เกิดเหตุเพลิงไหม้รับปีวัวไฟอีกรอบ คราวนี้อาคาร 7 ชั้น “เสือป่าพลาซ่า” ประชาชนหนีตายอลหม่าน ต้องใช้รถกระเช้า เฮลิคอปเตอร์ ช่วยลำเลียงจากดาดฟ้า หลังควันดำลอยคลุ้งจากต้นเพลิงร้านขายอุปกรณ์มือถือ ก่อนลามขึ้นเกสเฮาส์ และซาวน์น่า ด้านบน เจ้าหน้าที่ต้องระดมฉีดน้ำกว่า 4 ชั่วโมงจึงควบคุมเพลิงได้ เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย คาดยังมีติดค้างอยู่ภายในอีกหลายศพ ตร.เตรียมเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุเช้าวันนี้
วันนี้ (4 ม.ค.) เมื่อเวลา 20.00 น. ร.ต.ท.ถาวร ยอดยรรยง ร้อยเวร สน.พลับพลาไชย 1 รับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้ อาคารเสือป่าพลาซ่า บริเวณแยกเสือป่า ถ.เจริญกรุง แขวงและเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. จึงประสานหน่วยบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมรายงานผู้บังคับบัญชา และรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.6 พ.ต.อ.เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผกก.สน.พลับพลาไชย 1 รถดับเพลิงขนาดใหญ่กว่า 10 คัน
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 7 ชั้น ทราบว่า ภายในเปิดเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี โดยเกิดกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งขึ้นมาจำนวนมากจากต้นเพลิงซึ่งอยู่ที่ชั้น 1 ของตัวอาคารก่อนที่เพลิงจะลุกลามไปที่ชั้น 2 อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ต้องเร่งระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงอย่างเร่งด่วน แต่การดำเนินการเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากขณะเกิดเหตุยังไม่มีการตัดกระแสไฟฟ้า อีกทั้งมีประชาชนอยู่ในอาคารดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ต่างทยอยวิ่งหนีตายกันออกมาอย่างโกลาหล ส่วนหนึ่งพยายามหนีตายขึ้นไปบนดาดฟ้าของอาคาร และร้องขอความช่วยเหลือเสียงระงม โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงควบคุมเพลิงไว้ได้
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้พยายามเข้าช่วยเหลือผู้ที่ติดค้างอยู่ภายในอาคาร แต่การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากอาคารดังกล่าวเป็นอาคารเก่าเกรงว่าจะเกิดการทรุดตัว อีกทั้งกลุ่มควันสีดำที่เกิดจากการเผาไหม้อุปกรณ์โทรศัพท์ซึ่งทำจากพลาสติกยังคงพวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องและมีแสงเพลิงขึ้นอีกครั้งในตัวอาคารก่อนลุกลามอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้บาดเจ็บส่วนหนึ่งที่หนีออกมาทางบันไดหนีไฟหลายคนบาดเจ็บจากการสำลักควันไฟเจ้าหน้าที่จึงต้องเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงเป็นการเร่งด่วน ขณะที่การใช้รถกระเช้าเข้าช่วยเหลือผู้ที่ติดค้างอยู่บนดาดฟ้าของอาคารเป็นไปด้วยความยากลำบาก แม้จะมีการประสานเฮลิคอปเตอร์จากกองบินตำรวจเข้าช่วยเหลือแต่ก็ไม่สามารถลงจอดได้เนื่องจากกลุ่มควันหนาแน่นมาก จึงทำได้เพียงบินวนสังเกตการณ์บริเวณจุดเกิดเหตุเพื่อพัดกลุ่มควันให้ฟุ้งกระจายออกไปไม่ให้ผู้ที่ติดค้างอยู่บนดาดฟ้าเกิดการสำลักควันไฟได้ ส่วนบริเวณด้านล่างเจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดเส้นทางจราจรบริเวณถนนเจริญกรุง และถนนเสือป่าโดยรอบที่เกิดเหตุเป็นการชั่วคราว
