xs
xsm
sm
md
lg

เปิดตำนานใหม่“กะเหรี่ยงแพร่”ต้าน“แม้ว” เดินหน้ากรองข้อมูลสื่อ-สร้างสังคมการเมืองใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เกียรติ คำน้อย ส.อบต.แม่พุงหลวง ที่ร่วมริเริ่มใช้ ASTV กระจายข้อมูลข่าวสารให้ชาวบ้าน
แพร่ – เปิดศักราชใหม่ “ชุมชนกะเหรี่ยงแม่พุงหลวงเมืองแพร่” หมู่บ้านชนเผ่ากลางหุบเขา “ผีปันน้ำ” ที่ใช้ “ASTV” จุดประกายการเปลี่ยนแปลงในชุมชน เปิดช่องทางการเรียนรู้ให้แก่คนในชุมชน จนเริ่มตามทันการเมืองน้ำเน่า เห็นผลร้ายจาก “ระบอบแม้ว” ที่กัดกร่อนสังคมไทยตั้งแต่ยุคสารพัดโครงการเอื้ออาทร-กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ ถึงขั้นหลุดปากว่า “ถ้าปล่อยไว้ก็ฉิบหาย”

“ผมยังติดใจคำพูดของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ที่มักจะบอกกับผู้ชม ASTV อยู่เสมอ ๆ ว่า ทีนี้รู้หรือยัง !? เพราะสะท้อนให้เห็นถึงการเปิดเวทีทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ของภาคประชาชน ที่ไม่เจอในทีวีเสรีช่องอื่น ๆ” อำนวย ใจอ้าย หนึ่งในเกษตรกรเชื้อสายกะเหรี่ยง บ้านแม่พุงหลวง ที่มีวิถีเกษตรพอเพียงทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษ

“อะไรที่เราไม่รู้ ก็ได้รู้ อะไรที่เราไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น การเมืองเมื่อก่อน เราไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เราเห็นเขาโกงกินสิ่งที่ประชาชนคนไทยควรจะได้ไปอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ ฉิบหายแน่” ด่วน ปิงจันทร์ ปราชญ์ชาวบ้านเชื้อสายกะเหรี่ยง ในหมู่บ้านแม่พุงหลวง อ.วังชิ้น จ.แพร่

“การเมืองใหม่ กำลังเกิดขึ้นในใจของประชาชนแล้ว แม้ว่าการเมืองในระบบ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่เมล็ดพันธุ์การเมืองใหม่ ได้เกิดขึ้นแล้ว” เกียรติ คำน้อย อบต.บ้านแม่พุงหลวง

นี่คือส่วนหนึ่งในบันทึกคำพูดของคนในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่พุงหลวง อ.วังชิ้น จ.แพร่ ชุมชนชาวกะเหรี่ยงแห่งเทือกเขา “ผีปันน้ำ” ที่บอกเล่ากับ “ASTVผู้จัดการรายวัน” เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนพื้นเมืองแห่งนี้ นับเนื่องตั้งแต่ปี 48-49 ที่พวกเขาบางส่วนร่วมต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ผ่านหน้าจอ “ASTV” ก่อนที่จะมีบางส่วนเคยเข้าไปร่วมชุมนุม 193 วันสงครามครั้งสุดท้าย – ร่วมชุมนุมในทำเนียบฯ – สนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ

ในอดีต อ.วังชิ้น จ.แพร่ ถือเป็นบ้านป่า ห่างไกลความเจริญ ไม่มีใครให้ความสนใจ โดยเฉพาะภาครัฐมักส่งข้าราชการที่มีปัญหาไปอยู่ หรือหากจะมีข้าราชการที่อยากเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ก็เพียงกลุ่มที่มีผลประโยชน์กับการตัดไม้ทำลายป่า – รับส่วย เท่านั้น

แต่ทว่าวันนี้อำเภอวังชิ้น มิได้เป็นเมืองที่หลายคนสบประมาทได้อีกแล้ว ด้วยแนวคิดที่เกิดจากเนื้อในวัฒนธรรมประเพณีที่ยังคงมีอยู่สืบทอดมาจนปัจจุบัน ทั้งวัฒนธรรมชุมชน สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ และอาชีพเกษตรกรรมธรรมชาติ พร้อมทั้งความเป็นชนพื้นเมืองที่ยืนหยัดอยู่อย่างสมศักดิ์ศรี

