รอยเตอร์/เอเอฟพี - ไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดของออสเตรเลีย คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 84 คนแล้ววานนี้(8) เมื่อพระเพลิงอาละวาดกลืนกินเมืองชนบทเล็กๆ ไปหลายเมือง ทำลายบ้านเรือนหลายร้อยหลัง และสังหารทั้งคนที่อยู่ในรถขณะพยายามหลบหนี และผู้ที่ติดอยู่ภายในบ้านของพวกเขา
ไฟอเวจีซึ่งโหมฮือผ่านเมืองชนบทเล็กๆ ทางตอนเหนือของนครเมลเบิร์นตั้งแต่คืนวันเสาร์(7)โดยทำลายทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเส้นทางของมันคราวนี้ ถือเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแดนจิงโจ้ โดยสร้างความเสียหายยิ่งกว่าตั้งแต่เหตุการณ์ "เถ้าถ่านวันพุธ" ซึ่งเกิดจากไฟป่าครั้งใหญ่เมื่อปี 1983 และมีผู้เสียชีวิตถึง 75 คน ขณะที่โฆษกตำรวจของออสเตรเลียก็คาดว่ายอดผู้เสียชีวิตครั้งนี้อาจเพิ่มสูงขึ้นอีก และเจ้าหน้าที่กำลังค้นหาผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอยู่
รัฐบาลออสเตรเลียได้สั่งการให้กองทัพเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือ และจัดตั้งกองทุนบรรเทาเหตุฉุกเฉินหลายกองทุนด้วยกัน ขณะเดียวกันก็ถูกแรงกดดันจากส.ส.ของพรรคกรีนส์ซึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดหายนภัยร้ายแรงในช่วงฤดูร้อนเพิ่มขึ้นอีก
ทั้งนี้ในวันอาทิตย์ (8) พวกนักผจญเพลิงหลายพันคนต้องพยายามควบคุมเพลิงอย่างต่อเนื่องมาเป็นวันที่สอง ในขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่าเปลวเพลิงนั้นโหมสูงเท่ากับตึกสี่ชั้น และลุกลามไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับขบวนรถไฟด่วน ขณะเดียวกันก็พ่นเถ้าถ่านร้อนระอุออกไปไกลสุดสายตาทีเดียว
"มันลามไปเร็วยังกับลูกกระสุน" ดาร์เรน เว็บบ์-จอห์นสัน ชาวเมืองคิงเลคซึ่งเป็นเมืองชนบทเล็กๆ และได้รับความเสียหายหนักที่สุด เล่าและเสริมว่า "ปั๊มน้ำมันถูกไฟเผา แล้วต่อมาก็ร้านค้าฝั่งตรงข้าม รถยนต์ระเบิดซ้ายทีขวาที 80 เปอร์เซ็นต์ของเมืองถูกเผาวอดเป็นหน้ากลอง"
ส่วนสถานีโทรทัศน์เอบีซีเผยแพร่ภาพเมืองแมรีสวิลล์ที่ถูกเผาวอดทั้งเมือง และรายงานว่าผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ติดอยู่ในรถยนต์ในระหว่างที่พยายามหนีให้พ้นจากไฟนรกครั้งนี้
"ไฟนรกอันกราดเกรี้ยวลุกลามมาทำลายคนดีแห่งวิกตอเรีย" นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ กล่าวในระหว่างตรวจสภาพพื้นที่เกิดเหตุ "ประเทศชาติรู้สึกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่วิกตอเรีย"
ส่วนนักผจญเพลิงกล่าวว่า บ้านเรือนกว่า 700 หลังในรัฐวิกตอเรียถูกเผาวอดวาย ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพื้นที่ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักที่สุดคือพื้นที่ทางตอนเหนือของเมืองเมลเบิร์น
อันที่จริง การเกิดไฟป่าเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในออสเตรเลียทุกปี แต่เนื่องจากในปีนี้สภาพอากาศร้อนรุนแรง เกิดภัยแล้ง และมีเศษกิ่งไม้แห้งมากมาย บวกกับต้นยูคาลิปตัสที่เป็นพืชเมืองเมืองของแดนจิงโจ้ ก็เป็นต้นไม้ที่มีน้ำมัน จึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เกิดไฟป่าลุกลาม และยังทำให้รัฐบาลถูกกดดันอย่างหนักให้เอาจริงกับนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศด้วย
บ๊อบ บราวน์ ผู้นำพรรคกรีนส์ ได้ประณามว่าแผนการล่าสุดของรัฐบาลในเรื่องการหยุดยั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้นไร้ประสิทธิภาพ เขายังกล่าวด้วยว่าไฟป่าในฤดูร้อนจะลดน้อยลงได้ก็ต่อเมื่อออสเตรเลียและประเทศอื่นๆ แสดงภาวะผู้นำในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศให้มากกว่านี้
"เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการเตือนสติเราให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศชาติและโลกทั้งโลกจะต้องปฏิบัติและให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับแรก" วุฒิสมาชิกบราวน์กล่าวเมื่อวานนี้
ในอีกด้านหนึ่ง คีแรน วอลเช รองผู้บัญชาการตำรวจรัฐวิกตอเรียกล่าววานนี้ว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไฟป่าที่เกิดขึ้นในบางบริเวณ ต้องเป็นฝีมือของพวกลอบวางเพลิง
