การได้จัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ การก้าวขึ้นมาสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การก้าวขึ้นมาสู่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงมนุษย์ของนายวิฑูรย์ นามบุตร มิใช่เรื่องทำได้ง่ายๆ เหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก
หากแต่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องรอให้สถานการณ์สุกงอม ให้นายสมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้เขาขาดคุณสมบัติ เพราะทำกับข้าวไปรับเงินไป อันเป็นการทับซ้อนเรื่องผลประโยชน์ซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนห้ามเอาไว้ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบ เพราะกรรมการบริหารพรรคทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งให้ใบแดง และศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค
และที่สำคัญประการหนึ่งคือ ให้กลุ่มเพื่อนของนายเนวิน ชิดชอบ เปลี่ยนใจจากการจงรักภักดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเอาใจออกห่างมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้คะแนนเป็นอันดับ 2 จัดตั้งรัฐบาล
ควรหรือที่รัฐมนตรีให้โควตาของพรรคประชาธิปัตย์จะต้องมาตายน้ำตื้นตายง่ายๆ ด้วยการแจกปลากระป๋องเน่าให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัย
ชื่อกระทรวงนั้นบอกชัดแจ้งอยู่แล้วว่า กระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงมนุษย์
พรรคประชาธิปัตย์มอบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการให้กับนายวิฑูรย์ นามบุตร นั่นก็เพราะเขาผ่านการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วหลายสมัย อาวุโสย่อมจะสูงกว่านายอิสระ สมชัย นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ
และย่อมจะต้องผ่านงานการเป็นผู้ช่วยเลขานุการ หรือเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการ หรือรัฐมนตรีว่าการมาแล้ว
กระทรวงที่เขาต้องรับผิดชอบกำกับดูแลคือ กระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ซึ่งฟังเพียงชื่อกระทรวงก็จะเห็นว่า แตกต่างห่างไกลกับปลากระป๋องเน่าอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเกิดอุทกภัยขึ้นกับพี่น้องประชาชนที่จังหวัดพัทลุง กระทรวงพัฒนาการสังคมฯ จัดหาถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน
ในถุงยังชีพนั้น มีอาหารเพื่อช่วยให้เขายังชีพอยู่เป็นผู้เป็นคนต่อไปได้ไม่ต้องถึงขนาดที่จะต้องเป็นมนุษย์ที่ต้องมีความมั่นคง อย่างชื่อของกระทรวงหรอกครับ
ขอเพียงให้มีอยู่ มีกิน มีชีวิตอยู่รอดระหว่างที่น้ำท่วมอยู่ น้ำลดลงเขาก็จะทำมาหากินอยู่รอดได้เอง
เอาปลากระป๋องเน่าไปให้เขาทำไมละครับ?
ความเป็นรัฐมนตรีว่าการ ความเป็นเจ้ากระทรวงจะต้องดูแลการนำสิ่งของไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนด้วยความเรียบร้อย
จะมีใครมาช่วยเหลือมาร่วมบริจาคสิ่งของก็ต้องตรวจสอบ
และถ้าหากจะต้องใช้งบประมาณแผ่นดินซื้อข้าวของที่จะต้องนำไปแจกจ่าย ก็ยิ่งจะต้องตรวจสอบด้วยความระมัดระวัง จะต้องจัดซื้อข้าวของที่มีคุณภาพ และคุ้มค่ากับเงินงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน
มิใช่ทำกันอย่างที่เคยทำกันมาในรูปแบบเก่าๆ เดิมๆ ของการเมืองชั่ว การเมืองสามานย์ที่ทำกันมาทุกยุคทุกสมัยในกาลก่อน
แจกจอบ แจกเสียม ก็กินจอบกินเสียม เอาไปขุดดิน ถางหญ้า ถางพงฉึกสองฉึก จอบ เสียมที่แจกไปก็บิ่น เบี้ยว ใช้การไม่ได้
แจกปุ๋ยก็เอาปุ๋ยปลอมมาให้โดยที่ไม่ได้นึกถึงหัวอกทำไร่ทำนาเลยว่า จะเหนื่อยแรงเปล่า ผลผลิตพืชไร่ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง
เพราะปุ๋ยมันปลอม!
