“ปตท.” ประกาศผลประกอบการปี 53 กวาดรายได้ 1.9 แสนล้านบาท กำไรสุทธิพุ่ง 8.3 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 39.5% จากปริมาณและราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ตามความต้องการบริโภคในประเทศ ภาพรวมตัวเลขหนี้สิ้นแตะ 6.7 แสนล้าน หรือร่วมครึ่งหนึ่งของมูลค่าสินทรัพย์บริษัทที่มี1.24ล้านล้านบาท ส่วนทั้งกลุ่มกำไรสุทธิโต 1.5 แสนล้าน สูงกว่าปี52 ที่มีกำไรรวม1.2แสนล้านบาท
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยถึงผลดำเนินงานของบริษัทงวด 12 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ว่า บมจ. ปตท.และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายในปี 2553 จำนวน 1,900,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 313,831 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.8 เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีรายได้จากการขาย จำนวน1,586,174 ล้านบาท จากปริมาณ และราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการของผลิตภัณฑ์กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นและรายได้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน (EBITDA) ในปี 2553 จำนวน 167,376ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากจำนวน 142,704 ล้านบาท ในปี 2552 เป็นจำนวน 24,672 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.3ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 83,088 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 29.26 บาทต่อหุ้น) เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ซึ่งมีกำไรสุทธิ จำนวน 59,548 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 21.06 บาทต่อหุ้น) เป็นจำนวน 23,540 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.5
โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 ปตท. และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 1,249,148 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 677,835 ล้านบาท โดยเป็นหนี้สินหมุนเวียน 270,495 ล้านบาท (รวมเงินกู้ยืมระยะยาวครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี 28,562 ล้านบาท) เงินกู้ยืมระยะยาว 342,427 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 571,313 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อนำตัวเลขกำไรสุทธิของทุกบริษัทในเครือ ปตท. มารวมกัน จะพบว่าทั้งเครือ(เมื่อรวมกับผลดำเนินงานของ บมจ.บางจากปิโตรเลียม ที่ PTT ถือหุ้นร้อยละ 23.99 ด้วย) จะมีกำไรสุทธิในปีที่ผ่านมาสูงถึง 155,449 ล้านบาท สูงขึ้นจากกำไรสุทธิรวมของทั้งกลุ่มเมื่อปี 2552 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 122,662 ล้านบาท
สำหรับ บริษัทในเครือปตท.นั้น ก่อนหน้านี้ได้ทยอยประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว เริ่มตั้งแต่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิ ณ สิ้นปีที่ผ่านมา 41,738 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นปี2552 ซึ่งมีจำนวน 22,153 ล้านบาท
ขณะที่ บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH) รายงานผลประกอบการปี2553 โดยมีกำไรสุทธิ 10,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้าซึ่งมีกำไรสุทธิ 6,801 ล้านบาท , บมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) มีกำไรสุทธิในปี53 จำนวน 6,342 ล้านบาท ลดลง จากกำไรสุทธิเมื่อปี52 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 9,161 ล้านบาท และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) มีกำไรสุทธิสิ้นปีที่ผ่านมา 8,998 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี52 ซึ่งกำไรสุทธิ 12,061 ล้านบาท
ส่วนบมจ.บางจากปิโตรเลียม มีกำไรสุทธิ 2,812 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิเมื่อปี52 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 7,524 ล้านบาท และบมจ. ไออาร์พีซี มีกำไรสุทธิ 6,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี52 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 5,415 ล้านบาท
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยถึงผลดำเนินงานของบริษัทงวด 12 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ว่า บมจ. ปตท.และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายในปี 2553 จำนวน 1,900,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 313,831 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.8 เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีรายได้จากการขาย จำนวน1,586,174 ล้านบาท จากปริมาณ และราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการของผลิตภัณฑ์กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นและรายได้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน (EBITDA) ในปี 2553 จำนวน 167,376ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากจำนวน 142,704 ล้านบาท ในปี 2552 เป็นจำนวน 24,672 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.3ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 83,088 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 29.26 บาทต่อหุ้น) เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ซึ่งมีกำไรสุทธิ จำนวน 59,548 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 21.06 บาทต่อหุ้น) เป็นจำนวน 23,540 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.5
โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 ปตท. และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 1,249,148 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 677,835 ล้านบาท โดยเป็นหนี้สินหมุนเวียน 270,495 ล้านบาท (รวมเงินกู้ยืมระยะยาวครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี 28,562 ล้านบาท) เงินกู้ยืมระยะยาว 342,427 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 571,313 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อนำตัวเลขกำไรสุทธิของทุกบริษัทในเครือ ปตท. มารวมกัน จะพบว่าทั้งเครือ(เมื่อรวมกับผลดำเนินงานของ บมจ.บางจากปิโตรเลียม ที่ PTT ถือหุ้นร้อยละ 23.99 ด้วย) จะมีกำไรสุทธิในปีที่ผ่านมาสูงถึง 155,449 ล้านบาท สูงขึ้นจากกำไรสุทธิรวมของทั้งกลุ่มเมื่อปี 2552 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 122,662 ล้านบาท
สำหรับ บริษัทในเครือปตท.นั้น ก่อนหน้านี้ได้ทยอยประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว เริ่มตั้งแต่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิ ณ สิ้นปีที่ผ่านมา 41,738 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นปี2552 ซึ่งมีจำนวน 22,153 ล้านบาท
ขณะที่ บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH) รายงานผลประกอบการปี2553 โดยมีกำไรสุทธิ 10,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้าซึ่งมีกำไรสุทธิ 6,801 ล้านบาท , บมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) มีกำไรสุทธิในปี53 จำนวน 6,342 ล้านบาท ลดลง จากกำไรสุทธิเมื่อปี52 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 9,161 ล้านบาท และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) มีกำไรสุทธิสิ้นปีที่ผ่านมา 8,998 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี52 ซึ่งกำไรสุทธิ 12,061 ล้านบาท
ส่วนบมจ.บางจากปิโตรเลียม มีกำไรสุทธิ 2,812 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิเมื่อปี52 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 7,524 ล้านบาท และบมจ. ไออาร์พีซี มีกำไรสุทธิ 6,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี52 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 5,415 ล้านบาท
