เอเอฟพี - บรรดานักวิเคราะห์หลากสำนักเห็นว่าราคาโลหะและน้ำมันจะยังคงอ่อนตัวตลอดปีนี้เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่ ในขณะที่ราคาทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์การเกษตรจะมีราคาไต่สูงขึ้นอย่างหนักแน่นมากกว่าเดิม
“ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรวมทั้งการลดภาระหนี้” ซึ่งได้ทำให้ตลาดการเงินขาดสภาพคล่องในเวลานี้ “ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพล” ต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะกลาง” โรบิน บาร์นักวิเคราะห์จากคัลยอง เครดีต์ อากริโกล ให้ความเห็น
ในช่วงที่ผ่านมากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) ต้องประกาศลดกำลังการผลิตลงมามากหลาย ในขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ก็มีการปลดคนงานลงจำนวนมาก ท่ามกลางกระแมสคาดการณ์ที่ว่า ความต้องการโลหะและน้ำมันยังจะดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้
สำหรับแฮร์รี ทิลลิงกวิเรียน นักวิเคราะห์ของธนาคารบีเอ็นพี ปารีบาส์ แห่งฝรั่งเศสแล้ว เขาบอกว่าเศรษฐกิจคงยังไม่ฟื้นตัวขึ้นก่อนไตรมาสที่สาม ดังนั้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ยังคงไม่กระเตื้องขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นแน่
ส่วนฟิลลิปเป ชาลแมง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมต่าง ๆและเป็นประธานของกลุ่มไซโคลปที่ชำนาญการวิเคราะห์ตลาดวัตถุดิบโดยเฉพาะ ก็ให้ความเห็นว่า ในปีนี้บรรดานักเก็งกำไรและนักลงทุนระดับสถาบันที่เคยมีบทบาทมาก ในการชี้นำราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้พุ่งทะยานขึ้นในช่วงกลางปี 2008 จะมี “บทบาทน้อยลงกว่าเดิมมาก ในช่วงที่ตลาดกำลังดิ่งลง”
ไซโคลปทำนายว่าราคาเหล็กน่าจะร่วงลงอย่างรุนแรงในปีนี้ และระดับราคาน่าจะลงไปอยู่ต่ำว่าอัตราเฉลี่ยของปี 2008 และราคาอลูมีเนียมก็จะตกลงไป 20% ด้วยเช่นกันซึ่งทำให้ราคาอลูมีเนียมอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี แต่ชาลแมงก็บอกว่าด้วยราคาที่ต่ำติดดินเช่นนี้ ทำให้ราคาคงจะลดไปกว่านี้มากนักไม่ได้
ส่วนทองคำซึ่งดึงดูดเงินลงทุนจากผู้ที่แสวงหาที่พักเงินที่มีความเสี่ยงต่ำในช่วงแห่งความผันผวนรุนแรงนี้ น่าจะมีแนวโน้มสดใสดีกว่าโลหะชนิดอื่น ๆมาก นับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมเป็นต้นมา ราคาทองคำก็พุ่งขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์อีกครั้งหนึ่ง ไซโคลปบอกว่าราคาทองคำเฉลี่ยของปีนี้อาจจะตกลงราว 2% เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยของปีที่แล้ว
ในตลาดค้าทองคำแท่งของลอนดอนเมื่อวันอังคาร(3) ราคาทองคำลงไปอยู่ที่ 905.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จาก 918.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ของเมื่อวันก่อน
สำหรับน้ำมัน นักวิเคราะห์ของโกลแมนด์ แซคส์คาดว่าราคาน้ำมันน่าจะลงไปอยู่ต่ำกว่า 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ จากนั้นก็เหวี่ยงกลับขึ้นมาอยู่ที่ราว 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งหลังของปี 2009
ที่ตลาดค้าโภคภัณฑ์นิวยอร์ค (ไนเม็กซ์) เมื่อวันอังคาร น้ำมันดิบชนิดไลท์สวีตครูดเพื่อการส่งมอบเดือนมีนาคมปิดที่ 40.78 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 70 เซนต์เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวันจันทร์
ทิลลิงกวิเรียนคาดว่าราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยน่าอยู่ที่ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาสสอง และก็เพิ่มขึ้นเป็น 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงปลายปี ทางด้านไซโคลปคาดว่าราคาเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 60 ดอลลาร์ในช่วงปลายปี
ส่วนราคาสินค้าเกษตรน่าจะมีสเถียรภาพมากที่สุดในบรรดาสินค้าโภคภัณฑ์ด้วยกัน เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวลงรวดเร็วมากในช่วงปลายปีที่แล้วต่อเนื่องมาจนต้นปีนี้ เฉกเช่นพวกสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงานและโลหะ
ชาลแมงยังบอกด้วยว่าการเก็บเกี่ยวในฤดูกาลเพาะปลูก 2009-2010 ก็ไม่น่าจะได้ผลผลิตเท่ากับปี 2008-2009 ซึ่งเป็นปีที่พืชผลอุดมสมบูรณ์อย่างมาก อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่ง พวกผู้นำเข้าข้าวสาลีและข้าวเจ้ารายใหญ่ ซึ่งก็เป็นผู้ผลิตน้ำมัน อย่างเช่น ไนจีเรียและแอลจีเรีย ในปีนี้ย่อมไม่สามารถจะจ่ายค่าข้าวในราคาสูงเหมือนเมื่อก่อนได้อีกต่อไป เพราะว่ารายได้ของพวกเขาหดหายไปจากราคาน้ำมันที่ดิ่งลงตลอดมา