สำหรับอาคารเสือป่าพลาซ่า มีนายสุรศักดิ์ อมรชัยชาญ เป็นเจ้าของ โดยชั้นที่ 1-3 เปิดเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์เสริมและหน้ากากโทรศัพท์มือถือ ชั้นที่ 4 เป็นร้านนวดแผนโบราณ ส่วนชั้นที่ 5 และ 6 เปิดเป็นเกสต์เฮาส์ และทราบว่าขณะเกิดเหตุมีผู้พักอาศัยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติประมาณ 14 ห้อง ส่วนชั้นที่ 7 เปิดเป็นเซาน่า โดยขณะเกิดเหตุมีผู้ติดอยู่ในอาคารประมาณ 50-60 คน โดยบางส่วนพยายามหนีขึ้นไปบนดาดฟ้า ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือออกมาได้ประมาณ 30 คน บางส่วนได้ปีนข้ามไปยังอาคารใกล้เคียงเนื่องจากมีบันไดเชื่อมต่อกันได้ ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์จากกองบินตำรวจจะช่วยเหลือลำเลียงส่งโรงพยาบาลกลาง
อย่างไรก็ดี หลังจากใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่สามารถฉีดน้ำสกัดเพลิงไว้ได้ในวงจำกัด แต่ยังคงต้องฉีดน้ำเลี้ยงด้านนอกอาคารก่อนที่จะระงับการฉีดน้ำ และใช้นักผจญเพลิงนำโฟมเข้าไปฉีดด้านในอาคาร เพื่อป้องกันการทรุดตัวและไม่ให้เชื้อไฟปะทุขึ้นมาอีก ส่วนการช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในอาคารสามารถนำตัวออกมาได้รวม 36 คน ส่วนใหญ่มีอาการสำลักควัน นำส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกลาง 32 ราย แพทย์ให้กลับบ้านได้แล้ว 30 ราย อีก 2 รายให้นอนรอดูอาการ ส่วนอีก 4 รายเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลหัวเฉียว แพทย์ให้กลับบ้านได้ 3 ราย ส่วนอีก 1 รายต้องรอดูอาการ
พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.กล่าวหลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุว่า แม้จะสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าตรวจสอบภายในอาคารได้อย่างละเอียดเนื่องจากยังคงมีความร้อนสะสมอยู่ด้านใน ทำให้ยังไม่สามารถตอบได้ว่ามีผู้ติดค้างอยู่ภายในหรือไม่ แต่หากมีผู้ติดค้างก็น่าจะเสียชีวิตแล้ว
“ส่วนสาเหตุของเลิงไหม้ ขณะนี้ยังไม่สามรถระบุอย่างชัดเจนได้ คงต้องรอเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบภายในอาคารอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยในเบื้องต้นจะมีการปิดช่องการจราจร 1 ช่องทางโดยรอบอาคาร ซึ่งจะกันเป็นพื้นที่อันตรายไว้ก่อน และจะประสาน กทม. เข้าตรวจสอบพื้นที่อีกครั้ง ส่วนเรื่องการดูแลผู้ประสบเหตุทางเราได้ระดมพนักงานสอบสวนจาก บช.น.เข้าช่วยเหลือ พนักงานสอบสวนของ สน.พลับพลาไชย 1 และตั้งจุดบริการรับแจ้งเหตุเบื้องต้น ณ ที่เกิดเหตุ” พล.ต.ท.สุชาติ กล่าว
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของ กทม.กล่าวว่าใน เบื้องต้น กทม.จะประกาศปิดอาคารชั่วคราว และประกาศเป็นพื้นที่อันตราย จากนั้นจะส่งวิศวกรของ กทม.เขาตรวจสอบโครงสร้างภายในอาคารว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่ หากพบว่าอันตรายก็จะปิดเป็นการถาวร เนื่องจากอาคารถูกความร้อนนานกว่า 4 ชั่วโมงถือว่าเสี่ยงต่อการทรุดตัว
