ASTVผู้จัดการรายวัน - ไทยพลาสติกฯ งวดสิ้นปี 51 กำไรตก จาก 2,560 ล้านบาทเหลือเพียง 2,210 ล้านบาท สวนทางกับรายได้ การขายและการให้บริการรวมเพิ่มขึ้น ส่วนรายได้เงินปันผลและกำไรจากการขายเงินลงทุนลด ขณะที่มีภาระดอกเบี้ยเงินได้เพิ่ม
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด(มหาชน) (TPC) แจ้งผลการดำเนินงานงวดสิ้นปี 51 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 51 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,210.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,560.08 ล้านบาท หรือลดลง 13.66%
สำหรับรายได้ในปี 2551 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและจากการ ให้บริการรวม 31,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,949 ล้านบาทหรือ 7% เนื่องจากราคา ขายเพิ่มขึ้น โดยมีผลประกอบการเป็นกําไรสุทธิ 2,210 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนลดลง 350 ล้านบาท หรือ 14% จากกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ในขณะที่บริษัทฯมีรายได้จากเงินปันผลรับและกำไรจากการขายเงินลงทุนลดลง และมีภาระภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่บริษัทมีสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยเท่ากับ 20,037 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 2,678 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ เกิดจากลูกหนี้การค้า สินค้าคงคลังที่ลดลง และมูลค่าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่ลดลง ตามราคาตลาด ณ วันปิดบัญชี
ทั้งนี้ เมื่อไตรมาส 4 ปี 51 ยอดขายในประเทศของบริษัทลดลง 35% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ด้านการเงินโลกดังกล่าว ขณะที่ตลาดต่างประเทศนั้นพบว่าบริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและจากการให้บริการรวม 5,536 ล้านบาท ลดลง 34% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณ และราคาขายที่ลดลงจากผลของวิกฤติการณ์ ทางการเงินดังกล่าว
บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีผลขาดทุนสุทธิงวดไตรมาสที่ 4/2551รวม 384 ล้านบาท ซึ่งมีผลทำให้กำไรลดลงจากงวดเดียวกันของ ปีก่อน 1,259 ล้านบาทหรือ 144% จากปริมาณ และราคาขายลดลงอย่างมาก ขณะที่ต้นทุนยังคงอยู่ในระดับสูงอันเป็นผลจากโดยภาวะจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 51 อันเป็นผลจากสถาบันการเงินในประเทศหลาย แห่งประสบปัญหาสภาพคล่องและสถาบันการเงินล้มละลาย ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายในระบบการเงินอย่างมาก และกระทบไปถึงภูมิภาคอื่นทั่วโลก หลายอุตสาหกรรมในประเทศทำให้ความต้องการสินค้าต่างๆ ลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบ ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 51 ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบในการผลิต พีวีซี ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบโดยเฉพาะ ในไตรมาสที่ 4 ปี 51 รวมถึงความต้องการผลิตภัณฑ์ที่มาจากปิโตรเลียมเกือบทุกชนิดลดลง
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด(มหาชน) (TPC) แจ้งผลการดำเนินงานงวดสิ้นปี 51 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 51 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,210.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,560.08 ล้านบาท หรือลดลง 13.66%
สำหรับรายได้ในปี 2551 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและจากการ ให้บริการรวม 31,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,949 ล้านบาทหรือ 7% เนื่องจากราคา ขายเพิ่มขึ้น โดยมีผลประกอบการเป็นกําไรสุทธิ 2,210 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนลดลง 350 ล้านบาท หรือ 14% จากกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ในขณะที่บริษัทฯมีรายได้จากเงินปันผลรับและกำไรจากการขายเงินลงทุนลดลง และมีภาระภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่บริษัทมีสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยเท่ากับ 20,037 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 2,678 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ เกิดจากลูกหนี้การค้า สินค้าคงคลังที่ลดลง และมูลค่าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่ลดลง ตามราคาตลาด ณ วันปิดบัญชี
ทั้งนี้ เมื่อไตรมาส 4 ปี 51 ยอดขายในประเทศของบริษัทลดลง 35% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ด้านการเงินโลกดังกล่าว ขณะที่ตลาดต่างประเทศนั้นพบว่าบริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและจากการให้บริการรวม 5,536 ล้านบาท ลดลง 34% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณ และราคาขายที่ลดลงจากผลของวิกฤติการณ์ ทางการเงินดังกล่าว
บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีผลขาดทุนสุทธิงวดไตรมาสที่ 4/2551รวม 384 ล้านบาท ซึ่งมีผลทำให้กำไรลดลงจากงวดเดียวกันของ ปีก่อน 1,259 ล้านบาทหรือ 144% จากปริมาณ และราคาขายลดลงอย่างมาก ขณะที่ต้นทุนยังคงอยู่ในระดับสูงอันเป็นผลจากโดยภาวะจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 51 อันเป็นผลจากสถาบันการเงินในประเทศหลาย แห่งประสบปัญหาสภาพคล่องและสถาบันการเงินล้มละลาย ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายในระบบการเงินอย่างมาก และกระทบไปถึงภูมิภาคอื่นทั่วโลก หลายอุตสาหกรรมในประเทศทำให้ความต้องการสินค้าต่างๆ ลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบ ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 51 ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบในการผลิต พีวีซี ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบโดยเฉพาะ ในไตรมาสที่ 4 ปี 51 รวมถึงความต้องการผลิตภัณฑ์ที่มาจากปิโตรเลียมเกือบทุกชนิดลดลง