"ไฟป่าเหล่านี้ในบางบริเวณเริ่มต้นขึ้นในพื้นที่ซึ่งสามารถจะเกิดไฟขึ้นได้ก็ด้วยการใช้มือจุดเท่านั้น มันไม่สามารถที่จะมาจากสาเหตุตามธรรมชาติได้" เขาบอก
ตำรวจเตือนด้วยว่า พวกวางเพลิงจะต้องเจอคดีฆาตกรรมด้วย เมื่อมีผู้เสียชีวิตเช่นนี้
ไฟอเวจีซึ่งโหมฮือผ่านเมืองชนบทเล็กๆ ทางตอนเหนือของนครเมลเบิร์นตั้งแต่คืนวันเสาร์(7)โดยทำลายทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเส้นทางของมันคราวนี้ ถือเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแดนจิงโจ้ โดยสร้างความเสียหายยิ่งกว่าตั้งแต่เหตุการณ์ "เถ้าถ่านวันพุธ" ซึ่งเกิดจากไฟป่าครั้งใหญ่เมื่อปี 1983 และมีผู้เสียชีวิตถึง 75 คน ขณะที่โฆษกตำรวจของออสเตรเลียก็คาดว่ายอดผู้เสียชีวิตครั้งนี้อาจเพิ่มสูงขึ้นอีก และเจ้าหน้าที่กำลังค้นหาผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอยู่
รัฐบาลออสเตรเลียได้สั่งการให้กองทัพเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือ และจัดตั้งกองทุนบรรเทาเหตุฉุกเฉินหลายกองทุนด้วยกัน ขณะเดียวกันก็ถูกแรงกดดันจากส.ส.ของพรรคกรีนส์ซึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดหายนภัยร้ายแรงในช่วงฤดูร้อนเพิ่มขึ้นอีก
ทั้งนี้ในวันอาทิตย์ (8) พวกนักผจญเพลิงหลายพันคนต้องพยายามควบคุมเพลิงอย่างต่อเนื่องมาเป็นวันที่สอง ในขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่าเปลวเพลิงนั้นโหมสูงเท่ากับตึกสี่ชั้น และลุกลามไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับขบวนรถไฟด่วน ขณะเดียวกันก็พ่นเถ้าถ่านร้อนระอุออกไปไกลสุดสายตาทีเดียว
"มันลามไปเร็วยังกับลูกกระสุน" ดาร์เรน เว็บบ์-จอห์นสัน ชาวเมืองคิงเลคซึ่งเป็นเมืองชนบทเล็กๆ และได้รับความเสียหายหนักที่สุด เล่าและเสริมว่า "ปั๊มน้ำมันถูกไฟเผา แล้วต่อมาก็ร้านค้าฝั่งตรงข้าม รถยนต์ระเบิดซ้ายทีขวาที 80 เปอร์เซ็นต์ของเมืองถูกเผาวอดเป็นหน้ากลอง"
ส่วนสถานีโทรทัศน์เอบีซีเผยแพร่ภาพเมืองแมรีสวิลล์ที่ถูกเผาวอดทั้งเมือง และรายงานว่าผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ติดอยู่ในรถยนต์ในระหว่างที่พยายามหนีให้พ้นจากไฟนรกครั้งนี้
"ไฟนรกอันกราดเกรี้ยวลุกลามมาทำลายคนดีแห่งวิกตอเรีย" นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ กล่าวในระหว่างตรวจสภาพพื้นที่เกิดเหตุ "ประเทศชาติรู้สึกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่วิกตอเรีย"
ส่วนนักผจญเพลิงกล่าวว่า บ้านเรือนกว่า 700 หลังในรัฐวิกตอเรียถูกเผาวอดวาย ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพื้นที่ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักที่สุดคือพื้นที่ทางตอนเหนือของเมืองเมลเบิร์น
อันที่จริง การเกิดไฟป่าเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในออสเตรเลียทุกปี แต่เนื่องจากในปีนี้สภาพอากาศร้อนรุนแรง เกิดภัยแล้ง และมีเศษกิ่งไม้แห้งมากมาย บวกกับต้นยูคาลิปตัสที่เป็นพืชเมืองเมืองของแดนจิงโจ้ ก็เป็นต้นไม้ที่มีน้ำมัน จึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เกิดไฟป่าลุกลาม และยังทำให้รัฐบาลถูกกดดันอย่างหนักให้เอาจริงกับนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศด้วย
บ๊อบ บราวน์ ผู้นำพรรคกรีนส์ ได้ประณามว่าแผนการล่าสุดของรัฐบาลในเรื่องการหยุดยั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้นไร้ประสิทธิภาพ เขายังกล่าวด้วยว่าไฟป่าในฤดูร้อนจะลดน้อยลงได้ก็ต่อเมื่อออสเตรเลียและประเทศอื่นๆ แสดงภาวะผู้นำในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศให้มากกว่านี้
"เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการเตือนสติเราให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศชาติและโลกทั้งโลกจะต้องปฏิบัติและให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับแรก" วุฒิสมาชิกบราวน์กล่าวเมื่อวานนี้
ในอีกด้านหนึ่ง คีแรน วอลเช รองผู้บัญชาการตำรวจรัฐวิกตอเรียกล่าววานนี้ว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไฟป่าที่เกิดขึ้นในบางบริเวณ ต้องเป็นฝีมือของพวกลอบวางเพลิง
"ไฟป่าเหล่านี้ในบางบริเวณเริ่มต้นขึ้นในพื้นที่ซึ่งสามารถจะเกิดไฟขึ้นได้ก็ด้วยการใช้มือจุดเท่านั้น มันไม่สามารถที่จะมาจากสาเหตุตามธรรมชาติได้" เขาบอก
ตำรวจเตือนด้วยว่า พวกวางเพลิงจะต้องเจอคดีฆาตกรรมด้วย เมื่อมีผู้เสียชีวิตเช่นนี้