ลำปาง – เปิดตัวมือประสาน พธม.ภาคเหนือตอนบน ผู้ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระ ร่วมปลุกปั้นเวทีคู่ขนานที่แผ่นดินเขลางค์นคร – เชียงใหม่ พื้นที่ฐานเสียงสำคัญของ “พ.ต.ท.ทักษิณ – ทรท.-พปช.-พท.” เขต “เสื้อแดง”หนาแน่น ได้อย่างต่อเนื่องตลอดห้วงแห่ง “สงครามครั้งสุดท้าย 193 วัน” ที่ยอมรับเต็มปากว่า “ชอบการเมืองเป็นชีวิตจิตใจ” พร้อมย้ำวันนี้ ภารกิจ “พันธมิตรฯ” ยังไม่จบ ต้องเดินหน้าสร้างสังคม ปชต.อย่างแท้จริง แทน “ประชาธิปไตย 4 วินาที” ปลุกกลุ่มชนที่ยังหลับใหลทางการเมืองที่กลายเป็น “ทาส” การเมืองเก่าให้ตื่นรู้ให้ได้
การขับเคลื่อนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบน พื้นที่ฐานเสียงสำคัญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ไร้แผ่นดินอยู่ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ที่มี “คนเสื้อแดง” หนาแน่นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รับรู้กันว่า “ยากลำบาก” ยิ่ง แต่ห้วงเวลาแห่งสงครามครั้งสุดท้าย 193 วัน พธม.ภาคเหนือตอนบน ก็สามารถเปิดเวทีคู่ขนานได้เกือบทุกวันที่ลำปาง พร้อมกับเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่เชียงใหม่ เมืองหลวงของ “ระบอบแม้ว” ได้ 2 ครั้ง
“ASTVผู้จัดการรายวัน” ได้สอบถามเพื่อนพ้องน้องพี่ พธม.แล้ว พบว่า การจัดเวทีปราศรัยคู่ขนานใน 2 หัวเมืองหลักของภาคเหนือตอนบนดังกล่าว นอกจาก พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ มือปราบตี๋ใหญ่ที่โด่งดังในอดีต –ประธานเครือข่าย พธม.ภาคเหนือตอนบน สมโชค จันทร์ทอง เลขาธิการ พธม.ภาคเหนือตอนบน ภาคีคนฮักเจียงใหม่ สุริยันต์ ทองหนูเอียด และกลุ่มนักธุรกิจ-นักวิชาการในเชียงใหม่ จะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญทำให้เกิดเวทีดังกล่าวขึ้นมาได้แล้ว ทุกเวทีมักจะพบ “เกรียงศักดิ์ เหล็กกล้า” หนุ่มใหญ่สายเลือดคนสุราษฏร์ธานี วัย 55 ปี ที่เข้ามาปักหลักทำธุรกิจเหมืองแร่ที่ลำปางกว่า 20 ปี คอยทำหน้าที่ประสานงานอยู่ข้าง ๆ เวทีด้วย
“เกรียงศักดิ์ เหล็กกล้า” ได้รับมอบหมายจากแกนนำในพื้นที่ ให้ทำหน้าที่เป็น “ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยภาคเหนือและจังหวัดลำปาง” ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระมาโดยตลอด ทุกเวทีที่พันธมิตรฯลำปางจัดขึ้น ทุกคนจะเห็นชายร่างใหญ่ พูดจาเสียงดังติดทองแดง คอยเดินประสานงานกับแกนนำ-วิทยากรบนเวทีตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีใครรู้จักว่าเป็นใคร มีหน้าที่อะไร เพราะเจ้าตัวไม่เคยเปิดตัวเองว่าเป็นใคร
วันนี้ชายร่างใหญ่ ผิวคล้ำ สำเนียงทองแดง เสียงดัง ลูกสุราษฎร์ฯโดยกำเนิด แต่สุดท้ายก็ต้องมาตั้งหลักปักฐานที่ลำปางกว่า 20 ปี เริ่มต้นสนทนากับ “ASTVผู้จัดการรายวัน” โดยเขาบอกว่า มีอาชีพเป็นนักธุรกิจเหมืองแร่ สายเลือดคนใต้เกิดที่ สุราษฎร์ธานี แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นสายเลือดด้วยหรือไม่ ที่ทำให้ชอบการเมือง ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ มาตั้งแต่เด็ก และเข้าร่วมการชุมนุมทุกครั้ง รวมถึงกรณี 14 ตุลาฯ ด้วย และที่จำได้แม่นยำในสมัยที่เรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเทเวศศึกษา ขณะนั้นบ้านอยู่ที่โรงพยาบาลรถไฟ ขณะนั้นมีการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น ก็เข้าร่วมด้วย จำได้ว่าในขณะนั้นมี “ธีรยุทธ บุญมี” เดินนำหน้า เขาเองอยู่ด้านหลัง รณรงค์ให้คนไทยหันมาใช้ของไทย จนมีกระแส 5 ย เกิดขึ้น
