ลำพังแค่เรื่องปลากระป๋องเน่า, รัฐมนตรีแจกเงินหลวงแนบนามบัตร, องค์ประชุมสภาฯ, ตำรวจเก่ายังอยู่ในอำนาจ และ ฯลฯ ยังไม่ใช่ว่าจะแก้ได้เลย แต่จู่ๆ รัฐบาลก็พูดเรื่องภาษีมรดกออกมา วันแรกดูขึงขัง แต่พอวันต่อมาก็บอกว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องศึกษากันให้รอบด้าน
แปลว่าพูดพลาดไปแล้ว เราจะไม่เห็นกฎหมายภาษีมรดกในรัฐบาลชุดนี้หรอก
อย่าว่าแต่รัฐบาลชุดนี้เลย ไม่ว่าชุดไหนๆ ตราบใดที่เรายังอยู่ในบริบทของการเมืองเก่า ออกกฎหมายภาษีมรดกไม่ได้แน่นอน
เพราะคนทำงานการเมืองในการเมืองเก่าส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนสำคัญ ล้วนแต่มีมรดก
แน่นอนคนเหล่านี้ไม่เสียสละ ไม่ซื่อสัตย์ และไม่กล้าหาญ!
รัฐบาลพูดเรื่องภาษีมรดกขึ้นมาในช่วงที่กำลังจะประสบวิกฤตเศรษฐกิจ หรือพูดง่ายๆ ว่าประเทศใกล้จะถังแตก ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะหลายประเทศที่ริเริ่มจัดเก็บภาษีมรดกล้วนอาศัยช่วงจังหวะเวลาทำนองเดียวกันนี้ที่ประเทศต้องการรายได้เพิ่ม
สหรัฐฯ ใช้วิกฤตการณ์สงครามกับสเปนใน ค.ศ. 1890 ออกกฎหมายภาษีมรดก
เช่นเดียวกับไต้หวันที่ใช้วิกฤตการณ์สงครามกับญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1940
ประเทศไทยเมื่อประสบวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ก็พูดเรื่องนี้กัน ถึงขนาดตั้งอนุกรรมการศึกษา
ถ้าวันนี้ตั้งใจจะทำกันจริงๆ จังๆ อย่างเสียสละ ซื่อสัตย์ และกล้าหาญ ไม่ต้องใช้เวลาศึกษามาก หยิบผลการศึกษาเก่าๆ มาต่อยอด แล้วรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง เอาประชาชนคนไม่มีมรดกหรือมีน้อยต่ำกว่า 10 ล้านบาทมาเป็นแนวร่วมกับรัฐบาล จะสำเร็จได้ในเร็ววันชนิดไม่ไกลเกินฝัน
หลายคนคงลืม – หรือไม่รู้ – ว่าประเทศไทยเคยเก็บภาษีมรดกมาแล้วในอดีต!
พ.ศ. 2476 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปีเดียว ประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีมรดกตามแบบนานาอารยประเทศยุคใหม่ โดยตราพระราชบัญญัติอากรมฤดกและการรับมฤดก พุทธศักราช 2476 ออกมาใช้บังคับ มีรูปแบบการจัดเก็บ 2 ทาง ทางหนึ่งเก็บจากกองมรดกของผู้ตาย อีกทางหนึ่งเก็บจากทายาทผู้รับมรดกแต่ละคน
โดยเก็บจากกองมรดกที่มีจำนวนเงินหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วเกินกว่า 10,000 บาทขึ้นไปในอัตราภาษีก้าวหน้า
แต่เพดานอัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่เพียงร้อยละ 20 เท่านั้น
น่าเสียดายที่กฎหมายฉบับนี้ใช้อยู่เพียง 11 ปีก็ถูกยกเลิกไปใน พ.ศ. 2487 เพราะแรงคัดค้านจากกลุ่มอำนาจเก่าก่อน พ.ศ. 2475 ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ยุคทองของประชาธิปไตยไทย ยุคทองของแนวคิดสังคมนิยม ที่แม้แต่พรรคแนวอนุรักษนิยมอย่างประชาธิปัตย์ยังต้องประกาศตนว่าเป็นสังคมนิยมอ่อนๆ ภาษีมรดกได้รับการหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางสังคมอีกครั้งหนึ่ง ถึงขนาดเสนอร่างพระราชบัญญัติผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว รอแต่เพียงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น
แต่ที่สุดก็ตกไป เพราะเกิดรัฐประหารขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เสียก่อน!
