เมื่อวาน ( 27 ม.ค. 52) ร่างกายออกอาการยุบหนอพองหนอ โดนไข้หวัดโจมตี หอบไออย่างหนักจนเกือบถึงขั้นปลงอนิจจังกันทีเดียว...
ในด้านดี ป่วยไข้หนักทีไร ก็มักจะออกอาการคล้ายๆ ไปร่วมงานศพ คือมองชีวิต-สังคมแบบปลงๆ เป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องสมมติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ..เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ...คือสัจธรรม...ตถตา..มันเป็นเช่นนั้นเอง
โน่น! ไปโน่นเลย..
ก่อนจะกลืนยานอนหลับไปสองเม็ด เปิดอินเทอร์เน็ตฟังการถ่ายทอดสดการประชุมร่วมรัฐสภา ว่าด้วยกรอบความตกลงกับอาเซียน ส่วนลึกของใจคือต้องการ “ลุ้น”ให้ ท่านทูตกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ฝ่าด่านอาวุธหนักทั้งแหลนหลาวกระบองและอีโต้ที่ ส.ส.ฝ่ายค้านสายบู๊ผู้ทรงเกียรติอย่าง สุนัย จุลพงศธร และ จตุพร พรหมพันธุ์ ประเคนใส่ไว้ตั้งแต่การประชุมรัฐสภาวันแรก (26 ม.ค.) แต่เป็นวันที่ท่านทูตกษิตเดินทางไปเยือนกัมพูชา..ให้ได้
แต่เดิมนั้น สมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วนและพลพรรคคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ตั้งเป้าที่จะขัดขวางหรือล้มการประชุมอาเซียน ซัมมิท แต่ต่อมาได้ลดธงเหลือแค่คัดค้านการดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ของท่านทูตกษิต ภิรมย์..
ในที่ประชุมรัฐสภาท่านทูตกษิตได้ลุกขึ้นชี้แจงการไปเยือนกัมพูชา มิตรภาพอันดียิ่งระหว่างตัวท่านกับสมเด็จฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา ตลอดจนพูดถึงเสียงตอบรับของนานาประเทศต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ และความมั่นใจในการประชุมอาเซียน ซัมมิท..
เป็นไปตามคาด.. “ตู่ จตุพร” เปิดฉากควงอีโต้รุกฆาตว่าท่านทูตกษิตไม่ได้ตอบคำถามที่เขาอภิปรายว่าท่านทูตกษิตไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่ง ด้วยเหตุผลไปบุกสนามบิน ยึดทำเนียบฯ ปราศรัยโจมตีสมเด็จฮุนเซน ฯลฯ..ซึ่งส.ส.ซีกฝ่ายรัฐบาลหาว่าจตุพรพูดนอกเรื่อง
บรรยากาศการประท้วงชุลมุนชุลเกเกิดขึ้นหลังการถล่มของตู่ จตุพร ชำนิ ศักดิเศรษฐ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ถึงขั้นลุกขึ้นประกาศว่าขอประท้วงเป็นครั้งแรกในชีวิต ก่อนที่ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา (ซึ่งต้องชมว่าทำหน้าที่เมื่อวานได้ดีมาก) ต้องขอพักการประชุม 5 นาที..และเช่นเดียวกันหากมองภายใต้กรอบของความเป็นฝ่ายค้านก็ต้องถือว่า ตู่ จตุพร ก็ปฏิบัติการได้อย่างถึงพริกถึงขิง
เมื่อกลับมาประชุมอีกที ท่านทูตกษิตจึงได้ลุกขึ้นชี้แจงตอบคำถามของนายจตุพรด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีอาการโกรธหรือนอตหลุด ตอบแบบกระชับๆ แต่ผมว่า..งดงาม
ท่านทูตไม่ปฏิเสธเรื่องการพูดโจมตีสมเด็จฮุนเซน แต่บอกว่าที่โจมตีตอนนั้นเพราะสมเด็จฮุนเซนบอกให้ไทยถอนทหารออกจากรอบปราสาทพระวิหาร เป็นการพูดในฐานะประชาชนที่หวงแหนอธิปไตยของชาติ พูดไปในท่ามกลางความเคลื่อนไหวของการเมืองภาคประชาชน แต่ในขณะนี้มาทำหน้าที่ในฐานะ รมว.ต่างประเทศก็ต้องมีวินัย เดินตามนโยบายรัฐบาล ทุกคนล้วนแต่มีอดีตของการต่อสู้ แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะทำงานไม่ได้ ..ฯลฯ..
อะไรทำนองนั้นแหละครับ..
หลังรมว.ต่างประเทศตอบคำถาม การประชุมจึงเดินหน้าไปได้ ผมว่าหลายคนคงรู้สึกโล่ง..