ในมิติ “การเมือง” ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย ต่างประณามคนวังชิ้นว่า ตกอยู่ภายใต้เม็ดเงิน ที่หว่านลงไปซื้อเสียง และกลุ่มการเมืองเดิมๆ ก็กลับมา จนทำให้เมืองแพร่ หานักการเมืองคุณภาพได้ยากเต็มที

แต่ทว่าด้วยเหตุผลข้างต้นกับความเข้าใจรัฐธรรมนูญ ชาววังชิ้น โดยเฉพาะกลุ่มพี่น้องชนเผ่ากะเหรี่ยง ชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยเทือกเขาผีปันน้ำมานานหลายชั่วอายุคน มีการไหว้ผีขุนห้วย ผีขุนน้ำ เพื่อให้ธรรมชาติปกปักรักษาให้ชุมชนอยู่อย่างปลอดภัยมาช้านาน ได้รับรู้เรื่องราวของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ร่วมร่างเมื่อปี 2540 และอีกครั้งในปี 2550 ทำให้พวกเขารู้ถึงสาระในกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยเฉพาะสิทธิของชุมชนและการดูแลทรัพยากรและการปกครองดูแลกันเองในภาคประชาชน
ลานบ้านของ “อบต.เกียรติ”ศูนย์รวมของชาวบ้านแม่พุงหลวง ที่ร่วมกันรับชมรายการเอเอสทีวีทุกค่ำคืน  จากโทรทัศน์ดาวเทียมเครื่องเดียวกัน
โดยเฉพาะในมาตรา 3 กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุชัดว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจการเมืองว่า เขาทุกคนต้องสร้างเอง

และในที่สุดไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง – การโหวตร่างรัฐธรรมนูญ ชาววังชิ้นจึงมีความแตกต่างจากอำเภออื่นๆของจังหวัดแพร่ อย่างสิ้นเชิง

การเปลี่ยนแปลงแนวความคิดจากความรู้ในกฎหมาย ทำให้ชาววังชิ้นเข้าถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมมาก และเร็วกว่าพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัดแพร่ และเป็นผลดีอีกทางที่อำนาจของภาครัฐเข้าไปครอบงำน้อยกว่าพื้นที่อื่นๆ

พวกเขาเล่าว่า สิ่งที่ทำให้พวกเขาเห็นแย้งกับรัฐอย่างรุนแรง เริ่มขึ้นในช่วงปี 2549 โดยเฉพาะที่บ้านแม่พุงหลวง หมู่ 15 ต.แม่พุง อ.วังชิ้น ประชากรทั้งชุมชนเป็นชาวกะเหรี่ยงพื้นเมือง ร้อยละ 99.99 เริ่มมองเห็นการทำงานของรัฐที่ไม่ตรงตามความต้องการหรือความจำเป็นของชุมชน จากการบริหารราชการของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เริ่มทำให้ประชาชนอ่อนแอลง เช่นการทำโครงการเอื้ออาทรหลากหลาย

ช่วงนั้นเห็นชัดว่า บ้านแม่พุงหลวง มีความเข้มแข็งเรื่องการออมทรัพย์ ภายใต้การหนุนช่วยของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน โดยก่อตั้ง “กลุ่มออมทรัพย์เครดิตยูเนี่ยนสร้อยหล้า” ขึ้นมานานและมีผลการบริหารจัดการจนชาวบ้านมีสวัสดิการของตนเองในชุมชน แต่รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญแก่สิ่งที่ชุมชนประสบความสำเร็จ กลับนำกองทุนหมู่บ้านเข้ามาอีก และไม่อนุญาตให้รวมกองทุน ตรงนี้เริ่มทำให้ชาวบ้านแตกแยกเป็น 2 ส่วน นอกจากนั้นยังพบปัญหาที่เกิดจากการบริหารจัดการในระบอบทักษิณมากมาย

ในปีนี้เองที่เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองขึ้นในกรุงเทพฯ คือ “ปรากฏการณ์สนธิ” ที่บานปลายออกสู่การรวมตัวจากหลายฝ่าย เป็นเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และใช้สื่อ “ASTV” ในการเผยแพร่ความรู้ทางการเมืองและปัญหาที่เกิดจากการบริหารบ้านเมือง

แกนนำสำคัญ เริ่มเก็บข้อมูลข่าวสาร นำเข้าสู่การถกเถียงและพูดคุยกันในชุมชน ตามบ้านของผู้นำ เช่น “เกียรติ คำน้อย สมาชิก อบต.แม่พุงหลวง - ลุงอำนวย ใจอ้าย ปราชญ์ชุมชนคนสำคัญที่ร่วมกันต่อยอดข่าวสารใน กทม.สู่การรับรู้ของประชาชน