หรือย้อนไปในยุคก่อนรัฐสมัยใหม่ กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็เริ่มจัดเก็บภาษีมรดกแล้ว โดยเรียกเก็บเฉพาะทรัพย์สมบัติที่เกินกำลังของทายาทที่จะใช้สอยให้ตกเป็นของหลวงทั้งหมด ตกมาถึงต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ กฎหมายตราสามดวงลักษณะมฤดก มาตรา 3 กำหนดให้ชายที่มีบรรดาศักดิ์เมื่อถึงแก่ความตาย ให้แบ่งมรดกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน ส่วนหนึ่งให้เข้าพระคลังหลวง ส่วนหนึ่งให้แก่บิดามารดา ส่วนหนึ่งให้แก่พี่น้องลูกหลาน ส่วนสุดท้ายให้แก่ภรรยา มาตรา 34 กำหนดให้ภรรยาที่ได้รับพระราชทานเมื่อถึงแก่ความตายให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน ส่วนหนึ่งให้เป็นของหลวง ส่วนหนึ่งให้เป็นของสามี และอีกส่วนหนึ่งให้เป็นของญาติ
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกทุกวันนี้ส่วนใหญ่มีการเก็บภาษีมรดก
วัตถุประสงค์หลักในปัจจุบันไม่ใช่เพื่อต้องการรายได้เข้ารัฐเป็นหลัก เพราะจากสถิติปรากฏว่าภาษีมรดกที่เก็บได้ในแต่ละประเทศมีเพียงไม่ถึงร้อยละ 1 ของยอดรวมภาษีที่เก็บได้ทั้งหมดในแต่ละปี
ภาษีมรดกในยุคปัจจุบันมีไว้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นธรรมในสังคมมากกว่า!
ไม่ใช่มีแต่ข้อดี ข้อเสียก็มี แต่ชั่งน้ำหนักดูแล้วข้อดีมีมากกว่า
คนที่รู้เรื่องภาษีมรดกในประเทศไทยมากที่สุดคนหนึ่งเป็นคนไม่ใกล้ไม่ไกลตัวผม อยู่ในวุฒิสภานี่เอง ท่านเป็นประธานวุฒิสภาคนปัจจุบัน อดีตเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นเนติบัณฑิตอังกฤษ เป็นผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ผู้บรรยายวิชากฎหมายครอบครัว-มรดก
ศ.ประสพสุข บุญเดช
เมื่อตอนที่ท่านเข้าเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 41 ปีการศึกษา 2541 – 2542 ท่านทำเอกสารวิจัยส่วนบุคคลเรื่องภาษีมรดก (Estate Tax) มีรายละเอียดกว้างขวางครอบคลุมความรู้เรื่องภาษีมรดกทั่งในประเทศและต่างประเทศ มีข้อเสนอแนะพร้อมสรรพ ทั้งภาคผนวกก็มีตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติอากรมฤดกและการรับมฤดก พุทธศักราช 2476 ไว้ให้ศึกษาด้วย
น่าเสียดายไม่มีสื่อไปสัมภาษณ์พิเศษท่านและนำเอกสารวิชาการของท่านมาเผยแพร่
ท่านประธานวุฒิสภามีข้อเสนอแนะ 12 ข้อหลัก
เฉพาะที่สำคัญๆ ก็อาทิ
1. ประเทศไทยควรนำระบบการจัดเก็บภาษีมรดกที่ยกเลิกไปกลับมาใช้ใหม่ เพื่อช่วยให้การกระจายภาระภาษีในสังคมมีความเป็นธรรม ลดช่องว่างในสังคม และเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐบาลในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ
2. ไม่ควรจัดเก็บทั้งภาษีกองมรดกและภาษีการรับมรดกดังเช่นที่เคยปฏิบัติมา ควรจัดเก็บเฉพาะภาษีกองมรดกอย่างเดียวเพื่อความสะดวกในการจัดเก็บ และไม่ก่อให้เกิดภาระภาษีแก่ประชาชนมากเกินไป
