ลำปาง – “พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์” 1 ในกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯภาคเหนือตอนบน/ลำปาง ที่ร่วมปลุกปั้นเครือข่าย พธม.เขลางค์นคร จนสามารถเปิดเวทีคู่ขนานกลางเมืองได้นานถึง 41 วัน ปลุกสำนึก “ผู้พิทักษ์สินติราษฎร์” ย้ำอาชีพตำรวจ ช่วยให้บ้านเมืองสงบสุขได้ดีที่สุด รับถึงวันนี้พันธมิตรฯยังไม่สบายใจ ต้องสร้างการเมืองใหม่ให้ได้
ช่วงที่สถาบันตำรวจ กำลังถูกสังคมมองอย่างเคลือบแคลงสงสัย ไม่ว่าจะเป็นกรณีตำรวจเสื้อแดง การเข้าไปมีส่วนพัวพันกับคดีความต่างๆเสียเอง ฯลฯ อยู่ในขณะนี้ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ อดีตมือปราบตี๋ใหญ่ ที่โด่งดังในยุทธจักรสีกากีมานาน ซึ่งถือเป็นแกนนำเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)ภาคเหนือตอนบน และลำปาง คนหนึ่งที่ร่วมปลุกคลื่น พธม.ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งถือเป็นถิ่นของไทยรักไทย – พลังประชาชน – เพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้สะท้อนมุมมองที่มี่ต่อตำรวจไว้อย่างน่าสนใจ
เปิดเส้นทางชีวิตข้าราชการตำรวจพธม.
พล.ต.ท.สมเกียรติ ได้เล่าถึงชีวิตของการรับราชการตำรวจ กับ “ASTVผู้จัดการรายวัน” ว่าขณะที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนนายร้อยตำรวจปีสุดท้าย ในปี 2505 ได้มีโอกาสเข้าฝึกงาน ณ สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็น สน.ชั้นหนึ่ง และมีคดีเกี่ยวกับโสเภณีมาก จะเรียกว่ามากที่สุดก็ว่าได้
เมื่อได้รับมอบหมายให้ไปจับโสเภณี ตนไม่เคยจับได้เลย จนกระทั่ง ตนได้รับแต่งตั้งเป็น ผบ.หมวด สภ.อ.เมืองสกลนคร แต่ก่อนที่จะเดินทางไปรับตำแหน่ง จึงไปจับกุมโสเภณี ณ สถานที่เดิมที่ สวป. เคยสั่งให้ไปจับแต่ไม่เคยจับได้เลย อีกครั้ง ปรากฏว่าในครั้งนี้สามารถจับกุมได้ 10 กว่าคน ณ สถานที่ฝึกงานแห่งนี้ทำให้รู้ว่าไม่ว่าประเทศไหนในโลกอาชีพโสเภณีไม่มีวันหมดไปได้ และที่แห่งนี้ตนได้เรียนรู้งานของตำรวจหลายอย่าง
พล.ต.ท.สมเกียรติ เล่าต่อด้วยความสนุกสนานว่า การทำงานในอาชีพตำรวจในสมัยนั้นต่างกับสมัยนี้มาก เมื่อก่อนการลงไปทำคดีแต่ละคดีต้องไปพักค้างแรม ณ สถานที่เกิดเหตุหรือที่วัด อาหารการกินก็ต้องอาศัยชาวบ้านทำมาให้ เราก็ให้เงินเป็นสินน้ำใจ แม้แต่ยานพาหนะก็ต้องอาศัยรถของพ่อค้าบ้างของคนอื่นไปบ้าง ลำบากมาก ข้าราชการไม่มีรถให้ใช้อย่างสบายเหมือนทุกวันนี้ อย่างเก่ง สน.บางแห่งก็อาจจะใช้ม้าเป็นพาหนะ ก็ถือว่าสบายแล้ว การลงพื้นที่เพื่อชันสูตรพลิกศพในสมัยก่อน หากผู้ที่ถูกยิงตายเป็นคอมมิวนิสต์ การชันสูตรจะใช้วิธีตัดมือทั้ง 2 ข้างนำไปพิสูจน์ตัวบุคคล และนำไปเผาในป่า เมื่อเผาเสร็จก็ต้องเดินตระเวนกันต่อ ตกเย็นก็ต้องไปพักแรมในวัด
“มีอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งว่าง ก็จะเป็นการฝึกซ้อมอาวุธประจำกายของตำรวจ เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงาน ซึ่งตำรวจจะใช้ อาวุธปืน M3 เป็นอาวุธประจำกาย วันนั้นที่ผมจำได้ เมื่อชักปืนขึ้นมาทดลองยิงปรากฏว่า ลูกกระสุนตกห่างจากจุดยิงไม่เกิน 20 เมตร กระสุนเสื่อม เพราะซื้อมานาน แต่ไม่เคยมีการใช้เลย ผมคิดในใจว่าหากเจอเหตุการณ์จริงคงถูกยิงตายไปแล้ว จึงได้เสนอนายและหลังจากนั้นกรมตำรวจจึงมีการทำลายกระสุนเสื่อมสภาพทั้งหมดทิ้ง”