หลังเรียนจบ เริ่มทำงาน ซึ่งยึดอาชีพรับเหมางานของกรมทางหลวงมาโดยตลอด เหมางานที่กรุงเทพฯ – ปักษ์ใต้ จนครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องหนีจากปักษ์ใต้มาปักหลักที่ลำปาง คือ ในสมัยนั้นเขามีงานเหมืองอยู่ที่ ต.ป่าล่อน อ.กาญจนดิษ จ.สุราษฎร์ธานี ด้วยชีวิตส่วนตัวประกอบกับอาชีพที่ต้องคลุกคลีกับหน่วยงานและเจ้าของพื้นที่ด้วย ซึ่งขณะนั้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นผู้ที่มีอิทธิพลและคุมพื้นที่อยู่ เขาจึงต้องช่วยเหลือในการส่งเสบียง ยารักษาโรค อาหาร และสิ่งของที่จำเป็นให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าฝ่ายทหาร โดยสำนักข่าวกรองของกองทัพภาคที่4 ซึ่งมี พันโทกิตติ รัตนฉายา และพันโทสรวง เวชสิทธิ์ ยศในขณะนั้น ทราบเรื่อง จึงได้นำกำลังทิ้งบอมบ์ทางอากาศมาที่เหมืองของตนได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด ขณะที่ตัวเองก็ถูกล่าตัว จึงได้หนีออกจากพื้นที่ไปกบดานที่อื่น ก่อนที่จะมาอยู่ที่ลำปางโดยการรับเหมางาน และสุดท้ายก็หันมาจับงานเหมืองแร่จนถึงปัจจุบัน นับรวมก็ 20 กว่าปีแล้ว
เขาเล่าต่อว่า ไม่เสียใจเลยที่ได้มาอยู่ที่ลำปาง เพราะลำปางในขณะนั้น เป็นเมืองที่น่าอยู่ สบาย ไม่แออัด เหมือนในกรุงเทพฯ ครอบครัวทุกคนชอบที่จะอยู่ที่ลำปาง
ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วตลอดเวลากว่า 20 ปี ที่เข้ามาอยู่ลำปาง ได้เคลื่อนไหวอะไรเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ เกรียงศักดิ์ ตอบว่า ไม่เคยเลย เพราะส่วนหนึ่งเห็นว่าคนลำปางไม่ค่อยให้ความสนใจด้านการเมือง ทัศนคติต่างกันมาก แม้เราจะชอบการเมืองมากแค่ไหน แต่เมื่อพื้นที่ที่เราอยู่ไม่มีคนที่จะเดินไปในทางเดียวกันได้ ทุกอย่างก็หยุด แต่เรื่องการเมืองมันยังอยู่ในสายเลือด เมื่อการชุมนุมในปี 48 ก็ไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯด้วย แต่ในพื้นที่ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร
“เกรียงไกร “ เล่าอีกว่า ตอนแรกที่ไปร่วมการชุมนุม ไม่รู้จักใครก็ไปร่วมที่กรุงเทพฯ เมื่อกลับมาที่ลำปางคนที่รู้จักซึ่งเป็นคอการเมืองเหมือนกัน ก็ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการชุมนุม และได้พูดถึงแกนนำที่เป็นผู้ขับเคลื่อนที่ลำปางให้ฟัง เขาจึงสนใจ จนกระทั่งมีผู้แนะนำให้รู้จักกับ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ซึ่งเป็นประธานพันธมิตรฯ อยู่ในขณะนั้น เมื่อได้รู้จักพูดคุยกัน ร่วมกับคณะกรรมการฯคนอื่น ๆ ก็ได้ชวนให้เข้ามาร่วมทำกิจกรรมด้วย โดยให้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานฯ ซึ่งก็ได้เข้าทำหน้าที่ในการประสานงานกับส่วนกลางมาโดยตลอด และได้รู้จักมักคุ้นกับแกนนำที่ส่วนกลางมากขึ้นจึงง่าย – สะดวกในการประสานงาน
