ASTVผู้จัดการรายวัน – บิ๊กบัวทองฯ เชื่อรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ลดภาษีอสังหาฯ เร่งก่อสร้างโครงการเม็กต์โปรเจกต์ เห็นผลใน 5 - 6เดือน คาดครึ่งปีหลังโอกาศดีของตลาดอสังหาฯ ด้านแผนดำเนินงานเร่งปรับกลยุทธ์รับมือวิกฤตครึ่งปีแรก เสริมศักยภาพบุคคลกร ลดค่าใช้จ่ายองค์กร มั่นใจปี 52 ยอดขายทรงตัว 2,500 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมา
นาย ไพโรจน์ สุขจั่น ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท บัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า ปัญหาการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในทุกตลาดทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในช่วงปลายปี 51 ต่อเนื่องถึงปี 52 ประกอบกับภาวะวิกฤตการเงินโลก ที่ขยายวงกว้างไปสู่ทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการปลดพนักงานทั้งในส่วนของในและต่างประเทศยิ่งตอกย้ำภาพลบของทุกธุรกิจทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น กำลังซื้อหดตังลงทำให้ตลาดอสังหาฯในช่วงต้นปีเกิดการทรงตังหรืออาจจะหดตังลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่ และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์การลดภาษี และมารการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาฯ ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อการการขยายตัวของเศรษฐกิจ และกลุ่มธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลยังส่งผลให้ภาวะโดยรวมของธุรกิจต่างๆ มีผลประกอบการที่ต่ำกว่าประมาณการของแต่ละบริษัทที่กำหนดไว้
“กลุ่มบัวทองยังมองว่าในปี 52 นี้ปัญหาต่างๆในประเทศที่เริ่มคลี่คลายลง หลังจากการปรับตัวของราคาน้ำมัน และเหตุการณ์การเมืองที่เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี รวมถึงการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ ของรัฐบาล จะส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน ในการฟื้นตัว และจะเริ่มเห็นผลในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นช่วงที่ดีของตลาดอสังหาฯ”
ส่วนแผนการดำเนินงานของกลุ่มบัวทองฯ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าวด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันถือว่าไม่เลวร้ายมากนัก เนื่องจากกลุ่มบัวทองเป็นผู้บริหารการขาย ซึ่งมีสินค้าที่หลากหลาย ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝดและคอนโดมิเนียม ที่กระจายอยู่ในทำเลต่างๆ และระดับราคาที่หลากหลาย ทำให้ยอดขายรวมไม่ตกลงมากนัก ประกอบกับการเข้มงวดทางด้านวินัยการเงินของบริษัททำให้สัดส่วนหนี้ต่อทรัพย์สินอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถรับรู้รายได้ในเกฑ์ที่น่าพอใจ เนื่องจากมีสินค้าพร้อมโอนเป็นจำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้นมากนัก และจะสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตครั้งนี้ไปได้
"ตามปกติของธุรกิจบริหารงานขายจะดีในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ประกอบการจะนำโครงการมาให้เราขายจำนวนมาก แต่จะต้องเลือกโครงการที่มีความพร้อมด้านงานขาย คือมีห้องตัวอย่าง ผู้ประกอบการมีความแข็งแกร็งด้านการเงิน แม้ว่าภาวะการขายจะไม่ต่อยดี แต่ก็ไม่ใช้เรื่องที่เกินความสามารถ"
สำหรับในปี 52 นี้กลุ่มบัวทองฯ มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อธุรกิจขยายตัวภายใตภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น โดยจะเน้นการเพิ่มปริทธิภาพการทำงานของพนักงาน ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กร จากการปรับตัวและออกกลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้ปีนี้บริษัทยังมียอดขายที่อยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมาได้ โดยในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม 2,500 ล้านบาท แบ่งออกเป็นรายได้จากบริษัทบัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ 1,000 ล้านบาท ,บีทีสมาร์ท พร็อพเพอร์ตี้ 1,100 ล้านบาท และบัวทองมาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เฮ้าส์ซิ่ง 400 ล้านบาท
ส่วนปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 2,150 ล้านบาทต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 2,500 ล้านบาทประมาณ 14% โดยแบ่งออกเป็นรายได้จากบริษัทบัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ 700 ล้านบาทจากเป้า 1,000 ล้านบาท บริษัท บีทีสมาร์ท พร็อพเพอร์ตี้ 900 ล้านบาทจากเป้า 1,100 ล้านบาท และบัวทองมาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เฮ้าส์ซิ่ง 550 ล้านบาท จากเป้า ที่วางไว้ 400 ล้านบาท
