เอเอฟพี - กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกปี 2009 อย่างฮวบฮาบ พร้อมชี้วิกฤตการเงินโลกจะส่งผลให้การเติบโตอยู่ในภาวะนิ่งสนิทในทางเป็นจริง
รายงานปรับคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด ซึ่งไอเอ็มเอฟนำออกเผยแพร่เมื่อวันพุธ(28)ที่ผ่านมา พยากรณ์ว่าปี 2009 นี้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะหดตัวลงเหลือเพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อีกทั้งลดลงจากตัวเลขคาดการณ์ของไอเอ็มเอฟเองเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ถึง 1.75 เปอร์เซ็นต์
"เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับภาวะถดถอยรุนแรง" รายงานฉบับล่าสุดของไอเอ็มเอฟระบุ
ไอเอ็มเอฟแจกแจงว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะหดตัวลง 2.0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับเป็นการหดตัวครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นอัตราการหดตัวที่ย่ำแย่กว่ามากจากตัวเลขคาดการณ์เดิมเมื่อไม่ถึง 3 เดือนก่อนซึ่งทางกองทุนฯให้ไว้ที่ระดับ - 0.3 เปอร์เซ็นต์
รายงานของไอเอ็มเอฟกล่าวว่า แม้จะมีการดำเนินมาตรการแก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปแล้วมากมาย แต่ตลาดเงินก็ยังคงอยู่ในภาวะตึงตัวอย่างรุนแรง ทำให้เศรษฐกิจแท้จริงชะงักงันไปทั้งระบบ
นอกจากนั้น ไอเอ็มเอฟยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สถานการณ์ในอนาคตยังมีความอ่อนไหวสูงมาก จังหวะเวลาและความก้าวหน้าของการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของนโยบายในการแก้ไขปัญหาเป็นสำคัญ
"การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจจะไม่มีทางเป็นไปได้ จนกว่าภาคการเงินจะคืนกลับสู่ภาวะปกติและความตึงตัวในตลาดสินเชื่อคลี่คลายลง" รายงานของไอเอ็มเอฟ.ระบุ
ในส่วนการลงรายละเอียดเป็นรายภูมิภาครายประเทศนั้น ในรายงานล่าสุดฉบับนี้ ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่า สหรัฐฯซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ จะประสบกับภาวะเศรษฐกิจหดตัว 1.6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2009 จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อไม่ถึง 3 เดือนก่อนว่าจะติดลบ 0.9 เปอร์เซ็นต์ แต่ไอเอ็มเอฟก็ยังเชื่อว่าสหรัฐซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก จะสามารถรับมือกับภาวะวิกฤตได้อย่างเข้มแข็งกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ อีกหลายประเทศ
สำหรับญี่ปุ่นซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกนั้น ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าจะถดถอยลง 2.6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2009 นี้ จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัวเพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้หลังจากที่เศรษฐกิจหดตัวมาแล้ว 0.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2008 ที่ผ่านมา
ส่วนกลุ่มประเทศยูโรโซน ไอเอ็มเอฟปรับคาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจจะติดลบ 2.0 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยขยายตัว 1.0 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนจะหดตัว 0.5 เปอร์เซ็นต์
เยอรมนีซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน จะหดตัวลง 2.5 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ หลังจากขยายตัว 1.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2008 ขณะที่อังกฤษซึ่งอยู่ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู)นอกยูโรเซน ได้รับการคาดหมายว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลงอย่างรุนแรงถึง 2.8 เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่เคยขยายตัว 0.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว
โดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ เรียกร้องให้ธนาคารกลางยุโรป หรือ อีซีบี. เพิ่มกำลังในการอัดฉีดเศรษฐกิจยูโรโซนให้มากขึ้น โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
ทางด้านพวกประเทศกำลังพัฒนา รายงานล่าสุดของไอเอ็มเอฟปรับคาดการณ์ว่าปี 2009 นี้เศรษฐกิจจะขยายตัวเพียง 3.3 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยพยากรณ์ไว้ที่ 6.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยที่จีนจะยังคงมีอัตราการขยายตัวรวดเร็วที่สุดที่ระดับ 6.7 เปอร์เซ็นต์ จาก 9.0 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2008 ขณะที่อินเดียได้รับการคาดหมายว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 5.1 เปอร์เซ็นต์จาก 7.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว
ไอเอ็มเอฟยังคงยึดมั่นกับความหวังที่ว่า เศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัวในปี 2010 โดยอัตราเติบโตของโลกจะอยู่ที่ระดับ 3.0 เนื่องจาก "ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะผ่อนคลายความตึงตัวด้านสินเชื่อ ตลอดจนนโยบายทางด้านการคลังและการเงินที่เอื้ออำนวยต่อการขยายตัว"
