เมื่อเวลา 09.00 น.วานนี้ (8 ก.พ.) ที่วังสวนผักกาด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวกับพี่น้องประชาชนในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" โดยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ NBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยในตอนต้นรายการ นายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่ามีความคืบหน้าหลายเรื่อง พร้อมกันนี้ก็ได้ชื้แจงปัญหาที่ประชาชนเป็นห่วง ทั้งเรื่องปัญหาเงินคงคลัง และเรื่องที่รัฐบาลมีแผนจะกู้เงินจากต่างประเทศ ว่าการกูเงินนอกนั้นเป็นเพียงแผนการที่เตรียมสำรองไว้ หากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในอนาคตมีปัญหา จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ส่วนปัญหา เรื่องเงินคงคลังนั้น ขณะนี้ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการแต่อย่างใด
**ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับ 1
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ ว่า ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้า เป็นนักลงทุนอันดับ 1 ของเรา ขณะเดียวกันมีชาวญี่ปุ่น เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยความราบรื่นมาตลอด ขณะนี้ญี่ปุ่นมีความต้องการในเรื่องของอาหารที่มีคุณภาพ เขาต้องซื้ออาหารจากภายนอก และเขามีความเข้มงวดกวดขันในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานมาก ขณะที่ไทยเราก็มีความพร้อมอย่างมากในเรื่องของการผลิตอาหาร แต่สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ทำอย่างไรอาหารของเราสามารถที่จะได้คุณภาพมาตรฐานอย่างที่เขาต้องการ ฉะนั้นกระทรวงพาณิชย์ไปทำตรงนี้ คือว่า จะไปดูจุดสินค้าที่เป็นที่ต้องการของญี่ปุ่น และเราจะได้ปรับแนวทางการส่งออกของเรา
ส่วนในด้านของการลงทุน ญี่ปุ่นกับไทย มีนโยบายสอดคล้องกันคือต้องการแก้ปัญหาพลังงาน จะเป็นพลังงานที่สะอาด หรือพลังงานทดแทน ซึ่งเราก็เป็นจุดที่เป็นฐานสำคัญในการผลิตในเรื่องของรถยนต์ อุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะฉะนั้นแนวทางที่จะต้องมีการขยายต่อไปคือจะให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่น มาดูเรื่องความเป็นไปได้ในการที่จะผลิตเพื่อตอบสนอง ในเรื่องของรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทน จะเป็นพลังงานที่เราสนับสนุนอยู่ ทั้งเรื่องก๊าซโซฮอล์ ทั้งเรื่องไอโอดีเซล จะเป็นระบบที่ใชัไฟฟ้าหรือใชัพลังงานผสมร่วมกัน
**ห่วงปัญหาสังคมที่เปลี่ยนแปลง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงปัญหาในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม โดยเฉพาะในหมู่ของเยาวชน ในหมู่วัยรุ่น และสังคมในภาพรวม รัฐบาลเองก็มีนโยบายสำคัญในเรื่องของการที่จะสร้างสังคมคุณธรรม โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี ได้นิมนต์พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ซึ่งเป็นพระที่มีบทบาทสำคัญในการที่จะดึงให้คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป ได้เข้าใจในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และพระพุทธศาสนา มาร่วมสนทนาในหัวข้อ "ธรรมที่จำได้ง่ายกับการดำเนินชีวิต” ด้วย โดยมีพิธีกรรับเชิญคือนายแทนคุณ จิตต์อิสระ
นายกรัฐมนตรี กล่วว่า สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เด็กๆ เยาวชนหรือคนในสังคมละเลยเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เนื่องมาจากสังคมโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก สิ่งที่อยู่ในตัวเราทุกคน คือเราอยากมีความสุขในลักษณะของการมีความสะดวก สบาย โดยเฉพาะเวลาการพัฒนา ก็เป็นการพัฒนาในเรื่องของวัตถุ เรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ปัญหามีอยู่ว่า แล้วจิตใจเราสามารถที่จะพัฒนารับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้น มันก็ไปเป็นเรื่องของค่านิยม ค่านิยมบางช่วง บางยุค เราอาจจะมีความรู้สึกว่าเราอยากได้ เราอยากประสบความสำเร็จเร็วๆ และเราก็เริ่มลืมไปว่า วิธีการที่จะได้ความสำเร็จ ควรจะเป็นอย่างไร และเราก็ลืมไปว่าการได้ความสำเร็จมาโดยการเบียดเบียนผู้อื่น ในที่สุดถ้าทุกคนเบียดเบียนกันเอง ทุกคนก็แย่ลง อันนี้คือปัญหา และคิดว่าในยุคนี้มีสิ่งใหม่ๆ เข้ามามากมาย บางครั้งสิ่งที่เป็นเรื่องดีงาม ที่ควรจะอยู่ในสังคมของเรา ก็ถูกมองข้าม เพราะฉะนั้น รัฐบาลเองก็มองว่าการจะแก้ปัญหาเรื่องนี้คงจะต้องทำหลายส่วนพร้อมกันไป และเป็นเรื่องของการ ทั้งสร้างค่านิยม และสร้างสภาวะแวดล้อมที่จะเอื้อ อย่างรัฐบาลมีนโยบายบอกว่า คนไทยต้องไม่โกง อันนี้จะไปโฆษณาสปอตประชาสัมพันธ์บอกว่า อย่าโกง ๆ ๆ แต่ว่าถ้ารัฐบาลไม่ทำตัวเป็นแบบอย่าง ก็ไม่มีประโยชน์ หรือไม่รักษากฎหมายในเรื่องนี้ก็ไม่มีประโยชน์
**ชี้อินเตอร์เนตแหล่งเรียนรู้มหาศาล
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งเรียนรู้มหาศาล มีคุณประโยชน์ แต่มีแหล่งเรียนรู้อื่น เช่น พิพิธภัณฑ์ สวนหย่อม การเอื้อให้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการที่เราจะพยายามสร้างพื้นที่ที่ดี แต่ว่าในส่วนของศาสนาเอง ก็มีความสำคัญมาก เพราะว่าศาสนา พูดง่าย ๆ ถ้าจะพูดว่ารัฐบาลกำลังสร้างเครื่องมือเปิดพื้นที่ต่างๆ แต่ตัวเนื้อหาสาระ ที่จะใส่เข้าไป คือในเรื่องของหลักธรรมคำสอนหรือศาสนาต่างๆ ที่ประชาชนเคารพนับถือ ซึ่งตรงนี้ต้องหาวิธีการที่จะสื่อสารเข้าถึงกับคนสมัยใหม่ในยุคสมัยใหม่ได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย ทั้งในเรื่องของการผลิตสื่อ ทั้งในเรื่องการกระตุ้นให้เด็กอ่านหนังสือและสนใจกว้างขวางมากขึ้น
ส่วนของการศึกษาเรื่องนโยบายเรียนฟรี เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้นเองในระบบการศึกษา แต่ว่ามีความหมายมากสำหรับประชาชน พ่อแม่ผู้ปกครอง ที่มีรายได้น้อย เราก็ต้องพยายามทำเรื่องนี้ให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด แต่ไม่ลืมเรื่องของคุณภาพ และนโยบายเรื่องการศึกษานี้ต้องมองกว้างกว่าโรงเรียน เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำคือนโยบายทางด้านเยาวชน นโยบายทางด้านสังคม ที่เน้นเรื่องการเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ จะเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะทางด้านสื่อ ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินการ โดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำลังเร่งรัดในเรื่องของการที่จะเราต้องมีองค์กรที่จะมากำกับดูแลจัดสรรคลื่นความถี่ จัดสรรคลื่น จัดเวลาในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับสังคม ซึ่งเป็นเรื่องการสร้างพื้นที่ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี
**เคล็ดลับเลี้ยงลูกต้องคุย-แนะนำ
ส่วนที่ถามว่าเลี้ยงลูกอย่างไรให้ปลอดจากอบายมุขนั้น คิดว่าสิ่งที่สำคัญคือความใกล้ชิด ความเอาใจใส่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ลูกตนตอนนี้ก็โตแล้ว 18 คนหนึ่ง 15 คนหนึ่งเป็นวัยรุ่นแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือเราก็ดูว่าเขาชอบอะไร เขาทำอะไร ตนเห็นเขาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันหนึ่ง อาจจะพอมากหน่อย เราก็บอกขอสัก 2 ชั่วโมงได้ไหม ถาม ๆ คุย ๆ กับเขาบ้างว่าเขาดูอะไร เขาทำอะไร เผื่อที่ว่าเราจะได้แนะนำเขาว่าทำไมไม่ใช้อย่างนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องหาความพอดี ในความพอดีก็คือว่าไม่ใช่ปล่อยเขาไปเลย ไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไร ก็มีช่องว่าง ขณะเดียวกันไปยุ่งกับเขามาก เขาไม่ชอบหรอก เพราะเขาโตแล้ว ต้องอาศัยความพอดีตรงนี้
**แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงช่วยได้
สำหรับนโยบายลดความเป็นวัตถุนิยมนั้น จริงๆแล้วคนไทยโชคดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และสิ่งที่ท่านรับสั่งไว้ผมคิดว่าต้องช่วยกันทำความเข้าใจ บางคนบอกได้ยินคำว่าเศรษฐกิจพอเพียง แปลว่าเหมือนกับปฏิเสธอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ท่านไม่ได้รับสั่งอย่างนั้น มีพระราชดำรัสด้วยซ้ำว่า บางเรื่องแม้เป็นความหรูหราหรืออะไร ก็ได้ แต่ว่าต้องรู้ประมาณตนว่ากำลังเรามีแค่ไหน ถ้าเราสามารถหามาได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าการหามาเป็นการหาที่ทำให้เราต้องไปเป็นหนี้เป็นสิน และไม่มีปัญญาที่จะไปใช้ ถ้าการหามาเป็นการไปเบียดเบียนของคนอื่นเขามา อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
"ผมว่าต้องอยู่ความพอดี แต่ก็ย้ำอีกครั้งว่าบางที่เวลาเราพยายามที่จะปลูกฝังบางสิ่งบางอย่าง เราทำหลายอย่าง มันเกินจริงๆ คือจะไปห้ามเสียทุกสิ่งทุกอย่าง และมันขัดกับธรรมชาติมนุษย์ ในที่สุดมันทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าเราเดินไปสายที่เป็นทางสายกลาง ที่เป็นความพอประมาณ ผมคิดว่าตรงนี้จะมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะฉะนั้น อย่าไปสุดโต่ง อย่าไปต่อต้าน อย่าไปบอกของใหม่ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ผมไม่เห็นเลย แต่ใครที่พยายามจะต่อต้านเทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ อาจจะรณรงค์ก็ได้อยู่สักพักหนึ่ง แต่สุดท้ายต้องยอมรับอยู่ดีครับ เห็นไหมครับ ดู 10 กว่าปีที่ผ่านมา โทรศัพท์มือถือเมื่อก่อนนี้เราบอกจะต้องใช้หรือเปล่า เดี๋ยวนี้ผมเห็นคนพกกัน 2 เครื่อง 3 เครื่อง 4 เครื่อง ใช้คุ้มค่าบ้าง ไม่คุ้มค่าบ้าง แต่เราต้านไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราทำอย่างไรให้คนมีความพอดี" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ส่วนแนวคิดการสร้างความสามัคคีนั้นต้องสร้างด้วยการให้ความเป็นธรรม ให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าอยู่ในสังคมนี้ เราอยู่อย่างเท่าเทียมให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ตนก็ใช้แนวนี้ในการปฏิบัติกับคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นในทางการเมืองอย่างไร ก็หมายถึงการบังคับใช้กฎหมายโดยเสมอภาค