พล.ต.สมเกียรติ เล่าอีกว่า ราว ปีพ.ศ.2510 ได้รับเลื่อนยศ เป็น ร.ต.ท.และได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผบ.หมวด สภ.อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ซึ่งยุคนั้นเจริญมาก เรียกว่าเป็นชุมทางของภาคอีสานก็ว่าได้ นายตำรวจอยากจะไปกันมาก ยุคนั้นเริ่มมี ทะนะ ปัจจุบันน่าจะเรียกว่า ทะแนะ มากกว่า คือ พวกที่มีความรู้ด้านกฎหมายนิดๆหน่อยๆ แต่ใช้ความรู้ที่มีอยู่หาเงินโดยการไปยุให้ผู้ต้องหาสู้คดี ทั้งๆที่บางรายไม่สมควรจะสู้ก็สู้ และต้องเสียเงินให้พวกทะนะไปเพราะให้คำปรึกษา สุดท้ายก็แพ้คดี
เช่นเดียวกันในยุคนี้ ที่เขาได้รู้จักกับคำว่าซื้อเสียง เนื่องจากกำนันในตำบลที่ไปอยู่ ซื้อเสียงในการเลือกตั้งกำนัน เมื่อถามว่าทำไมต้องซื้อเสียง เมื่อได้เป็นกำนันแล้วคุ้มหรือ กำนันตอบว่า เมื่อได้เป็นกำนันแล้วจัดงานเลี้ยงครั้งเดียวก็คุ้มแล้ว เงินที่จ่ายไปได้คืนหมดไม่ต้องห่วง
นอกจากนี้ ยังได้รู้ซึ้งถึงคำว่า อยุติธรรม ด้วย เนื่องจากตนได้นำกำลังไปจับการพนัน ผู้ต้องหาเป็นผู้มีอันจะกิน เมื่อส่งฟ้อง ผู้ต้องหาร้องเรียนว่าถูกกลั่นแกล้งจับกุม ซึ่งเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น ในเรื่องนี้รุ่นพี่ได้ให้ข้อคิดเตือนสติและให้กำลังใจว่า “ชีวิตตำรวจจะต้องโดนความอยุติธรรมอีกมาก” ทำให้ปลงไปเยอะทีเดียว
หลายครั้งที่ผู้ใหญ่บอกว่าจะเลื่อนขั้นยศให้ เพราะเห็นว่าทำงานจริง แต่สุดท้ายก็กินแห้ว เพราะผู้ใหญ่ทางการเมืองไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะด้วยเหตุมีโควตา มีคนของตัวเองอยู่แล้ว เราทำงานขัดกับผู้ใหญ่ หรืออะไรสารพัดที่นักการเมืองผู้เข้ามาคุมจะเรียก แต่ก็ไม่เคยท้อถอย เพราะคิดเสมอว่า ชีวิตตำรวจจะต้องมีจิตใจเข้มแข็ง อดทนต่อความเจ็บใจ
คดีใหญ่ดีสร้างชื่อ”ปราบตี๋ใหญ่”
ในชีวิตของการเป็นตำรวจ ตนได้รับมอบหมายให้ดูแลคดีสำคัญๆหลายคดี และมีโด่งดังมาก ได้แก่ คดีตี๋ใหญ่ ซึ่งใช้เวลาในการติดตามหลายปี ในคดีนี้มีตำรวจที่ทำงานด้วยกันถูกยิงเสียชีวิตด้วย แต่สุดท้ายคดีนี้ ก็ปิดด้วยการปิดฉากชีวิตของตี๋ใหญ่ คดีปลอมลายเซ็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.เกรียงศักดิ์ คดีมีระเบิดในห้องทำงานของ พล.อ.เปรมฯ จับกุมผู้ต้องหาได้ คดีจับกุมดารา ดามส์ เผด็จดัสกร จ้างวานฆ่า ทูล หิรัญทรัพย์ คดีฆาตกรรม ญาตินายห้างทอง ธรรมวัฒนะ
คดีฆ่าครูนิตย์ สมัยที่ตนเป็น ผบก.ภ.7 สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ทั้งคณะซึ่งเป็นญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ อ.สันกำแพง สาเหตุเพราะมีการโกงทรัพยากรธรรมชาติของแผ่นดินมาเป็นของตน ทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นมาก เมื่อคดีจบตนก็ได้เขียนเป็นหนังสือชื่อ “ครูนิตย์คนรักป่า”รายได้ทั้งหมดได้ตั้งเป็นกองทุนให้ตำรวจ บก.ภ.7(ลำปาง)กู้ยืม ส่วนคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศอีกคดีคือ การเข้าทำลายโรงงานผลิตยาเสพติด จับกุมได้ผู้ต้องหาจำนวนมาก พร้อมนักเคมีจากประเทศพม่า ได้5คน เมื่อสิ้นสุดคดีตนได้เขียนนวนิยายเชิงสืบสวนชื่อ เล่าซาน รายได้มอบให้ตำรวจเป็นค่าใช้จ่าย ในการปฏิบัติงาน