แต่ไอเอ็มเอฟก็เตือนว่า มีปัจจัยความไม่แน่นอนมากมายเกินกว่าธรรมดา จนทำให้มองทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจได้ไม่ชัดเจน
รายงานปรับคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด ซึ่งไอเอ็มเอฟนำออกเผยแพร่เมื่อวันพุธ(28)ที่ผ่านมา พยากรณ์ว่าปี 2009 นี้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะหดตัวลงเหลือเพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อีกทั้งลดลงจากตัวเลขคาดการณ์ของไอเอ็มเอฟเองเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ถึง 1.75 เปอร์เซ็นต์
"เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับภาวะถดถอยรุนแรง" รายงานฉบับล่าสุดของไอเอ็มเอฟระบุ
ไอเอ็มเอฟแจกแจงว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะหดตัวลง 2.0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับเป็นการหดตัวครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นอัตราการหดตัวที่ย่ำแย่กว่ามากจากตัวเลขคาดการณ์เดิมเมื่อไม่ถึง 3 เดือนก่อนซึ่งทางกองทุนฯให้ไว้ที่ระดับ - 0.3 เปอร์เซ็นต์
รายงานของไอเอ็มเอฟกล่าวว่า แม้จะมีการดำเนินมาตรการแก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปแล้วมากมาย แต่ตลาดเงินก็ยังคงอยู่ในภาวะตึงตัวอย่างรุนแรง ทำให้เศรษฐกิจแท้จริงชะงักงันไปทั้งระบบ
นอกจากนั้น ไอเอ็มเอฟยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สถานการณ์ในอนาคตยังมีความอ่อนไหวสูงมาก จังหวะเวลาและความก้าวหน้าของการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของนโยบายในการแก้ไขปัญหาเป็นสำคัญ
"การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจจะไม่มีทางเป็นไปได้ จนกว่าภาคการเงินจะคืนกลับสู่ภาวะปกติและความตึงตัวในตลาดสินเชื่อคลี่คลายลง" รายงานของไอเอ็มเอฟ.ระบุ
ในส่วนการลงรายละเอียดเป็นรายภูมิภาครายประเทศนั้น ในรายงานล่าสุดฉบับนี้ ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่า สหรัฐฯซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ จะประสบกับภาวะเศรษฐกิจหดตัว 1.6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2009 จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อไม่ถึง 3 เดือนก่อนว่าจะติดลบ 0.9 เปอร์เซ็นต์ แต่ไอเอ็มเอฟก็ยังเชื่อว่าสหรัฐซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก จะสามารถรับมือกับภาวะวิกฤตได้อย่างเข้มแข็งกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ อีกหลายประเทศ
สำหรับญี่ปุ่นซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกนั้น ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าจะถดถอยลง 2.6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2009 นี้ จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัวเพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้หลังจากที่เศรษฐกิจหดตัวมาแล้ว 0.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2008 ที่ผ่านมา
ส่วนกลุ่มประเทศยูโรโซน ไอเอ็มเอฟปรับคาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจจะติดลบ 2.0 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยขยายตัว 1.0 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนจะหดตัว 0.5 เปอร์เซ็นต์
เยอรมนีซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน จะหดตัวลง 2.5 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ หลังจากขยายตัว 1.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2008 ขณะที่อังกฤษซึ่งอยู่ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู)นอกยูโรเซน ได้รับการคาดหมายว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลงอย่างรุนแรงถึง 2.8 เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่เคยขยายตัว 0.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว
โดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ เรียกร้องให้ธนาคารกลางยุโรป หรือ อีซีบี. เพิ่มกำลังในการอัดฉีดเศรษฐกิจยูโรโซนให้มากขึ้น โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
ทางด้านพวกประเทศกำลังพัฒนา รายงานล่าสุดของไอเอ็มเอฟปรับคาดการณ์ว่าปี 2009 นี้เศรษฐกิจจะขยายตัวเพียง 3.3 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยพยากรณ์ไว้ที่ 6.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยที่จีนจะยังคงมีอัตราการขยายตัวรวดเร็วที่สุดที่ระดับ 6.7 เปอร์เซ็นต์ จาก 9.0 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2008 ขณะที่อินเดียได้รับการคาดหมายว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 5.1 เปอร์เซ็นต์จาก 7.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว
ไอเอ็มเอฟยังคงยึดมั่นกับความหวังที่ว่า เศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัวในปี 2010 โดยอัตราเติบโตของโลกจะอยู่ที่ระดับ 3.0 เนื่องจาก "ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะผ่อนคลายความตึงตัวด้านสินเชื่อ ตลอดจนนโยบายทางด้านการคลังและการเงินที่เอื้ออำนวยต่อการขยายตัว"
แต่ไอเอ็มเอฟก็เตือนว่า มีปัจจัยความไม่แน่นอนมากมายเกินกว่าธรรมดา จนทำให้มองทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจได้ไม่ชัดเจน