หรือแจกพันธุ์พืช เป็นต้นว่า ข้าว ยางพารา ฯลฯ ที่ให้ผลผลิตต่ำเพราะนักการเมืองคอร์รัปชันงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง
ทั้งๆ ที่ซื้อของที่มีคุณภาพแจกก็มีผลกำไรอยู่แล้ว แต่ความโลภอยากร่ำอยากรวย อยากถอนทุนคืน (ที่ลงทุนหาเสียงเพื่อให้ได้เป็นผู้แทนราษฎร) โดยเร็วจึงเกิดการกินจอบ กินเสียม กินปุ๋ย กินพันธุ์พืช กินถนนหนทาง ฯลฯ
และแม้กระทั่งปลากระป๋องเน่า ประชาชนกินไม่ลง แต่นักการเมืองชั่ว นักการเมืองสามานย์ย่อมพร้อมที่จะสวาปามได้
นายวิฑูรย์ นามบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ตอบคำถามของฝ่ายค้านว่าได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบในเรื่องนี้แล้ว และยืนยันว่า ถ้าหากคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิด ก็จะลาออกทันที และถ้าหากศาลตัดสินว่า กระทำความผิดก็จะวางมือการเมืองไปจนตลอดชีวิต
ฟังแล้วก็เหมือนจะดูดี เพราะตัวอย่างในอดีตมีให้เห็นมาแล้ว แม้คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจะชี้มูลความผิด ก็หน้าด้านอยู่ในตำแหน่ง แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยไปแล้วว่า ขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรี ก็ยอมพ้นจากตำแหน่งไป อีกเดือน-สองเดือนก็หน้าด้านแต่งตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรีกันใหม่
แถมให้กระทรวงใหญ่กว่าเดิม
คนเป็นนายกรัฐมนตรี ชิมไปบ่นไป ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าขาดคุณสมบัติ ก็ทำท่าว่าจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ดีว่าเกิดการช่วงชิงกันภายในพรรคเลยเป็นนายกรัฐมนตรีอีกไม่ได้ ต้องตรอมตรมหัวใจจนร่างกายเสื่อมทรุด
เพราะฉะนั้นเมื่อมีกรณีอย่างนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ถูกคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดก็ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจึงดูดี และกรณีของนายวิฑูรย์ นามบุตร ที่บอกว่า ถ้าคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดจึงดูคล้ายๆ จะดูดี
แต่ถ้าจะดูกันจริงๆ แล้ว ไม่ดีหรอบครับ
กรณีของนายวิฑูรย์ นามบุตร ไม่จำเป็นต้องรอให้คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิด ก็สมควรลาออก
ควรจะลาเสียตั้งแต่กลิ่นเน่าของปลาโชยออกมาจากกระป๋องแล้วครับ เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีของนายวิฑูรย์ นามบุตร บกพร่อง ขาดความเอาใจใส่
ทำอย่างนั้นกับประชาชนที่กำลังประสบภัย ประสบความทุกข์ยากได้อย่างไรเล่าครับ
บอกแล้วว่า กว่าจะมาเป็นรัฐมนตรี กว่าจะมาเป็นรัฐบาลนั้น ลำบากแสนสาหัส ต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง หาเสียงให้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.กว่าจะไต่ลำดับมาเป็นผู้ช่วยเลขาฯ เป็นเลขาฯ รัฐมนตรีช่วยหรือรัฐมนตรี
ล้วนมีเป้าหมายคือ การรับใช้ประชาชนคือการทำงานเพื่อให้ประเทศชาติพัฒนาสถาพร
ประชาชนประสบภัย คุณมีหน้าที่ช่วยเหลือ คุณกลับเอาปลากระป๋องเน่าไปให้ ยี่ห้อหรือก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ แค่นี้ก็เป็นเหตุเพียงพอที่จะต้องลาออกแล้วละครับ
ส่วนจะเล่นการเมืองต่อไปหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวคุณเอง
คุณไม่ออกวันนี้ วันหน้าประชาชนก็ต้องไล่คุณออก เสียเกียรติยศชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
และเสียหายมาถึงพรรคที่คุณสังกัด
ไม่เชื่อก็คอยดู!