ไซโคลปคาดการณ์ว่าราคาเฉลี่ยของข้าวสาลีจะยืนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ส่วนราคาโกโก้จะเพิ่มขึ้น 8% และทำให้ราคาแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี สำหรับราคาข้าวโพดก็จะเพิ่มขึ้น 12% ในขณะที่น้ำตาลจะแพงขึ้น 23%
“ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรวมทั้งการลดภาระหนี้” ซึ่งได้ทำให้ตลาดการเงินขาดสภาพคล่องในเวลานี้ “ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพล” ต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะกลาง” โรบิน บาร์นักวิเคราะห์จากคัลยอง เครดีต์ อากริโกล ให้ความเห็น
ในช่วงที่ผ่านมากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) ต้องประกาศลดกำลังการผลิตลงมามากหลาย ในขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ก็มีการปลดคนงานลงจำนวนมาก ท่ามกลางกระแมสคาดการณ์ที่ว่า ความต้องการโลหะและน้ำมันยังจะดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้
สำหรับแฮร์รี ทิลลิงกวิเรียน นักวิเคราะห์ของธนาคารบีเอ็นพี ปารีบาส์ แห่งฝรั่งเศสแล้ว เขาบอกว่าเศรษฐกิจคงยังไม่ฟื้นตัวขึ้นก่อนไตรมาสที่สาม ดังนั้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ยังคงไม่กระเตื้องขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นแน่
ส่วนฟิลลิปเป ชาลแมง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมต่าง ๆและเป็นประธานของกลุ่มไซโคลปที่ชำนาญการวิเคราะห์ตลาดวัตถุดิบโดยเฉพาะ ก็ให้ความเห็นว่า ในปีนี้บรรดานักเก็งกำไรและนักลงทุนระดับสถาบันที่เคยมีบทบาทมาก ในการชี้นำราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้พุ่งทะยานขึ้นในช่วงกลางปี 2008 จะมี “บทบาทน้อยลงกว่าเดิมมาก ในช่วงที่ตลาดกำลังดิ่งลง”
ไซโคลปทำนายว่าราคาเหล็กน่าจะร่วงลงอย่างรุนแรงในปีนี้ และระดับราคาน่าจะลงไปอยู่ต่ำว่าอัตราเฉลี่ยของปี 2008 และราคาอลูมีเนียมก็จะตกลงไป 20% ด้วยเช่นกันซึ่งทำให้ราคาอลูมีเนียมอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี แต่ชาลแมงก็บอกว่าด้วยราคาที่ต่ำติดดินเช่นนี้ ทำให้ราคาคงจะลดไปกว่านี้มากนักไม่ได้
ส่วนทองคำซึ่งดึงดูดเงินลงทุนจากผู้ที่แสวงหาที่พักเงินที่มีความเสี่ยงต่ำในช่วงแห่งความผันผวนรุนแรงนี้ น่าจะมีแนวโน้มสดใสดีกว่าโลหะชนิดอื่น ๆมาก นับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมเป็นต้นมา ราคาทองคำก็พุ่งขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์อีกครั้งหนึ่ง ไซโคลปบอกว่าราคาทองคำเฉลี่ยของปีนี้อาจจะตกลงราว 2% เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยของปีที่แล้ว
ในตลาดค้าทองคำแท่งของลอนดอนเมื่อวันอังคาร(3) ราคาทองคำลงไปอยู่ที่ 905.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จาก 918.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ของเมื่อวันก่อน
สำหรับน้ำมัน นักวิเคราะห์ของโกลแมนด์ แซคส์คาดว่าราคาน้ำมันน่าจะลงไปอยู่ต่ำกว่า 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ จากนั้นก็เหวี่ยงกลับขึ้นมาอยู่ที่ราว 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งหลังของปี 2009
ที่ตลาดค้าโภคภัณฑ์นิวยอร์ค (ไนเม็กซ์) เมื่อวันอังคาร น้ำมันดิบชนิดไลท์สวีตครูดเพื่อการส่งมอบเดือนมีนาคมปิดที่ 40.78 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 70 เซนต์เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวันจันทร์
ทิลลิงกวิเรียนคาดว่าราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยน่าอยู่ที่ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาสสอง และก็เพิ่มขึ้นเป็น 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงปลายปี ทางด้านไซโคลปคาดว่าราคาเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 60 ดอลลาร์ในช่วงปลายปี
ส่วนราคาสินค้าเกษตรน่าจะมีสเถียรภาพมากที่สุดในบรรดาสินค้าโภคภัณฑ์ด้วยกัน เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวลงรวดเร็วมากในช่วงปลายปีที่แล้วต่อเนื่องมาจนต้นปีนี้ เฉกเช่นพวกสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงานและโลหะ
ชาลแมงยังบอกด้วยว่าการเก็บเกี่ยวในฤดูกาลเพาะปลูก 2009-2010 ก็ไม่น่าจะได้ผลผลิตเท่ากับปี 2008-2009 ซึ่งเป็นปีที่พืชผลอุดมสมบูรณ์อย่างมาก อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่ง พวกผู้นำเข้าข้าวสาลีและข้าวเจ้ารายใหญ่ ซึ่งก็เป็นผู้ผลิตน้ำมัน อย่างเช่น ไนจีเรียและแอลจีเรีย ในปีนี้ย่อมไม่สามารถจะจ่ายค่าข้าวในราคาสูงเหมือนเมื่อก่อนได้อีกต่อไป เพราะว่ารายได้ของพวกเขาหดหายไปจากราคาน้ำมันที่ดิ่งลงตลอดมา
ไซโคลปคาดการณ์ว่าราคาเฉลี่ยของข้าวสาลีจะยืนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ส่วนราคาโกโก้จะเพิ่มขึ้น 8% และทำให้ราคาแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี สำหรับราคาข้าวโพดก็จะเพิ่มขึ้น 12% ในขณะที่น้ำตาลจะแพงขึ้น 23%