ผุดไอเดีย“ลานบุญ ลานปัญญา”
"ในส่วนของการทำพื้นที่สร้างสรรค์ ผมกำลังให้ดูอีกโครงการหนึ่ง ยังไม่ได้ตั้งชื่อ แต่เอาคร่าวๆ ว่า"ลานบุญ ลานปัญญา" เพราะเรามีความคิดว่าต่อไปการกระตุ้นเศรษฐกิจคือ การไปทำโครงการขนาดเล็ก ๆในชุมชนต่างๆ คิดว่าสถาบันศาสนา เอาล่ะถ้าพุทธศาสนาก็คือวัด ถ้าศาสนาอื่นก็จะมีสถานที่สำคัญ เราไปปรับปรุงสถานที่เหล่านั้นให้กลับมาเป็นศูนย์กลางในการระดมชุมชน ทำไมเราจะต้องไป ทุกอย่างก็ไปห้องประชุม หอประชุม เรากลับมาที่วัดได้ไหม จะปรับปรุงเป็นลานสำหรับใช้เวลาในเสาร์-อาทิตย์ พ่อแม่ลูกหลาน พระคุณเจ้า หรือผู้นำทางศาสนามาใช้จะทำกิจกรรม และไม่จำเป็นจะต้องเป็นกิจกรรมในเรื่องของศาสนาอย่างเดียว เราก็แทรกเรื่องอื่นๆ เข้าไป ซึ่งทำให้ประชาชนหันกลับเข้ามาตรงนี้มากขึ้น อันนี้ก็เป็นตัวอย่างสิ่งที่จะทำต่อไป ได้ให้ท่านรองนายกรัฐมนตรีกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ซึ่งดูแลในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ไปใช้อันนี้ เพราะเราคิดว่าปรับปรุงโรงเรียน สถานีอนามัย สถานที่สำคัญทางศาสนา ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่งของมาตรการทางเศรษฐกิจด้วย" นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พรุ่งนี้ (9 ก.พ.) เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และมีการจัดกิจกรรมมากมายอยากเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่าน และสิ่งที่อยู่ในการสนทนาในวันนี้ทั้งหมด ก็เป็นแนวทางซึ่งรัฐบาลจะได้ยึดถือและไปพิจารณาในการที่จะขยายผลต่างๆ ได้อย่างไร
"รายการที่จะจัดทุกวันอาทิตย์เป็นรายการที่ผมมุ่งเน้นที่จะรายงานผลการทำงาน แล้วได้พูดถึงแนวคิดของการที่จะนำพาบ้านเมือง ผมพูดมาตั้งแต่ต้นว่าในสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ลำพังผมหรือรัฐบาลทำงานเท่าไร ประสบความสำเร็จยาก ผมต้องระดมทุกภาคส่วนเข้ามา เพราะฉะนั้น ในโอกาสข้างหน้าจะมีการเชิญผู้นำทางความคิด หรือผู้นำทางด้านอื่น ๆ มาร่วมอยู่เป็นระยะๆ ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม" นายกรัฐมนตรีกล่าว
**ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับ 1
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ ว่า ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้า เป็นนักลงทุนอันดับ 1 ของเรา ขณะเดียวกันมีชาวญี่ปุ่น เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยความราบรื่นมาตลอด ขณะนี้ญี่ปุ่นมีความต้องการในเรื่องของอาหารที่มีคุณภาพ เขาต้องซื้ออาหารจากภายนอก และเขามีความเข้มงวดกวดขันในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานมาก ขณะที่ไทยเราก็มีความพร้อมอย่างมากในเรื่องของการผลิตอาหาร แต่สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ทำอย่างไรอาหารของเราสามารถที่จะได้คุณภาพมาตรฐานอย่างที่เขาต้องการ ฉะนั้นกระทรวงพาณิชย์ไปทำตรงนี้ คือว่า จะไปดูจุดสินค้าที่เป็นที่ต้องการของญี่ปุ่น และเราจะได้ปรับแนวทางการส่งออกของเรา