รวมทั้งตัวผม..ที่สารภาพว่าเอาใจช่วยท่านทูตกษิต แม้ว่าตั้งแต่ท่านไปรับตำแหน่งไม่เคยแม้แต่โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับท่านหรือผ่านภรรยาท่านแม้แต่ครั้งเดียว เคยแต่แสดงความยินดีผ่านรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทางเอเอสทีวีเท่านั้น..
ทั้งๆ ที่ระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 193 วัน ท่านทูตกษิตมาเป็นแขกในรายการสภาท่าพระอาทิตย์หลายสิบครั้ง จนรู้สึกคุ้นเคยและผมค่อนข้างจะชื่นชมในตรรกะ เหตุผลและจุดยืนเพื่อบ้านเพื่อเมืองอันมั่นคงของท่าน..
จริงๆ แล้วท่านทูตกษิตเป็นคนพูดจาสุภาพเรียบร้อย อาจจะมีบ้างในช่วงท้ายๆ ของการชุมนุมที่ภาษาของท่านเริ่มดุดัน หลังจากที่พี่น้องพันธมิตรฯ ถูกถล่มที่หน้ารัฐสภาและล้มตายที่ทำเนียบรัฐบาล..
ใครที่ชมการให้สัมภาษณ์ของท่านผ่านพิธีกรอย่างสุทธิชัย หยุ่น ทางช่อง 9 อสมท และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ทางเอเอสทีวี คงจะได้ยินเต็มสองรูหูว่าท่านทูตกษิตบอกว่าไม่เคยที่คิดจะล้างภาพหรือสลัดภาพความเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พันธมิตรฯ ที่สู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และการเมืองที่มีธรรมาภิบาล…
ถึงวันนี้ แม้อาจจะยังมีขบวนการล่าไล่ท่านทูตกษิตแต่ผมว่าท่านทูตกษิต น่าจะทำให้ตัวเองและนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รู้สึกเดินไปข้างหน้าได้แบบเต็มเท้า ทำงานใหญ่ได้อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว ข้อหาความเป็นพันธมิตรฯ ไม่อาจจะยิ่งใหญ่กว่าความเป็นตัวตนของตัวเอง..
เป็น กษิต ภิรมย์
และจริงๆ แล้วเป็นพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้ผิดตรงไหน เพราะหัวใจของพันธมิตรฯ คือการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เรียกร้องให้มีการเมืองใหม่
จำไม่ได้ว่าสุภาษิตจีน สุภาษิตไทยหรือประเทศไหนก็ไม่รู้บอกว่า...เอาเข้าจริงๆ แล้วคนเรามีอยู่ 3 เป็น..
- “คนอื่นตั้งให้เป็นหรืออยากให้เป็น” พวกเสื้อแดงตั้งให้ท่านทูตกษิตเป็น “ผู้ก่อการร้าย”, อภิสิทธิ์ ตั้งให้ท่านเป็นรมว.ต่างประเทศ ฯลฯ
- “เราอยากเป็น” ท่านทูตกษิตก็คงไม่ปฏิเสธว่า อยากเป็น รมว.ต่างประเทศ หรืออยากมีตำแหน่งหน้าที่ในการทำงานรับใช้ชาติ
- “สิ่งที่เราเป็นอยู่จริง และควรจะเป็น”
ประสาคนบาปหนาเวลาป่วยในบางครั้ง ผมนึกอยากจะเป็นนักกีฬาที่ร่างกายแข็งแรง หรือไม่ก็อยากจะเป็นชายวัยกลางคนที่ไม่ต้องทำอะไรมาก นอนอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูทีวี รดน้ำต้นไม้ ขับรถไปรับลูกเมีย ตีกอล์ฟบ้าง หรือบางครั้งก็นึกอยากเป็นผู้วิเศษเสกเงินแสนเงินล้านให้ตัวเองเอาไว้รักษาตัว เพราะกลัวตาย...
สำหรับท่านทูตกษิตในวันนี้ ผมว่าท่านน่าจะมีอยู่ครบทั้ง “3 เป็น” แล้วก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องถือว่าเยี่ยมยอด เพราะท่านมี “สิ่งที่เราเป็นอยู่จริง และควรจะเป็น” รวมอยู่ด้วย
แต่ถ้าจะให้เยี่ยมวรยุทธจริงๆ ท่านยังจะต้องทำให้ “สิ่งที่เราเป็นอยู่จริง และควรจะเป็น” ให้ออกดอกออกผลเพื่อสังคมส่วนรวม ทำในสิ่งที่ได้พูดได้ฝันเอาไว้ให้เป็นจริงให้มากที่สุด
แม้ว่าเราจะยังอยู่ภายใต้บริบทของ..การเมืองเก่า!!