3. กองมรดกซึ่งมียอดสุทธิแห่งค่าจำนวนเพียงเล็กน้อย เช่น ไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือตามจำนวนที่จะไม่กระทบถึงทายาทที่เป็นผู้เยาว์และผู้สูงอายุ ควรได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมรดก
4. อัตราภาษีกองมรดกควรเป็นอัตราก้าวหน้า อัตราภาษีขั้นสูงสุดไม่เกินร้อยละ 20
5. ทรัพย์มรดกบางประเภทควรได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณเป็นมูลค่าของกองมรดก เช่น ทรัพย์มรดกที่ยกให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน องค์กรการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อศาสนา ทรัพย์มรดกของบุคคลที่มีฐานะพิเศษหรือผู้ทำคุณประโยชน์อย่างยิ่งให้แก่ประเทศชาติ
6. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรเพิ่มการเรียกเก็บภาษีการให้ทรัพย์สินเป็นภาษีอีกประเภทหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้เจ้ามรดกหลีกเลี่ยงการเสียภาษีกองมรดกโดยยกทรัพย์สินให้โดยเสน่หาในระหว่างที่ตนยังมีชีวิตอยู่
7. ควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปทราบว่าภาษีกองมรดกและภาษีการให้ทรัพย์สินมีผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมาก เฉพาะบุคคลที่ร่ำรวยเท่านั้นที่มีภาระ เพื่อให้เกิดการยอมรับ และเป็นกระแสสังคมที่ผู้มีหน้าที่ในการตรากฎหมายไม่อาจปฏิเสธได้
เฉพาะข้อสุดท้ายนี่ก็เป็นไปไม่ได้แล้วละครับ ตราบใดที่ “การเมืองเก่า” ยังคงดำรงอยู่
การเมืองที่ไม่เสียสละ ไม่ซื่อสัตย์ และไม่กล้าหาญ!!
แปลว่าพูดพลาดไปแล้ว เราจะไม่เห็นกฎหมายภาษีมรดกในรัฐบาลชุดนี้หรอก
อย่าว่าแต่รัฐบาลชุดนี้เลย ไม่ว่าชุดไหนๆ ตราบใดที่เรายังอยู่ในบริบทของการเมืองเก่า ออกกฎหมายภาษีมรดกไม่ได้แน่นอน
เพราะคนทำงานการเมืองในการเมืองเก่าส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนสำคัญ ล้วนแต่มีมรดก
แน่นอนคนเหล่านี้ไม่เสียสละ ไม่ซื่อสัตย์ และไม่กล้าหาญ!
รัฐบาลพูดเรื่องภาษีมรดกขึ้นมาในช่วงที่กำลังจะประสบวิกฤตเศรษฐกิจ หรือพูดง่ายๆ ว่าประเทศใกล้จะถังแตก ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะหลายประเทศที่ริเริ่มจัดเก็บภาษีมรดกล้วนอาศัยช่วงจังหวะเวลาทำนองเดียวกันนี้ที่ประเทศต้องการรายได้เพิ่ม
สหรัฐฯ ใช้วิกฤตการณ์สงครามกับสเปนใน ค.ศ. 1890 ออกกฎหมายภาษีมรดก
เช่นเดียวกับไต้หวันที่ใช้วิกฤตการณ์สงครามกับญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1940
ประเทศไทยเมื่อประสบวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ก็พูดเรื่องนี้กัน ถึงขนาดตั้งอนุกรรมการศึกษา
ถ้าวันนี้ตั้งใจจะทำกันจริงๆ จังๆ อย่างเสียสละ ซื่อสัตย์ และกล้าหาญ ไม่ต้องใช้เวลาศึกษามาก หยิบผลการศึกษาเก่าๆ มาต่อยอด แล้วรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง เอาประชาชนคนไม่มีมรดกหรือมีน้อยต่ำกว่า 10 ล้านบาทมาเป็นแนวร่วมกับรัฐบาล จะสำเร็จได้ในเร็ววันชนิดไม่ไกลเกินฝัน
หลายคนคงลืม – หรือไม่รู้ – ว่าประเทศไทยเคยเก็บภาษีมรดกมาแล้วในอดีต!