“ทุกครั้งที่ประสานงานไปยังกรุงเทพฯไม่ว่าจะเป็นการขอเชิญวิทยากร ขอเชิญศิลปิน ก็ไม่เคยถูกปฏิเสธเลย ซึ่งก็ถือว่าเป็นความโชคดีของเรา ที่แกนนำและผู้ใหญ่ที่ส่วนกลางมั่นใจ เห็นความสำคัญ และให้เครดิตเราในเรื่องนี้”
ส่วนมุมมองของ “เกรียงศักดิ์” หนุ่มใหญ่สายเลือดปักษ์ใต้ ที่ปักหลักทำมาหากินที่ลำปางมานานกว่า 20 ปีคนนี้ มองการเมืองในลำปาง ณ เวลานี้ว่า ประชาชนยังขาดซึ่งองค์ความรู้อยู่มาก ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่พันธมิตรฯจะต้องเป็นแกนหลักในการถ่ายทอดความรู้ให้ประชาชนที่ห่างไกลสื่อได้รู้ – เข้าใจ รัฐต้องปฏิรูปสื่ออย่างเด็ดขาด ถูกต้อง ตรงไปตรงมา และลงสู่ประชาชนได้ทุกกลุ่ม
“ต้องพัฒนาภาคประชาชนให้เข้มแข็ง ทั้งเรื่องระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเชื่ออยู่เพียงแค่ว่าประชาธิปไตยมีเพียงแค่ 4 วินาที คือไปหย่อนบัตรเลือกตั้งเท่านั้น หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นโชควาสนา ปล่อยให้เป็นเรื่องของตัวแทน โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนกำหนดอะไรได้เลย ซึ่งจริงๆแล้วประชาชนควรจะต้องเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของตัวเองได้โดยผ่านกระบวนการต่างๆที่สามารถทำได้”
ในความเห็นส่วนตัวของเขาคิดว่า ประชาธิปไตยที่ดีควรมีองค์ประกอบหลักๆคือ ต้องมีธรรมาภิบาล ไม่มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ ไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เคารพหลักนิติรัฐ เคารพสิทธิมนุษยชน และผู้ปกครองต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยจริยธรรม คุณธรรม เมตตาธรรมด้วย ซึ่งปัจจุบันสังคมไทยยังขาดสิ่งเหล่านี้อยู่มาก
“อยากฝากถึงรัฐบาลว่า การต่อสู้ของพันธมิตรฯที่ผ่านมา คือ การต่อสู้ระหว่างผู้ตื่นรู้ทางการเมือง กับผู้ที่ยังหลับใหลทางการเมือง ซึ่งทำให้ผู้ที่หลับใหลเหล่านั้นตกเป็นเหยื่อของการเมืองเก่า และรัฐบาลต้องยอมรับความจริงด้วยว่า ถ้าไม่มีพันธมิตรฯ ก็ไม่มีรัฐบาล ในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน”
เมื่อบรรยากาศการสนทนาเริ่มจะเครียด ผู้สื่อข่าวจึงได้สอบถามถึงงานอดิเรกที่หนุ่มใหญ่ผู้ประสานงาน พธม.ภาคเหนือตอนบน ชื่นชอบ ซึ่งคำตอบที่ได้รับคือ การอ่านหนังสือ โดยเฉพาะงานของท่านพุทธทาสฯ ที่เขาหยิบยกขึ้นมาเล่าให้ฟังอย่างได้อรรถรส ว่า เขาเชื่อและศรัทธาท่านพุทธทาสฯมาก โดยเฉพาะงานเขียนเกี่ยวกับประชาธิปไตย ที่ท่านพูดว่า
“ประชาธิปไตย ต้องมองถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนบ้าๆบอๆก็มี ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวประเทศชาติก็ฉิบหายหมด” ซึ่งเขาเห็นว่า เป็นเรื่องจริง เพราะถ้าทุกวันนี้ประชาชนอย่างเราๆ - อย่างพันธมิตรฯนิ่งเฉย เห็นแก่ตัวมากกว่าประเทศชาติ ไม่ออกมาทำอะไรกันเลย ก็คิดดูแล้วกันว่า วันนี้ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร
ก่อนจบการสนทนา “เกรียงศักดิ์-หนุ่มใต้ที่รัก หลงใหลแผ่นดินลำปาง” กล่าวฝากผ่าน “ASTVผู้จัดการรายวัน” แบบสั้นๆง่ายๆว่า พันธมิตรฯต้องเป็นองค์กรภาคประชาชนที่จะต้องอยู่ตลอดไปเพื่อให้ปัญญาแก่ประชาชน