ในด้านดี ป่วยไข้หนักทีไร ก็มักจะออกอาการคล้ายๆ ไปร่วมงานศพ คือมองชีวิต-สังคมแบบปลงๆ เป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องสมมติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ..เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ...คือสัจธรรม...ตถตา..มันเป็นเช่นนั้นเอง
โน่น! ไปโน่นเลย..
ก่อนจะกลืนยานอนหลับไปสองเม็ด เปิดอินเทอร์เน็ตฟังการถ่ายทอดสดการประชุมร่วมรัฐสภา ว่าด้วยกรอบความตกลงกับอาเซียน ส่วนลึกของใจคือต้องการ “ลุ้น”ให้ ท่านทูตกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ฝ่าด่านอาวุธหนักทั้งแหลนหลาวกระบองและอีโต้ที่ ส.ส.ฝ่ายค้านสายบู๊ผู้ทรงเกียรติอย่าง สุนัย จุลพงศธร และ จตุพร พรหมพันธุ์ ประเคนใส่ไว้ตั้งแต่การประชุมรัฐสภาวันแรก (26 ม.ค.) แต่เป็นวันที่ท่านทูตกษิตเดินทางไปเยือนกัมพูชา..ให้ได้
แต่เดิมนั้น สมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วนและพลพรรคคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ตั้งเป้าที่จะขัดขวางหรือล้มการประชุมอาเซียน ซัมมิท แต่ต่อมาได้ลดธงเหลือแค่คัดค้านการดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ของท่านทูตกษิต ภิรมย์..
ในที่ประชุมรัฐสภาท่านทูตกษิตได้ลุกขึ้นชี้แจงการไปเยือนกัมพูชา มิตรภาพอันดียิ่งระหว่างตัวท่านกับสมเด็จฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา ตลอดจนพูดถึงเสียงตอบรับของนานาประเทศต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ และความมั่นใจในการประชุมอาเซียน ซัมมิท..
เป็นไปตามคาด.. “ตู่ จตุพร” เปิดฉากควงอีโต้รุกฆาตว่าท่านทูตกษิตไม่ได้ตอบคำถามที่เขาอภิปรายว่าท่านทูตกษิตไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่ง ด้วยเหตุผลไปบุกสนามบิน ยึดทำเนียบฯ ปราศรัยโจมตีสมเด็จฮุนเซน ฯลฯ..ซึ่งส.ส.ซีกฝ่ายรัฐบาลหาว่าจตุพรพูดนอกเรื่อง
บรรยากาศการประท้วงชุลมุนชุลเกเกิดขึ้นหลังการถล่มของตู่ จตุพร ชำนิ ศักดิเศรษฐ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ถึงขั้นลุกขึ้นประกาศว่าขอประท้วงเป็นครั้งแรกในชีวิต ก่อนที่ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา (ซึ่งต้องชมว่าทำหน้าที่เมื่อวานได้ดีมาก) ต้องขอพักการประชุม 5 นาที..และเช่นเดียวกันหากมองภายใต้กรอบของความเป็นฝ่ายค้านก็ต้องถือว่า ตู่ จตุพร ก็ปฏิบัติการได้อย่างถึงพริกถึงขิง
เมื่อกลับมาประชุมอีกที ท่านทูตกษิตจึงได้ลุกขึ้นชี้แจงตอบคำถามของนายจตุพรด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีอาการโกรธหรือนอตหลุด ตอบแบบกระชับๆ แต่ผมว่า..งดงาม
ท่านทูตไม่ปฏิเสธเรื่องการพูดโจมตีสมเด็จฮุนเซน แต่บอกว่าที่โจมตีตอนนั้นเพราะสมเด็จฮุนเซนบอกให้ไทยถอนทหารออกจากรอบปราสาทพระวิหาร เป็นการพูดในฐานะประชาชนที่หวงแหนอธิปไตยของชาติ พูดไปในท่ามกลางความเคลื่อนไหวของการเมืองภาคประชาชน แต่ในขณะนี้มาทำหน้าที่ในฐานะ รมว.ต่างประเทศก็ต้องมีวินัย เดินตามนโยบายรัฐบาล ทุกคนล้วนแต่มีอดีตของการต่อสู้ แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะทำงานไม่ได้ ..ฯลฯ..
อะไรทำนองนั้นแหละครับ..
หลังรมว.ต่างประเทศตอบคำถาม การประชุมจึงเดินหน้าไปได้ ผมว่าหลายคนคงรู้สึกโล่ง..