ส่วนในด้านของการลงทุน ญี่ปุ่นกับไทย มีนโยบายสอดคล้องกันคือต้องการแก้ปัญหาพลังงาน จะเป็นพลังงานที่สะอาด หรือพลังงานทดแทน ซึ่งเราก็เป็นจุดที่เป็นฐานสำคัญในการผลิตในเรื่องของรถยนต์ อุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะฉะนั้นแนวทางที่จะต้องมีการขยายต่อไปคือจะให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่น มาดูเรื่องความเป็นไปได้ในการที่จะผลิตเพื่อตอบสนอง ในเรื่องของรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทน จะเป็นพลังงานที่เราสนับสนุนอยู่ ทั้งเรื่องก๊าซโซฮอล์ ทั้งเรื่องไอโอดีเซล จะเป็นระบบที่ใชัไฟฟ้าหรือใชัพลังงานผสมร่วมกัน
**ห่วงปัญหาสังคมที่เปลี่ยนแปลง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงปัญหาในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม โดยเฉพาะในหมู่ของเยาวชน ในหมู่วัยรุ่น และสังคมในภาพรวม รัฐบาลเองก็มีนโยบายสำคัญในเรื่องของการที่จะสร้างสังคมคุณธรรม โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี ได้นิมนต์พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ซึ่งเป็นพระที่มีบทบาทสำคัญในการที่จะดึงให้คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป ได้เข้าใจในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม และพระพุทธศาสนา มาร่วมสนทนาในหัวข้อ "ธรรมที่จำได้ง่ายกับการดำเนินชีวิต” ด้วย โดยมีพิธีกรรับเชิญคือนายแทนคุณ จิตต์อิสระ
นายกรัฐมนตรี กล่วว่า สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เด็กๆ เยาวชนหรือคนในสังคมละเลยเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เนื่องมาจากสังคมโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก สิ่งที่อยู่ในตัวเราทุกคน คือเราอยากมีความสุขในลักษณะของการมีความสะดวก สบาย โดยเฉพาะเวลาการพัฒนา ก็เป็นการพัฒนาในเรื่องของวัตถุ เรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ปัญหามีอยู่ว่า แล้วจิตใจเราสามารถที่จะพัฒนารับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้น มันก็ไปเป็นเรื่องของค่านิยม ค่านิยมบางช่วง บางยุค เราอาจจะมีความรู้สึกว่าเราอยากได้ เราอยากประสบความสำเร็จเร็วๆ และเราก็เริ่มลืมไปว่า วิธีการที่จะได้ความสำเร็จ ควรจะเป็นอย่างไร และเราก็ลืมไปว่าการได้ความสำเร็จมาโดยการเบียดเบียนผู้อื่น ในที่สุดถ้าทุกคนเบียดเบียนกันเอง ทุกคนก็แย่ลง อันนี้คือปัญหา และคิดว่าในยุคนี้มีสิ่งใหม่ๆ เข้ามามากมาย บางครั้งสิ่งที่เป็นเรื่องดีงาม ที่ควรจะอยู่ในสังคมของเรา ก็ถูกมองข้าม เพราะฉะนั้น รัฐบาลเองก็มองว่าการจะแก้ปัญหาเรื่องนี้คงจะต้องทำหลายส่วนพร้อมกันไป และเป็นเรื่องของการ ทั้งสร้างค่านิยม และสร้างสภาวะแวดล้อมที่จะเอื้อ อย่างรัฐบาลมีนโยบายบอกว่า คนไทยต้องไม่โกง อันนี้จะไปโฆษณาสปอตประชาสัมพันธ์บอกว่า อย่าโกง ๆ ๆ แต่ว่าถ้ารัฐบาลไม่ทำตัวเป็นแบบอย่าง ก็ไม่มีประโยชน์ หรือไม่รักษากฎหมายในเรื่องนี้ก็ไม่มีประโยชน์
**ชี้อินเตอร์เนตแหล่งเรียนรู้มหาศาล
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งเรียนรู้มหาศาล มีคุณประโยชน์ แต่มีแหล่งเรียนรู้อื่น เช่น พิพิธภัณฑ์ สวนหย่อม การเอื้อให้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการที่เราจะพยายามสร้างพื้นที่ที่ดี แต่ว่าในส่วนของศาสนาเอง ก็มีความสำคัญมาก เพราะว่าศาสนา พูดง่าย ๆ ถ้าจะพูดว่ารัฐบาลกำลังสร้างเครื่องมือเปิดพื้นที่ต่างๆ แต่ตัวเนื้อหาสาระ ที่จะใส่เข้าไป คือในเรื่องของหลักธรรมคำสอนหรือศาสนาต่างๆ ที่ประชาชนเคารพนับถือ ซึ่งตรงนี้ต้องหาวิธีการที่จะสื่อสารเข้าถึงกับคนสมัยใหม่ในยุคสมัยใหม่ได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย ทั้งในเรื่องของการผลิตสื่อ ทั้งในเรื่องการกระตุ้นให้เด็กอ่านหนังสือและสนใจกว้างขวางมากขึ้น