พล.ต.ท.สมเกียรติ กล่าวว่า แม้ชีวิตราชการจะหมดกำลังใจและท้อหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็มีกำลังใจและไม่เคยคิดจะลาออกจากราชการ ตรงกันข้ามกับต้องทำงานหนักขึ้น ยึดแนวอุดมการณ์ของตนเองโดยไม่สนใจว่าจะได้ตำแหน่งหรือไม่ เพราะทุกครั้งที่ตั้งความหวังก็มักจะรอเก้อเสมอ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุต่างๆ และกว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็น ผบช.ส. ก็ต้องรอจนถึงปีสุดท้ายของชีวิตราชการทีเดียว
แต่เขาสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า ทุกตำแหน่งที่ได้มา ได้มาด้วยความสามารถไม่เคยวิ่งเต้น ไม่เคยจ่ายเงินให้ผู้บังคับบัญชา ไม่เคยรับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการพิจารณาขั้น และไม่เคยรับเงินสินบนในคดีใดๆทั้งสิ้น แม้แต่การเขียนหนังสือ หรือรายได้จากการนำเสนอประสบการณ์ก็จะนำเข้าเป็นสวัสดิการของตำรวจเสมอ
สุดท้ายก่อนจบการเล่าชีวิตของการเป็นนายตำรวจ พล.ต.ท.สมเกียรติ กล่าวว่า ตนมีความภาคภูมิใจที่เกิดมาและได้มีอาชีพเป็นตำรวจ อาชีพตำรวจหากใครก็ตาม ถ้ามีจิตใจเข้มแข็ง ตั้งใจจริง ต้องการให้สังคมมีความสงบสุข ไม่ต้องการให้มีการกลั่นแกล้งรังแกกัน ต้องการให้กฎหมายบังคับใช้อย่างตรงไปตรงมา คงไม่มีอาชีพไหนที่จะช่วยเหลือประชาชนได้ดีเท่ากับอาชีพ ตำรวจ อย่างแน่นอน
โดดเล่นการเมืองด้วยใจรัก
“มือปราบตี๋ใหญ่” ยังได้บอกเล่าถึงการเข้าเป็นหนึ่งในแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนกลายเป็น 1 ในแกนนำภาคเหนือตอนบนและลำปาง ว่า หลังจากออกจากราชการ ก็สนใจด้านการเมืองเพราะคิดว่านักการเมืองน่าจะเป็นอีกอาชีพหนึ่งหลังเกษียณที่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ จึงได้ลงสมัคร ส.ว. ส.ส. ในจังหวัดลำปาง แต่ก็สอบไม่ผ่าน เพราะในพื้นที่มีการซื้อเสียงกันมาก และล่าสุดก็มีการสร้างหลักฐานเท็จด้วย เมื่อสอบไม่ผ่านตนก็ได้เข้าช่วยงานการเมืองในด้านอื่นๆที่พอจะทำได้ อย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม 2551 เท่าที่จำได้ ขณะที่รัฐบาลในขณะนั้นประกาศจะมีการแก้รัฐธรรม แกนนำพันธมิตรฯนัดชุมนุมคัดค้านที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จึงเดินทางขึ้นเครื่องบินจากจังหวัดเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ เมื่อไปถึงก็ไปหาซื้อรองเท้าผ้าใบและนั่งรถไปที่อนุสาวรีย์ทันที จากนั้น ก็ตระเวนไปหาคนที่มาจากจังหวัดลำปาง เดินหาหลายรอบแต่ก็ไม่พบใคร จนกระทั่ง 2 ทุ่ม รู้สึกเจ็บเท้ามากเพราะรองเท้าที่ซื้อมาใหม่บีบนิ้วเท้า จึงกลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นก็มาร่วมชุมนุมใหม่ มาร่วมชุมนุมติดต่อกันเป็นวันที่3 ประมาณ 4 ทุ่ม ได้เจอกับคุณหนึ่งแก่น และคุณตีต่าง ซึ่งเป็นพิธีกรทางช่องสุวรรณภูมิ ได้พูดคุยกัน จากนั้นทางคุณหนึ่งแก่น ก็บอกว่าทางเวทีอยากให้ขึ้นไปพูดบนเวทีหน่อย ตอนแรกก็ไม่กล้าและไม่รู้จะพูดอะไร ก็เลยให้ “สำราญ รอดเพชร” ซึ่งเป็นพิธีกรซักถาม ซึ่งครั้งนั้นถือเป็นครั้งแรกที่ขึ้นบนเวทีพันธมิตรฯ คืนนั้นจำได้ฝนตกหนักมาก
