แม้จะยังสรุปไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าอะไรเป็นสาเหตุสำคัญทำให้คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องถลำลึกเลยเถิดลงไปเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนล้วนแล้วแต่ผิดทิศผิดทาง มีแนวโน้มออกทะเล ห่างไกลจากฝั่งไปเรื่อยๆ
ถ้าพิจารณาถึงแนวทางการต่อสู้ในระยะหลังก็มักออกมาในลักษณะดิ้นรนต้องหนีหัวซุกหัวซุน หมดสภาพอดีตผู้นำที่เคยยิ่งใหญ่ เคยกุมทุกอย่างเอาไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จ
วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งแนวร่วม คนใกล้ตัว เคยเรียกใช้ได้ทุกเวลา แต่ปัจจุบันกลับหมางเมินตีตัวออกห่าง มิหนำซ้ำหลายคนพลิกกลับหลังหัน ไปร่วมมือกับศัตรูแล้วหันคมหอกมาทิ่มแทงหน้าตาเฉย
ทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป เพราะหากสังเกตให้ดีจุด “หักเห” สำคัญน่าจะเกิดขึ้นหลังจากชูยุทธศาสตร์ “ม็อบเสื้อแดง” นำการเมืองนั่นแหละ
แต่ขณะเดียวกันหากมองอย่างเข้าใจมันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องเลือกเดินทางนี้ เพราะคดีความ ทรัพย์สินถูกอายัด คุกตะรางรออยู่ข้างหน้า ถูกตีโต้กลับแทบไม่มีที่ยืนแล้ว ทุกอย่างมันกระชั้นชิดเข้ามา
ยิ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ปรับกระบวนยุทธหันมาโหมประชานิยมอย่างขนานใหญ่ ส่งกันถึงมือเห็นๆดึงรากหญ้าทั่วประเทศออกนอกสังกัดมากขึ้นทุกวัน เป็นใครก็ย่อมหวั่นไหว
ดังนั้นเป้าหมายต้องเร่งปิดเกมให้เร็ว ลุ้นได้เสียแบบห้าสิบ-ห้าสิบ แต่เมื่อยิ่งเร่งมันก็ยิ่งพลาด เพราะเมื่อถลำลึกไปแล้ว จะหันหลังกลับกะทันหันมันก็สายไปเสียแล้ว
ที่ผ่านมาหลังจากเดินเกมพลาด เล่นเกมยื้อแตกหัก ไม่ยอมถอย สั่งรัฐบาล “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยืนแลกหมัดรอบวง ไม่ยอมยุบสภา ตามที่บิ๊กกองทัพและสังคมเปิดทางให้ เพราะในตอนนั้นหากมีการเลือกตั้งใหม่ เครือข่ายระบอบทักษิณ ยังมีอยู่เต็มเมือง อีกทั้งกระแส “รากหญ้า” ทั้งในชนบทและในเมืองสนับสนุนกันอื้ออึง
อำนาจรัฐยังอยู่ในมือ ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเลือกตั้งวันไหนก็น่าจะกลับมากันพรึบพรับเหมือนเดิม ถ้ายอมถอยสักก้าวเพื่อกลับมารุกภายหลังก็ทำได้ แต่กลับไม่นำพา
มาวันนี้ได้แต่นั่งเจ็บใจ
อย่างไรก็ดีเมื่อพลาดไปแล้ว แทนที่สรุปบทเรียนเปลี่ยนทิศทางใหม่ กลับเดินหน้าต่อ ส่งสัญญาณไฟเขียวให้ “เสื้อแดง” ป่วนนอกสภาอย่างเต็มที่ ซึ่งหากพิจารณาถึงภาพพจน์และความน่าเชื่อถือของแกนนำม็อบเป็นรายตัว หากพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว “ปลุก” อย่างไรก็ไม่ขึ้น กระแสตอบรับจากสังคมมีแต่เสียงด่าดังระงม
โพลทุกโพลล้วนออกมาโทนเดียวกันคือ เบื่อม็อบ อีกด้านหนึ่งชาวบ้านยังให้โอกาส รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บริหารประเทศกอบกู้ภาวะเศรษฐกิจที่ทุกฝ่ายประเมินกันว่าปีนี้ “เผาจริง” คงไม่มีใครมาบ้าสู้เพื่อ “ทักษิณ” คนเดียวหรอก
แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกก็อาจจะเข้าใจได้ว่า สาเหตุที่ “เฮียแม้ว” ต้องเสียคน ต้องเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะฟังข้อมูลกรอกหูจาก “สามเกลอ” เพราะถ้าหยุดม็อบนั่นก็ย่อมหมายความว่าท่อน้ำเลี้ยงก็ต้องหยุดไปด้วย
รายได้ที่เคยไหลมาเป็นกอบเป็นกำก็พลอยหดหาย มันก็ต้องออกมาในโทน “เอาเลยนาย ดีครับนาย แต่นายต้องจ่ายนะ” อะไรประมาณนั้น
ล่าสุดประกาศระดมกำลังเสื้อแดงออกมาชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 31 มกราคมนี้ และตามข่าวบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินเข้ามา พร้อมทั้งเผยแพร่ออกทางสถานีดาวเทียมดีทีวี ที่ตั้งขึ้นมารองรับ อย่างไรก็ดีนาทีนี้ถ้าถามว่าจะมีมวลชนออกมากันมากมายแค่ไหน ก็ต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับปัจจัยและองค์ประกอบหลายอย่าง เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปเกือบจะสิ้นเชิงแล้ว
ถ้ามามากก็ต้องจ่ายมาก ส่วนจะถึงมือจำนวนเท่าไหร่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีรายการแฉโพยเรื่อง “หักหัวคิว” ระหว่างคนกันเองกันจนน่ารำคาญ
และยังมีข่าวกำลังทาบทาม “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยอีกมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ลักษณะไม่ต่างจากการนำของตกรุ่นหมดอายุมาขาย มีแต่เพิ่ม “เสียงยี้” ขึ้นไปอีก
มาถึงตรงนี้ถ้าให้เปรียบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ต่างอะไรกับ “คนหูแตก” ที่นั่งอยู่ในวงไฮโลนานๆแล้วเกิดอาการเบลอ “ฟังเสียงเพี้ยน” เข้าใจผิดคิดว่าเสียงเอี่ยวเป็นหก ทำให้ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดทุกเรื่อง
ขณะเดียวกันแม้ว่าบางครั้งคิดอยากจะเลิก ถอนตัวออกมาแต่ทำไม่ได้ เพราะยังมีบรรดา “พวกผีข้างบ่อน” อยู่เป็นฝูงที่คอยหากิน หาประโยชน์ ไม่ยอม มันจึงต้องถลำลึกเดินหน้าต่อ
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แนวโน้มมีแต่เข้าเนื้อ หมดตัว !!