หากแต่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องรอให้สถานการณ์สุกงอม ให้นายสมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้เขาขาดคุณสมบัติ เพราะทำกับข้าวไปรับเงินไป อันเป็นการทับซ้อนเรื่องผลประโยชน์ซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนห้ามเอาไว้ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบ เพราะกรรมการบริหารพรรคทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งให้ใบแดง และศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค
และที่สำคัญประการหนึ่งคือ ให้กลุ่มเพื่อนของนายเนวิน ชิดชอบ เปลี่ยนใจจากการจงรักภักดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเอาใจออกห่างมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้คะแนนเป็นอันดับ 2 จัดตั้งรัฐบาล
ควรหรือที่รัฐมนตรีให้โควตาของพรรคประชาธิปัตย์จะต้องมาตายน้ำตื้นตายง่ายๆ ด้วยการแจกปลากระป๋องเน่าให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัย
ชื่อกระทรวงนั้นบอกชัดแจ้งอยู่แล้วว่า กระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงมนุษย์
พรรคประชาธิปัตย์มอบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการให้กับนายวิฑูรย์ นามบุตร นั่นก็เพราะเขาผ่านการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วหลายสมัย อาวุโสย่อมจะสูงกว่านายอิสระ สมชัย นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ
และย่อมจะต้องผ่านงานการเป็นผู้ช่วยเลขานุการ หรือเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการ หรือรัฐมนตรีว่าการมาแล้ว
กระทรวงที่เขาต้องรับผิดชอบกำกับดูแลคือ กระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ซึ่งฟังเพียงชื่อกระทรวงก็จะเห็นว่า แตกต่างห่างไกลกับปลากระป๋องเน่าอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเกิดอุทกภัยขึ้นกับพี่น้องประชาชนที่จังหวัดพัทลุง กระทรวงพัฒนาการสังคมฯ จัดหาถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน
ในถุงยังชีพนั้น มีอาหารเพื่อช่วยให้เขายังชีพอยู่เป็นผู้เป็นคนต่อไปได้ไม่ต้องถึงขนาดที่จะต้องเป็นมนุษย์ที่ต้องมีความมั่นคง อย่างชื่อของกระทรวงหรอกครับ
ขอเพียงให้มีอยู่ มีกิน มีชีวิตอยู่รอดระหว่างที่น้ำท่วมอยู่ น้ำลดลงเขาก็จะทำมาหากินอยู่รอดได้เอง
เอาปลากระป๋องเน่าไปให้เขาทำไมละครับ?
ความเป็นรัฐมนตรีว่าการ ความเป็นเจ้ากระทรวงจะต้องดูแลการนำสิ่งของไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนด้วยความเรียบร้อย
จะมีใครมาช่วยเหลือมาร่วมบริจาคสิ่งของก็ต้องตรวจสอบ
และถ้าหากจะต้องใช้งบประมาณแผ่นดินซื้อข้าวของที่จะต้องนำไปแจกจ่าย ก็ยิ่งจะต้องตรวจสอบด้วยความระมัดระวัง จะต้องจัดซื้อข้าวของที่มีคุณภาพ และคุ้มค่ากับเงินงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน
มิใช่ทำกันอย่างที่เคยทำกันมาในรูปแบบเก่าๆ เดิมๆ ของการเมืองชั่ว การเมืองสามานย์ที่ทำกันมาทุกยุคทุกสมัยในกาลก่อน
แจกจอบ แจกเสียม ก็กินจอบกินเสียม เอาไปขุดดิน ถางหญ้า ถางพงฉึกสองฉึก จอบ เสียมที่แจกไปก็บิ่น เบี้ยว ใช้การไม่ได้
แจกปุ๋ยก็เอาปุ๋ยปลอมมาให้โดยที่ไม่ได้นึกถึงหัวอกทำไร่ทำนาเลยว่า จะเหนื่อยแรงเปล่า ผลผลิตพืชไร่ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง
เพราะปุ๋ยมันปลอม!