“อบต.เกียรติ” บอกว่า ยิ่งรู้ข้อมูลมากขึ้นก็พบว่าการบริหารของรัฐบาลทักษิณ เป็นปัญหาของบ้านเมืองซึ่งผู้นำตามธรรมชาติ เหล่านี้ ซึ่งเคยดูแลรักษาสถาบันการเงินของชุมชน วัฒนธรรมชนเผ่า รักษาป่าของชุมชน เริ่มถูกจุดประกายขึ้นด้วยการหารือในที่ประชุมหลายฝ่าย เพื่อต้องการหาข้อมูลข่าวสารลงสู่ชุมชนให้มากที่สุด ในที่สุดได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนบ้านค้างปินใจ ให้ยืมโปรเจกเตอร์ และสำนักฮอมบุญอโศก บ้านป่าไผ่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ อนุเคราะห์จานดาวเทียมเอเอสทีวีให้

จากนั้นพวกเขาก็ติดตั้งกันเอง ลองผิดลองถูกทางด้านเทคนิค และในที่สุดก็ได้ผล

รายการรู้ทันประเทศไทยของ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ,รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของสนธิ ลิ้มทองกุล และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ก็ถูกแพร่ภาพกลางหมู่บ้าน

ช่วงนั้นลานบ้านของ “อบต.เกียรติ” กลายเป็นพื้นที่รับชมรายการเอเอสทีวีทุกค่ำคืน มีชาวบ้านแม่พุงหลวงนั่งกลางดินดูโทรทัศน์ดาวเทียมเครื่องเดียวกัน ประชาชนสนใจมากขึ้นๆ ทุกขณะ และในที่สุดก็เกิดการเรียนรู้ของชุมชน ไม่แพ้คนที่ไปเรียนในมหาวิทยาลัยราชดำเนิน และชุมชนได้ร่วมขับไล่ทรราชออกไปจากแผ่นดิน แม้เขาเหล่านั้นอยู่ในป่า ห่างไกลความเจริญ

กลุ่มผู้นำทั้งที่เป็นทางการ และผู้นำตามธรรมชาติ บ้านแม่พุงหลวง เล่าว่า 19 กันยายน 2549 เป็นวันที่พวกเขาใจจดใจจ่อ แ ละในที่สุดการปฏิวัติก็เกิดขึ้น ชุมชนไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ แต่ไม่มีทางออกสำหรับรัฐบาลที่มีอำนาจล้นฟ้า

การติดตามไม่ได้จบลง แต่กลับมีผู้สนใจมากขึ้นสร้างความก้าวหน้าทางการเมือง เมื่อช่วงเลือกตั้งใหม่ การตัดสินของศาลในการยุบพรรคไทยรักไทย และที่ประชาชนสนใจมากในขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงนี้ประชาชนใน อ.วังชิ้น หลายกลุ่มเดินทางไปร่วมชุมนุมที่หน้าทำเนียบ โดยเฉพาะแกนนำของแม่พุงหลวง และปราชญ์ชาวบ้าน กว่า 20 คนได้เข้าสัมผัสรสชาติอาหาร ร่วมเยี่ยมชมทำเนียบรัฐบาลด้วย มีหลายคนได้ร่วมปิดสนามบินดอนเมือง

ด่วน ปิงจันทร์ ปราชญ์ชาวบ้านในแม่พุงหลวง กล่าวว่า อะไรที่เราไม่รู้ก็ได้รู้อะไรที่เราไม่เห็นก็ได้เห็น การเปลี่ยนแปลงช่วงรวดเร็ว และสมัยนี้เราเห็นสิ่งผิดสิ่งถูกได้เร็วกว่าอดีต การเมืองเมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจแต่วันนี้เราเห็นการโกงกินนั้นเป็นผลประโยชน์ที่ตกสู่ประชาชนแต่เขาเอาไปหมด “อย่างนี้ถ้าปล่อยไปก็ฉิบหาย”

อำนวย ใจอ้าย เกษตรกรที่มีวิถีเกษตรพอเพียงทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษ กล่าวว่าสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีเป็นสถานีที่เปิดเผยมากทุกแง่มุมไม่ใช่สถานีเป็นผู้กล่าวหารัฐบาล แต่สถานีและนักจัดรายการได้ร่วมกันนำเอาเนื้อหาสาระที่มาจากนักวิชาการ และคนรอบด้านมาสู่สายตาประชาชน ไม่ว่าจะเป็นนักการทูต นักธุรกิจ นักการเมือง ผู้นำศาสนา และสำคัญคือนักวิชาการที่ชาวบ้านมีโอกาสสัมผัสน้อยมาก เอเอสทีวี ได้จัดรายการจนชาวบ้านอดดูไม่ได้ ต้องติดตามต่อเนื่องเพื่อค้นหาความจริงให้ปรากฏ