ส่วนของการศึกษาเรื่องนโยบายเรียนฟรี เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้นเองในระบบการศึกษา แต่ว่ามีความหมายมากสำหรับประชาชน พ่อแม่ผู้ปกครอง ที่มีรายได้น้อย เราก็ต้องพยายามทำเรื่องนี้ให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด แต่ไม่ลืมเรื่องของคุณภาพ และนโยบายเรื่องการศึกษานี้ต้องมองกว้างกว่าโรงเรียน เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำคือนโยบายทางด้านเยาวชน นโยบายทางด้านสังคม ที่เน้นเรื่องการเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ จะเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะทางด้านสื่อ ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินการ โดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำลังเร่งรัดในเรื่องของการที่จะเราต้องมีองค์กรที่จะมากำกับดูแลจัดสรรคลื่นความถี่ จัดสรรคลื่น จัดเวลาในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับสังคม ซึ่งเป็นเรื่องการสร้างพื้นที่ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี
**เคล็ดลับเลี้ยงลูกต้องคุย-แนะนำ
ส่วนที่ถามว่าเลี้ยงลูกอย่างไรให้ปลอดจากอบายมุขนั้น คิดว่าสิ่งที่สำคัญคือความใกล้ชิด ความเอาใจใส่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ลูกตนตอนนี้ก็โตแล้ว 18 คนหนึ่ง 15 คนหนึ่งเป็นวัยรุ่นแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือเราก็ดูว่าเขาชอบอะไร เขาทำอะไร ตนเห็นเขาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันหนึ่ง อาจจะพอมากหน่อย เราก็บอกขอสัก 2 ชั่วโมงได้ไหม ถาม ๆ คุย ๆ กับเขาบ้างว่าเขาดูอะไร เขาทำอะไร เผื่อที่ว่าเราจะได้แนะนำเขาว่าทำไมไม่ใช้อย่างนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องหาความพอดี ในความพอดีก็คือว่าไม่ใช่ปล่อยเขาไปเลย ไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไร ก็มีช่องว่าง ขณะเดียวกันไปยุ่งกับเขามาก เขาไม่ชอบหรอก เพราะเขาโตแล้ว ต้องอาศัยความพอดีตรงนี้
**แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงช่วยได้
สำหรับนโยบายลดความเป็นวัตถุนิยมนั้น จริงๆแล้วคนไทยโชคดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และสิ่งที่ท่านรับสั่งไว้ผมคิดว่าต้องช่วยกันทำความเข้าใจ บางคนบอกได้ยินคำว่าเศรษฐกิจพอเพียง แปลว่าเหมือนกับปฏิเสธอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ท่านไม่ได้รับสั่งอย่างนั้น มีพระราชดำรัสด้วยซ้ำว่า บางเรื่องแม้เป็นความหรูหราหรืออะไร ก็ได้ แต่ว่าต้องรู้ประมาณตนว่ากำลังเรามีแค่ไหน ถ้าเราสามารถหามาได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าการหามาเป็นการหาที่ทำให้เราต้องไปเป็นหนี้เป็นสิน และไม่มีปัญญาที่จะไปใช้ ถ้าการหามาเป็นการไปเบียดเบียนของคนอื่นเขามา อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