นาย ไพโรจน์ สุขจั่น ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท บัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า ปัญหาการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในทุกตลาดทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในช่วงปลายปี 51 ต่อเนื่องถึงปี 52 ประกอบกับภาวะวิกฤตการเงินโลก ที่ขยายวงกว้างไปสู่ทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการปลดพนักงานทั้งในส่วนของในและต่างประเทศยิ่งตอกย้ำภาพลบของทุกธุรกิจทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น กำลังซื้อหดตังลงทำให้ตลาดอสังหาฯในช่วงต้นปีเกิดการทรงตังหรืออาจจะหดตังลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่ และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์การลดภาษี และมารการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาฯ ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อการการขยายตัวของเศรษฐกิจ และกลุ่มธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลยังส่งผลให้ภาวะโดยรวมของธุรกิจต่างๆ มีผลประกอบการที่ต่ำกว่าประมาณการของแต่ละบริษัทที่กำหนดไว้
“กลุ่มบัวทองยังมองว่าในปี 52 นี้ปัญหาต่างๆในประเทศที่เริ่มคลี่คลายลง หลังจากการปรับตัวของราคาน้ำมัน และเหตุการณ์การเมืองที่เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี รวมถึงการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ ของรัฐบาล จะส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน ในการฟื้นตัว และจะเริ่มเห็นผลในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นช่วงที่ดีของตลาดอสังหาฯ”
ส่วนแผนการดำเนินงานของกลุ่มบัวทองฯ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าวด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันถือว่าไม่เลวร้ายมากนัก เนื่องจากกลุ่มบัวทองเป็นผู้บริหารการขาย ซึ่งมีสินค้าที่หลากหลาย ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝดและคอนโดมิเนียม ที่กระจายอยู่ในทำเลต่างๆ และระดับราคาที่หลากหลาย ทำให้ยอดขายรวมไม่ตกลงมากนัก ประกอบกับการเข้มงวดทางด้านวินัยการเงินของบริษัททำให้สัดส่วนหนี้ต่อทรัพย์สินอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถรับรู้รายได้ในเกฑ์ที่น่าพอใจ เนื่องจากมีสินค้าพร้อมโอนเป็นจำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้นมากนัก และจะสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตครั้งนี้ไปได้
"ตามปกติของธุรกิจบริหารงานขายจะดีในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ประกอบการจะนำโครงการมาให้เราขายจำนวนมาก แต่จะต้องเลือกโครงการที่มีความพร้อมด้านงานขาย คือมีห้องตัวอย่าง ผู้ประกอบการมีความแข็งแกร็งด้านการเงิน แม้ว่าภาวะการขายจะไม่ต่อยดี แต่ก็ไม่ใช้เรื่องที่เกินความสามารถ"
สำหรับในปี 52 นี้กลุ่มบัวทองฯ มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อธุรกิจขยายตัวภายใตภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น โดยจะเน้นการเพิ่มปริทธิภาพการทำงานของพนักงาน ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กร จากการปรับตัวและออกกลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้ปีนี้บริษัทยังมียอดขายที่อยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมาได้ โดยในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม 2,500 ล้านบาท แบ่งออกเป็นรายได้จากบริษัทบัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ 1,000 ล้านบาท ,บีทีสมาร์ท พร็อพเพอร์ตี้ 1,100 ล้านบาท และบัวทองมาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เฮ้าส์ซิ่ง 400 ล้านบาท
ส่วนปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 2,150 ล้านบาทต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 2,500 ล้านบาทประมาณ 14% โดยแบ่งออกเป็นรายได้จากบริษัทบัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ 700 ล้านบาทจากเป้า 1,000 ล้านบาท บริษัท บีทีสมาร์ท พร็อพเพอร์ตี้ 900 ล้านบาทจากเป้า 1,100 ล้านบาท และบัวทองมาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เฮ้าส์ซิ่ง 550 ล้านบาท จากเป้า ที่วางไว้ 400 ล้านบาท