รวมทั้งตัวผม..ที่สารภาพว่าเอาใจช่วยท่านทูตกษิต แม้ว่าตั้งแต่ท่านไปรับตำแหน่งไม่เคยแม้แต่โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับท่านหรือผ่านภรรยาท่านแม้แต่ครั้งเดียว เคยแต่แสดงความยินดีผ่านรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทางเอเอสทีวีเท่านั้น..
ทั้งๆ ที่ระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 193 วัน ท่านทูตกษิตมาเป็นแขกในรายการสภาท่าพระอาทิตย์หลายสิบครั้ง จนรู้สึกคุ้นเคยและผมค่อนข้างจะชื่นชมในตรรกะ เหตุผลและจุดยืนเพื่อบ้านเพื่อเมืองอันมั่นคงของท่าน..
จริงๆ แล้วท่านทูตกษิตเป็นคนพูดจาสุภาพเรียบร้อย อาจจะมีบ้างในช่วงท้ายๆ ของการชุมนุมที่ภาษาของท่านเริ่มดุดัน หลังจากที่พี่น้องพันธมิตรฯ ถูกถล่มที่หน้ารัฐสภาและล้มตายที่ทำเนียบรัฐบาล..
ใครที่ชมการให้สัมภาษณ์ของท่านผ่านพิธีกรอย่างสุทธิชัย หยุ่น ทางช่อง 9 อสมท และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ทางเอเอสทีวี คงจะได้ยินเต็มสองรูหูว่าท่านทูตกษิตบอกว่าไม่เคยที่คิดจะล้างภาพหรือสลัดภาพความเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พันธมิตรฯ ที่สู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และการเมืองที่มีธรรมาภิบาล…
ถึงวันนี้ แม้อาจจะยังมีขบวนการล่าไล่ท่านทูตกษิตแต่ผมว่าท่านทูตกษิต น่าจะทำให้ตัวเองและนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รู้สึกเดินไปข้างหน้าได้แบบเต็มเท้า ทำงานใหญ่ได้อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว ข้อหาความเป็นพันธมิตรฯ ไม่อาจจะยิ่งใหญ่กว่าความเป็นตัวตนของตัวเอง..
เป็น กษิต ภิรมย์
และจริงๆ แล้วเป็นพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้ผิดตรงไหน เพราะหัวใจของพันธมิตรฯ คือการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เรียกร้องให้มีการเมืองใหม่
จำไม่ได้ว่าสุภาษิตจีน สุภาษิตไทยหรือประเทศไหนก็ไม่รู้บอกว่า...เอาเข้าจริงๆ แล้วคนเรามีอยู่ 3 เป็น..
- “คนอื่นตั้งให้เป็นหรืออยากให้เป็น” พวกเสื้อแดงตั้งให้ท่านทูตกษิตเป็น “ผู้ก่อการร้าย”, อภิสิทธิ์ ตั้งให้ท่านเป็นรมว.ต่างประเทศ ฯลฯ
- “เราอยากเป็น” ท่านทูตกษิตก็คงไม่ปฏิเสธว่า อยากเป็น รมว.ต่างประเทศ หรืออยากมีตำแหน่งหน้าที่ในการทำงานรับใช้ชาติ
- “สิ่งที่เราเป็นอยู่จริง และควรจะเป็น”
ประสาคนบาปหนาเวลาป่วยในบางครั้ง ผมนึกอยากจะเป็นนักกีฬาที่ร่างกายแข็งแรง หรือไม่ก็อยากจะเป็นชายวัยกลางคนที่ไม่ต้องทำอะไรมาก นอนอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูทีวี รดน้ำต้นไม้ ขับรถไปรับลูกเมีย ตีกอล์ฟบ้าง หรือบางครั้งก็นึกอยากเป็นผู้วิเศษเสกเงินแสนเงินล้านให้ตัวเองเอาไว้รักษาตัว เพราะกลัวตาย...
สำหรับท่านทูตกษิตในวันนี้ ผมว่าท่านน่าจะมีอยู่ครบทั้ง “3 เป็น” แล้วก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องถือว่าเยี่ยมยอด เพราะท่านมี “สิ่งที่เราเป็นอยู่จริง และควรจะเป็น” รวมอยู่ด้วย
แต่ถ้าจะให้เยี่ยมวรยุทธจริงๆ ท่านยังจะต้องทำให้ “สิ่งที่เราเป็นอยู่จริง และควรจะเป็น” ให้ออกดอกออกผลเพื่อสังคมส่วนรวม ทำในสิ่งที่ได้พูดได้ฝันเอาไว้ให้เป็นจริงให้มากที่สุด
แม้ว่าเราจะยังอยู่ภายใต้บริบทของ..การเมืองเก่า!!