เอเอฟพี - บรรดารัฐมนตรีสิงค์โปร์จะได้รับเงินค่าจ้างถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ แม้ว่าจะถูกลดเงินเดือนไปแล้ว 20% เนื่องจากเป็นช่วงสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เตียวจีเฮียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงบริการพลเรือนเผยเมื่อวันจันทร์(19) ว่า บรรดารัฐมนตรีสามารถคาดหวังได้ว่าจะได้เงินค่าจ้างกลับบ้านในปีนี้คนละ 1.54 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (1.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หลังจากที่ถูกลดเงินไป 20% ดังกล่าวข้างต้น ขณะที่ข้าราชการระดับสูงจะเห็นว่าเงินค่าจ้างประจำปีของพวกเขาลดลง 12% อยู่ที่ 351,000 ดอลลาร์สิงค์โปร์
ทั้งนี้ เขาเพิ่มเติมว่า ตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพเศรษฐกิจ
"ในฐานะที่ เงินค่าจ้างจะเชื่อมโยงกับผลงานด้านเศรษฐกิจ เงินค่าจ้างในปี 2009 จึงอาจจะถูกปรับเปลี่ยนต่อไปอีกตามความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ" เตียวระบุในการตอบกระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ในปี 2007 สิงค์โปร์ได้นำระบบที่เชื่อมโยงอัตราเงินค่าจ้างของเจ้าหน้าที่ระดับสูงกับผลงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหมายความว่า ถ้าหากเศรษฐกิจดี พวกเขาก็จะได้ค่าจ้างเพิ่มตาม แต่ถ้าเศรษฐกิจเติบโตย่ำแย่ ค่าจ้างของพวกเขาก็จะน้อยลง
สิงค์โปร์กลายเป็นชาติแรกในเอเชียที่ประสบปัญหาสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อปีที่ผ่านมา และนายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง เผยในการให้ความเห็น เมื่อวันเสาร์(17)ว่า รัฐบาลจะลดการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจประจำปี 2009 ลงอีก เพราะสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกเลวร้ายลง
ระหว่างการตอบกระทู้ถามในสภาคราวนี้ไม่มีการพูดกันเรื่องเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีลี แต่หนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์รายงานเมื่อเดือนพฤศจิกายนว่า เขาจะได้รับ 3.04 ล้านดอลลาร์สิงค์โปร์ หลังจากถูกตัด 19 % ตามฐานเงินค่าจ้างที่เชื่อมโยงกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
เปรียบเทียบกับทางสหรัฐฯ
ทำเนียบขาวได้เคยเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชได้ค่าเหนื่อย 400,000 ดอลลาร์ต่อปี สำหรับการทำงานของเขา ขณะที่ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สิงค์โปร์ระบุว่า เงินเดือนสูงเป็นสิ่งจำเป็นในการสรรหาและรักษาผู้ที่มีความสามารถเอาไว้ อีกทั้งยังเป็นมาตรการป้องกันการคอร์รัปชั่นด้วย
เตียวจีเฮียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงบริการพลเรือนเผยเมื่อวันจันทร์(19) ว่า บรรดารัฐมนตรีสามารถคาดหวังได้ว่าจะได้เงินค่าจ้างกลับบ้านในปีนี้คนละ 1.54 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (1.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หลังจากที่ถูกลดเงินไป 20% ดังกล่าวข้างต้น ขณะที่ข้าราชการระดับสูงจะเห็นว่าเงินค่าจ้างประจำปีของพวกเขาลดลง 12% อยู่ที่ 351,000 ดอลลาร์สิงค์โปร์
ทั้งนี้ เขาเพิ่มเติมว่า ตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพเศรษฐกิจ
"ในฐานะที่ เงินค่าจ้างจะเชื่อมโยงกับผลงานด้านเศรษฐกิจ เงินค่าจ้างในปี 2009 จึงอาจจะถูกปรับเปลี่ยนต่อไปอีกตามความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ" เตียวระบุในการตอบกระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ในปี 2007 สิงค์โปร์ได้นำระบบที่เชื่อมโยงอัตราเงินค่าจ้างของเจ้าหน้าที่ระดับสูงกับผลงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหมายความว่า ถ้าหากเศรษฐกิจดี พวกเขาก็จะได้ค่าจ้างเพิ่มตาม แต่ถ้าเศรษฐกิจเติบโตย่ำแย่ ค่าจ้างของพวกเขาก็จะน้อยลง
สิงค์โปร์กลายเป็นชาติแรกในเอเชียที่ประสบปัญหาสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อปีที่ผ่านมา และนายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง เผยในการให้ความเห็น เมื่อวันเสาร์(17)ว่า รัฐบาลจะลดการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจประจำปี 2009 ลงอีก เพราะสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกเลวร้ายลง
ระหว่างการตอบกระทู้ถามในสภาคราวนี้ไม่มีการพูดกันเรื่องเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีลี แต่หนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์รายงานเมื่อเดือนพฤศจิกายนว่า เขาจะได้รับ 3.04 ล้านดอลลาร์สิงค์โปร์ หลังจากถูกตัด 19 % ตามฐานเงินค่าจ้างที่เชื่อมโยงกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
เปรียบเทียบกับทางสหรัฐฯ
ทำเนียบขาวได้เคยเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชได้ค่าเหนื่อย 400,000 ดอลลาร์ต่อปี สำหรับการทำงานของเขา ขณะที่ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สิงค์โปร์ระบุว่า เงินเดือนสูงเป็นสิ่งจำเป็นในการสรรหาและรักษาผู้ที่มีความสามารถเอาไว้ อีกทั้งยังเป็นมาตรการป้องกันการคอร์รัปชั่นด้วย