หลังจากนั้นก็ได้พูดกับพรรคพวกว่า ลำปางควรจะจัดเวทีและเชิญวิทยากรที่มีชื่อเสียงไปพูดคุยให้คนลำปางฟังน่าจะดี และทุกคนก็เห็นด้วย จึงได้จัดเสวนาขึ้นที่ลำปางครั้งแรก เป็นการเริ่มต้นของพันธมิตรฯในลำปาง โดยเชิญ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง , นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ไปเป็นวิทยากร ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากคนลำปางเข้าร่วมฟังกว่า 700 คนเลยทีเดียว
เมื่อการจัดเวทีครั้งแรกเสร็จสิ้น การรวมกลุ่มตั้งเป็นพันธมิตรฯจึงได้เริ่มต้นขึ้น และมีการเปิดเวทีคู่ขนานกับส่วนกลาง มีการประสานงานกับพันธมิตรฯต่างจังหวัด เดินทางไปช่วย ประสานงานวิทยากรให้กับต่างจังหวัดที่มีการเสวนา เป็นระยะๆ จนกระทั่งการเปิดเวทีย่อยที่ลำปางดำเนินงานมาได้ถึง 41 วัน ซึ่งวันสุดท้ายได้เชิญ4เหล่าทัพไปเป็นวิทยากร ได้รับความสนใจจากประชาชนเข้าฟังกว่า 3,000 คน ก่อนที่ พธม.ส่วนกลาง จะให้นโยบายว่าควรจะมารวมกันที่กรุงเทพฯ จึงได้ยุติการเปิดเวทีที่ลำปางแล้วนำกลุ่มพันธมิตรฯ มาร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง จนถึงวันสุดท้าย
อยากเห็นรัฐบาลเริ่มการเมืองใหม่
พล.ต.ท.สมเกียรติ กล่าวว่า แนวทางการดำเนินงานของพันธมิตรฯในขณะนี้ ควรจะให้ประชาชนได้รับความรู้ให้กว้างขวางมากขึ้นและขยายวงออกไปให้มาก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคอยจับตาการทำงานของรัฐบาล ไปพร้อมกันด้วย ยอมรับว่าในสถานการณ์ปัจจุบันพันธมิตรฯ เองก็ยังไม่สบายใจเท่าไหร่ หากรัฐบาลยังไม่สะสางปัญหาที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาของพันธมิตรฯ ทุกอย่างก็จะยังไม่จบ แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้เวลารัฐบาลด้วย
“และที่สำคัญอยากเห็นรัฐบาลนำแนวคิดการเมืองใหม่ไปใช้ อยากเห็นรัฐบาลบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด อยากเห็นกระบวนการยุติธรรมที่เข้มแข็งเป็นธรรม ประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ รัฐบาลจะต้องปลูกฝังอุดมการณ์ให้ประชาชนมีวินัย และเคารพกฎหมาย หากทำเช่นนี้ได้ประเทศชาติก็จะสงบสุข”
ปัจจุบัน พล.ต.ท.สมเกียรติ ไม่เพียงเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของการเมืองในยุค รัฐบาลประชาธิปัตย์ ในฐานะแกนนำสำคัญของเครือข่ายพันธมิตรฯภาคเหนือตอนบน และจ. ลำปาง เท่านั้น พล.ต.ท.สมเกียรติ ยังคงตระเวน สอนหนังสือให้ความรู้ด้านการสืบสวนสอบสวน ให้แก่มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่ง โดยท่านบอกว่า อยากเอาความรู้และประสบการณ์ที่ตนเคยทำมาถ่ายทอดให้แก่เยาวชนรุ่นต่อๆไปได้นำไปใช้ ให้เกิดประโยชน์ ที่สำคัญ คือ ไม่เหงา จนเฉาตายด้วย