หรือแจกพันธุ์พืช เป็นต้นว่า ข้าว ยางพารา ฯลฯ ที่ให้ผลผลิตต่ำเพราะนักการเมืองคอร์รัปชันงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง
ทั้งๆ ที่ซื้อของที่มีคุณภาพแจกก็มีผลกำไรอยู่แล้ว แต่ความโลภอยากร่ำอยากรวย อยากถอนทุนคืน (ที่ลงทุนหาเสียงเพื่อให้ได้เป็นผู้แทนราษฎร) โดยเร็วจึงเกิดการกินจอบ กินเสียม กินปุ๋ย กินพันธุ์พืช กินถนนหนทาง ฯลฯ
และแม้กระทั่งปลากระป๋องเน่า ประชาชนกินไม่ลง แต่นักการเมืองชั่ว นักการเมืองสามานย์ย่อมพร้อมที่จะสวาปามได้
นายวิฑูรย์ นามบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ตอบคำถามของฝ่ายค้านว่าได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบในเรื่องนี้แล้ว และยืนยันว่า ถ้าหากคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิด ก็จะลาออกทันที และถ้าหากศาลตัดสินว่า กระทำความผิดก็จะวางมือการเมืองไปจนตลอดชีวิต
ฟังแล้วก็เหมือนจะดูดี เพราะตัวอย่างในอดีตมีให้เห็นมาแล้ว แม้คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจะชี้มูลความผิด ก็หน้าด้านอยู่ในตำแหน่ง แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยไปแล้วว่า ขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรี ก็ยอมพ้นจากตำแหน่งไป อีกเดือน-สองเดือนก็หน้าด้านแต่งตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรีกันใหม่
แถมให้กระทรวงใหญ่กว่าเดิม
คนเป็นนายกรัฐมนตรี ชิมไปบ่นไป ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าขาดคุณสมบัติ ก็ทำท่าว่าจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ดีว่าเกิดการช่วงชิงกันภายในพรรคเลยเป็นนายกรัฐมนตรีอีกไม่ได้ ต้องตรอมตรมหัวใจจนร่างกายเสื่อมทรุด
เพราะฉะนั้นเมื่อมีกรณีอย่างนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ถูกคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดก็ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจึงดูดี และกรณีของนายวิฑูรย์ นามบุตร ที่บอกว่า ถ้าคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดจึงดูคล้ายๆ จะดูดี
แต่ถ้าจะดูกันจริงๆ แล้ว ไม่ดีหรอบครับ
กรณีของนายวิฑูรย์ นามบุตร ไม่จำเป็นต้องรอให้คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิด ก็สมควรลาออก
ควรจะลาเสียตั้งแต่กลิ่นเน่าของปลาโชยออกมาจากกระป๋องแล้วครับ เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีของนายวิฑูรย์ นามบุตร บกพร่อง ขาดความเอาใจใส่
ทำอย่างนั้นกับประชาชนที่กำลังประสบภัย ประสบความทุกข์ยากได้อย่างไรเล่าครับ
บอกแล้วว่า กว่าจะมาเป็นรัฐมนตรี กว่าจะมาเป็นรัฐบาลนั้น ลำบากแสนสาหัส ต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง หาเสียงให้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.กว่าจะไต่ลำดับมาเป็นผู้ช่วยเลขาฯ เป็นเลขาฯ รัฐมนตรีช่วยหรือรัฐมนตรี
ล้วนมีเป้าหมายคือ การรับใช้ประชาชนคือการทำงานเพื่อให้ประเทศชาติพัฒนาสถาพร
ประชาชนประสบภัย คุณมีหน้าที่ช่วยเหลือ คุณกลับเอาปลากระป๋องเน่าไปให้ ยี่ห้อหรือก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ แค่นี้ก็เป็นเหตุเพียงพอที่จะต้องลาออกแล้วละครับ
ส่วนจะเล่นการเมืองต่อไปหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวคุณเอง
คุณไม่ออกวันนี้ วันหน้าประชาชนก็ต้องไล่คุณออก เสียเกียรติยศชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
และเสียหายมาถึงพรรคที่คุณสังกัด
ไม่เชื่อก็คอยดู!