นายมนูญ จีนชาติ อายุ 46 ปี ผู้จัดการจีเอสเอ็มเกสเฮาส์แอนด์เซาน่า ที่ชั้น 5, 6 และ 7 ของอาคารดังกล่าว เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุตนอยู่ที่บริเวณชั้น 1 ของอาคารซึ่งส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือและปิดบริการหมดแล้วตั้งแต่ช่วงเวลา 18.00 น. โดยตนสังเกตเห็นกลุ่มควันสีดำออกมาจากช่องประตูเหล็กของร้านจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือไม่มีชื่อร้านหนึ่ง จึงได้พยายามเรียกพนักงานของอาคารประมาณ 6-7 คนช่วยกันนำถังดับเพลิงมาฉีดเข้าไปภายในแต่ไม่สามารถดับเพลิงได้ จากนั้นเพลิงได้ลุกลามอย่างรวดเร็วและมีควันดำพวยพุ่งออกมามากขึ้น
“ผมเห็นท่าไม่ดีจึงโทรศัพท์ขึ้นไปแจ้งเคาน์เตอร์ของเกสต์เฮาส์ให้ประกาศเตือนแขกที่อยู่ในห้องพัก จำนวน 14 ห้อง เป็นแขกชาวต่างชาติ 2 ห้อง และลูกค้าที่มาใช้บริการเซาน่าอีกประมาณ 120 คนให้หนีขึ้นไปบนดาดฟ้าของอาคารและให้ข้ามต่อไปยังดาดฟ้าของอาคารธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ที่อยู่ติดกันเพื่อรอการช่วยเหลือ” นายมนูญ กล่าวและว่า
จากนั้นตนได้ขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อช่วยเหลือแขกที่พักแต่ช่วยนำทางออกมาได้เพียง 7-8 คนเท่านั้นเนื่องจากกลุ่มควันที่เริ่มลอยขึ้นมาถึงชั้นบน จึงจำเป็นต้องหนีเอาตัวรอดก่อนโดยลงมาทางบันไดหนีไฟของตัวอาคาร
ด้าน นายมนัส กล้าแท้ อายุ 31 ปี ผู้บาดเจ็บที่ได้รับการช่วยเหลือจากดาดฟ้าอาคารเปิดเผยนาทีชีวิตว่า ขณะเกิดเหตุตนซึ่งกำลังใช้บริการซาวน์น่าอยู่ที่ชั้น 7 ของอาคาร เมื่อทราบว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้จึงรีบแจ้งผู้ที่มาใช้บริการให้หลบหนีโดยกลุ่มของตนประมาณ 40 คน มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ขึ้นบันไดหนีไฟไปบนชั้นดาดฟ้าของอาคาร โดยบางคนเกิดอาการสำลักควัน และหวาดกลัว ตนเองซึ่งยังคงมีสติได้กล่าวปลอบใจว่าขอให้อดทนเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มาช่วยอย่างแน่นอน ซึ่งหลังจากกลุ่มของตนติดอยู่บนดาดฟ้าประมาณ 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จึงสามารถใช้รถกระเช้าและเฮลิคอปเตอร์ช่วยเหลือลงมาได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุเบื้องต้นพบศพผู้เสียชีวิตชาย 1 ราย บริเวณชั้นที่ 7 ของอาคารในสภาพนั่งเสียชีวิตพิงผนังห้อง สวมผ้าขนหนูผืนเดียว ทราบชื่อนายสงวน แสนแก้ว อายุ 46 ปี คาดว่าจะเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการเซาน่าที่พยายามหนีเอาชีวิตรอด และเกิดการสำลักควันจนมาเสียชีวิต ส่วนการตรวจสอบที่ชั้นอื่นๆ พบว่าที่ ชั้น 1-4 ไม่พบผู้เสียชีวิต ส่วนที่ชั้น 5, 6 และ 7 มีห้องพักหลายห้องที่ประตูถูกปิดล็อคและคาดว่าน่าจะมีศพผู้เสียชีวิตอยู่ด้านในซึ่งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จะเข้าตรวจสอบพื้นที่ภายในอาคารอย่างละเอียดอีกครั้งในเช้าวันนี้