลลินช์ หรือแม้กระทั่งกรณีอื้อฉาวก่อนหน้าที่เทมาเส็กเข้าไปซื้อชิน คอร์ปในประเทศไทย

เขาได้เตือนสื่อว่าควรจะมีความระมัดระวังไว้บ้างเมื่อสรุปว่าการลงทุนเหล่านี้ขาดทุนมหาศาล เพราะต้องมองผลการลงทุนของเทมาเส็กในระยะยาว ดังนั้นตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปเช่นนั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น