พ.ศ. 2476 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปีเดียว ประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีมรดกตามแบบนานาอารยประเทศยุคใหม่ โดยตราพระราชบัญญัติอากรมฤดกและการรับมฤดก พุทธศักราช 2476 ออกมาใช้บังคับ มีรูปแบบการจัดเก็บ 2 ทาง ทางหนึ่งเก็บจากกองมรดกของผู้ตาย อีกทางหนึ่งเก็บจากทายาทผู้รับมรดกแต่ละคน
โดยเก็บจากกองมรดกที่มีจำนวนเงินหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วเกินกว่า 10,000 บาทขึ้นไปในอัตราภาษีก้าวหน้า
แต่เพดานอัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่เพียงร้อยละ 20 เท่านั้น
น่าเสียดายที่กฎหมายฉบับนี้ใช้อยู่เพียง 11 ปีก็ถูกยกเลิกไปใน พ.ศ. 2487 เพราะแรงคัดค้านจากกลุ่มอำนาจเก่าก่อน พ.ศ. 2475 ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ยุคทองของประชาธิปไตยไทย ยุคทองของแนวคิดสังคมนิยม ที่แม้แต่พรรคแนวอนุรักษนิยมอย่างประชาธิปัตย์ยังต้องประกาศตนว่าเป็นสังคมนิยมอ่อนๆ ภาษีมรดกได้รับการหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางสังคมอีกครั้งหนึ่ง ถึงขนาดเสนอร่างพระราชบัญญัติผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว รอแต่เพียงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น
แต่ที่สุดก็ตกไป เพราะเกิดรัฐประหารขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เสียก่อน!
หรือย้อนไปในยุคก่อนรัฐสมัยใหม่ กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็เริ่มจัดเก็บภาษีมรดกแล้ว โดยเรียกเก็บเฉพาะทรัพย์สมบัติที่เกินกำลังของทายาทที่จะใช้สอยให้ตกเป็นของหลวงทั้งหมด ตกมาถึงต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ กฎหมายตราสามดวงลักษณะมฤดก มาตรา 3 กำหนดให้ชายที่มีบรรดาศักดิ์เมื่อถึงแก่ความตาย ให้แบ่งมรดกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน ส่วนหนึ่งให้เข้าพระคลังหลวง ส่วนหนึ่งให้แก่บิดามารดา ส่วนหนึ่งให้แก่พี่น้องลูกหลาน ส่วนสุดท้ายให้แก่ภรรยา มาตรา 34 กำหนดให้ภรรยาที่ได้รับพระราชทานเมื่อถึงแก่ความตายให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน ส่วนหนึ่งให้เป็นของหลวง ส่วนหนึ่งให้เป็นของสามี และอีกส่วนหนึ่งให้เป็นของญาติ
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกทุกวันนี้ส่วนใหญ่มีการเก็บภาษีมรดก
วัตถุประสงค์หลักในปัจจุบันไม่ใช่เพื่อต้องการรายได้เข้ารัฐเป็นหลัก เพราะจากสถิติปรากฏว่าภาษีมรดกที่เก็บได้ในแต่ละประเทศมีเพียงไม่ถึงร้อยละ 1 ของยอดรวมภาษีที่เก็บได้ทั้งหมดในแต่ละปี
ภาษีมรดกในยุคปัจจุบันมีไว้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นธรรมในสังคมมากกว่า!