เขาบอกว่า ยังติดใจคำพูดของคุณสนธิ ที่ว่า “ทีนี้รู้หรือยัง” นี่เป็นการเปิดเวทีครั้งยิ่งใหญ่ทางการเมืองในรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนได้มีเวที มุมหนึ่งมีคนกล่าวหาพันธมิตรฯมากมาย แต่ผมคิดว่า เป็นเวทีที่ประชานได้มีโอกาสระดมความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกัน ชาวบ้านอยากจะใช้วิธีโต้ตอบ แต่ที่ชุมชนยังไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือเครื่องมือสื่อสารที่ดีพอ ทำให้ไม่มีโอกาสได้ร่วม

“แต่ยังพอมีที่นักข่าวASTVผู้จัดการได้นำภาพของชาวแม่พุงหลวงที่นั่งดูทีวีทุกค่ำคืนไปเผยแพร่”

เกียรติ คำน้อย สรุปความคิดของเขาให้ฟังว่า ตนคิดว่าการพัฒนาทางการเมืองขณะนี้เกิดแล้ว การเมืองใหม่กำลังเกิดขึ้นในใจของประชาชน แม้แต่การเมืองในระบบยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักแต่เห็นภาพความสนใจทางการเมืองไม่เพียงที่ อ.วังชิ้น เราไปสัมผัสการจัดเวทีพันธมิตรฯ ที่จัดในตัวเมืองแพร่ ชาวบ้านได้พบกับอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่โรงแรมนครแพร่ ที่องค์กรพัฒนาเอกชนในจังหวัดแพร่จัดขึ้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทุกคนได้รู้ถึงธาตุแท้ของนักการเมือง ว่า โกงกิน

อย่างไรก็ตาม วันนี้ยังไม่ถือว่า การต่อสู้เพื่อการเมืองใหม่จบลงแต่ยังคงต้องทำงานกันต่อไป

นี่เป็นเสียงวิพากษ์และเรียกร้องของชุมชนห่างไกลที่ได้รับข้อมูลข่าวสารแล้วเป็นประโยชน์ วันนี้ชาวบ้านไม่เพียงดูสื่อ แต่ยังคงเดินหน้าร่วมกันพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน ไว้ให้มากที่สุด และเดินตามแนวพระราชดำริในเรื่องของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อความสุขแบบองค์รวมของหมู่บ้านชุมชน

วันนี้ เขามีสวัสดิการของชุมชน มีระบบประปาที่ใช้พลังงานทางเลือก มีการดูแลสุขภาพด้วยหมอพื้นบ้าน มีความพอเพียงที่ก้าวหน้า

และวันนี้ชาวบ้านเข้าใจชัดเจนแล้วว่า การใช้สื่อเป็นอาวุธชนิดหนึ่งของชุมชน ที่จะเป็นตัววิเคราะห์ได้ว่า ภาครัฐเดินหน้าพัฒนาเพื่อหวังอะไรและชุมชนควรตั้งมั่นระวังอย่างไร

ในที่สุด ชุมชนแห่งนี้ก็มีมติ ใช้งบประมาณที่รวบรวมจากกองทุนสวัสดิการ เครดิตยูเนี่ยนสร้อยหล้า จัดซื้อโปรเจกเตอร์เป็นของหมู่บ้าน เปิดฉายโทรทัศน์ดาวเทียมเอเอสทีวีได้ทุกคืน

ชุมชนแม่พุงหลวง นอกจากดูสื่อ เอเอสทีวี แล้วยังดูช่องอื่นเพื่อนำมาประกอบการพิจารณา ซึ่งในที่สุดการนำเสนอกับเหตุการณ์จริงเอเอสทีวีน่าจะอยู่กลางใจของประชาชนในชนบท แต่ยังคงมีข้อเสียอยู่บ้างที่ เอเอสทีวี ดูไม่ได้ทุกบ้าน

ดังนั้น ต้องทำอย่างไร ที่จะให้โทรทัศน์สาระดีอย่างนี้ได้เข้าถึงทุกหลังคาเรือน
กำลังโหลดความคิดเห็น