"ผมว่าต้องอยู่ความพอดี แต่ก็ย้ำอีกครั้งว่าบางที่เวลาเราพยายามที่จะปลูกฝังบางสิ่งบางอย่าง เราทำหลายอย่าง มันเกินจริงๆ คือจะไปห้ามเสียทุกสิ่งทุกอย่าง และมันขัดกับธรรมชาติมนุษย์ ในที่สุดมันทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าเราเดินไปสายที่เป็นทางสายกลาง ที่เป็นความพอประมาณ ผมคิดว่าตรงนี้จะมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะฉะนั้น อย่าไปสุดโต่ง อย่าไปต่อต้าน อย่าไปบอกของใหม่ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ผมไม่เห็นเลย แต่ใครที่พยายามจะต่อต้านเทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ อาจจะรณรงค์ก็ได้อยู่สักพักหนึ่ง แต่สุดท้ายต้องยอมรับอยู่ดีครับ เห็นไหมครับ ดู 10 กว่าปีที่ผ่านมา โทรศัพท์มือถือเมื่อก่อนนี้เราบอกจะต้องใช้หรือเปล่า เดี๋ยวนี้ผมเห็นคนพกกัน 2 เครื่อง 3 เครื่อง 4 เครื่อง ใช้คุ้มค่าบ้าง ไม่คุ้มค่าบ้าง แต่เราต้านไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราทำอย่างไรให้คนมีความพอดี" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ส่วนแนวคิดการสร้างความสามัคคีนั้นต้องสร้างด้วยการให้ความเป็นธรรม ให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าอยู่ในสังคมนี้ เราอยู่อย่างเท่าเทียมให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ตนก็ใช้แนวนี้ในการปฏิบัติกับคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นในทางการเมืองอย่างไร ก็หมายถึงการบังคับใช้กฎหมายโดยเสมอภาค
ผุดไอเดีย“ลานบุญ ลานปัญญา”
"ในส่วนของการทำพื้นที่สร้างสรรค์ ผมกำลังให้ดูอีกโครงการหนึ่ง ยังไม่ได้ตั้งชื่อ แต่เอาคร่าวๆ ว่า"ลานบุญ ลานปัญญา" เพราะเรามีความคิดว่าต่อไปการกระตุ้นเศรษฐกิจคือ การไปทำโครงการขนาดเล็ก ๆในชุมชนต่างๆ คิดว่าสถาบันศาสนา เอาล่ะถ้าพุทธศาสนาก็คือวัด ถ้าศาสนาอื่นก็จะมีสถานที่สำคัญ เราไปปรับปรุงสถานที่เหล่านั้นให้กลับมาเป็นศูนย์กลางในการระดมชุมชน ทำไมเราจะต้องไป ทุกอย่างก็ไปห้องประชุม หอประชุม เรากลับมาที่วัดได้ไหม จะปรับปรุงเป็นลานสำหรับใช้เวลาในเสาร์-อาทิตย์ พ่อแม่ลูกหลาน พระคุณเจ้า หรือผู้นำทางศาสนามาใช้จะทำกิจกรรม และไม่จำเป็นจะต้องเป็นกิจกรรมในเรื่องของศาสนาอย่างเดียว เราก็แทรกเรื่องอื่นๆ เข้าไป ซึ่งทำให้ประชาชนหันกลับเข้ามาตรงนี้มากขึ้น อันนี้ก็เป็นตัวอย่างสิ่งที่จะทำต่อไป ได้ให้ท่านรองนายกรัฐมนตรีกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ซึ่งดูแลในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ไปใช้อันนี้ เพราะเราคิดว่าปรับปรุงโรงเรียน สถานีอนามัย สถานที่สำคัญทางศาสนา ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่งของมาตรการทางเศรษฐกิจด้วย" นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พรุ่งนี้ (9 ก.พ.) เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และมีการจัดกิจกรรมมากมายอยากเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่าน และสิ่งที่อยู่ในการสนทนาในวันนี้ทั้งหมด ก็เป็นแนวทางซึ่งรัฐบาลจะได้ยึดถือและไปพิจารณาในการที่จะขยายผลต่างๆ ได้อย่างไร
"รายการที่จะจัดทุกวันอาทิตย์เป็นรายการที่ผมมุ่งเน้นที่จะรายงานผลการทำงาน แล้วได้พูดถึงแนวคิดของการที่จะนำพาบ้านเมือง ผมพูดมาตั้งแต่ต้นว่าในสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ลำพังผมหรือรัฐบาลทำงานเท่าไร ประสบความสำเร็จยาก ผมต้องระดมทุกภาคส่วนเข้ามา เพราะฉะนั้น ในโอกาสข้างหน้าจะมีการเชิญผู้นำทางความคิด หรือผู้นำทางด้านอื่น ๆ มาร่วมอยู่เป็นระยะๆ ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม" นายกรัฐมนตรีกล่าว