ไม่ใช่มีแต่ข้อดี ข้อเสียก็มี แต่ชั่งน้ำหนักดูแล้วข้อดีมีมากกว่า
คนที่รู้เรื่องภาษีมรดกในประเทศไทยมากที่สุดคนหนึ่งเป็นคนไม่ใกล้ไม่ไกลตัวผม อยู่ในวุฒิสภานี่เอง ท่านเป็นประธานวุฒิสภาคนปัจจุบัน อดีตเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นเนติบัณฑิตอังกฤษ เป็นผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ผู้บรรยายวิชากฎหมายครอบครัว-มรดก
ศ.ประสพสุข บุญเดช
เมื่อตอนที่ท่านเข้าเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 41 ปีการศึกษา 2541 – 2542 ท่านทำเอกสารวิจัยส่วนบุคคลเรื่องภาษีมรดก (Estate Tax) มีรายละเอียดกว้างขวางครอบคลุมความรู้เรื่องภาษีมรดกทั่งในประเทศและต่างประเทศ มีข้อเสนอแนะพร้อมสรรพ ทั้งภาคผนวกก็มีตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติอากรมฤดกและการรับมฤดก พุทธศักราช 2476 ไว้ให้ศึกษาด้วย
น่าเสียดายไม่มีสื่อไปสัมภาษณ์พิเศษท่านและนำเอกสารวิชาการของท่านมาเผยแพร่
ท่านประธานวุฒิสภามีข้อเสนอแนะ 12 ข้อหลัก
เฉพาะที่สำคัญๆ ก็อาทิ
1. ประเทศไทยควรนำระบบการจัดเก็บภาษีมรดกที่ยกเลิกไปกลับมาใช้ใหม่ เพื่อช่วยให้การกระจายภาระภาษีในสังคมมีความเป็นธรรม ลดช่องว่างในสังคม และเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐบาลในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ
2. ไม่ควรจัดเก็บทั้งภาษีกองมรดกและภาษีการรับมรดกดังเช่นที่เคยปฏิบัติมา ควรจัดเก็บเฉพาะภาษีกองมรดกอย่างเดียวเพื่อความสะดวกในการจัดเก็บ และไม่ก่อให้เกิดภาระภาษีแก่ประชาชนมากเกินไป
3. กองมรดกซึ่งมียอดสุทธิแห่งค่าจำนวนเพียงเล็กน้อย เช่น ไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือตามจำนวนที่จะไม่กระทบถึงทายาทที่เป็นผู้เยาว์และผู้สูงอายุ ควรได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมรดก
4. อัตราภาษีกองมรดกควรเป็นอัตราก้าวหน้า อัตราภาษีขั้นสูงสุดไม่เกินร้อยละ 20
5. ทรัพย์มรดกบางประเภทควรได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณเป็นมูลค่าของกองมรดก เช่น ทรัพย์มรดกที่ยกให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน องค์กรการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อศาสนา ทรัพย์มรดกของบุคคลที่มีฐานะพิเศษหรือผู้ทำคุณประโยชน์อย่างยิ่งให้แก่ประเทศชาติ
6. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรเพิ่มการเรียกเก็บภาษีการให้ทรัพย์สินเป็นภาษีอีกประเภทหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้เจ้ามรดกหลีกเลี่ยงการเสียภาษีกองมรดกโดยยกทรัพย์สินให้โดยเสน่หาในระหว่างที่ตนยังมีชีวิตอยู่
7. ควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปทราบว่าภาษีกองมรดกและภาษีการให้ทรัพย์สินมีผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมาก เฉพาะบุคคลที่ร่ำรวยเท่านั้นที่มีภาระ เพื่อให้เกิดการยอมรับ และเป็นกระแสสังคมที่ผู้มีหน้าที่ในการตรากฎหมายไม่อาจปฏิเสธได้
เฉพาะข้อสุดท้ายนี่ก็เป็นไปไม่ได้แล้วละครับ ตราบใดที่ “การเมืองเก่า” ยังคงดำรงอยู่
การเมืองที่ไม่เสียสละ ไม่ซื่อสัตย์ และไม่กล้าหาญ!!