xs
xsm
sm
md
lg

พระพยอมจีวรแดงหรือเหลือง

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

พูดถึงพระพยอม กัลยาโณ ก็จะต้องนึกถึงความเป็นเจ้าคารมคมโวหารแบบโต้คารมมัธยมศึกษาชนิดเด็กเมื่อวานซืนอย่างณัฐวุฒิ ใสเกื้อต้องเรียกพี่

ตอนที่พระพยอมยังเป็นดาวรุ่งตอนนั้นใครๆ ก็สนใจฟังธรรมะสอดแทรกมุกตลกโปกฮาแบบตลกคาเฟ่หม่ำเท่งโหน่งเชิญยิ้มม๊กจ๊กของหลวงพ่อท่านทั้งนั้น

และเมื่อหลวงพ่อท่านออกจากวัดมาสนใจการบ้านการเมือง ผมก็แอบหวังเอาว่า ท่านจะเอาธรรมะมากล่อมเกลากิเลสของนักการเมืองได้มากขึ้น และสอนให้สังคมได้รู้จักแยกแยะผิดถูกดีชั่วได้มากกว่าปุถุชนคนเดินดินแบบเราเป็นแน่

ผมเห็นด้วยที่หลวงพ่อเทศนาว่า พระต้องยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะคนเป็นนักการเมืองต้องมีศีลธรรม ต้องมีธรรมะอยู่ในใจ ถ้าพระไม่สอนแล้วจะให้ใครสอน

แต่ต้องไม่ลืมว่า แม้ “ธรรม” จะไม่ผิด แต่คำสอนของพระและการประพฤติของพระก็ไม่ใช่ถูกทั้งหมด

เมื่อฟังความเห็นของหลวงพ่อท่าน ก็ตระหนักได้ทันทีว่า หลวงพ่อท่านนั้นมองต่างกับพวกเรา แต่การมองต่างก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอยู่ดี ขอเพียงแต่พระพยอมท่านอย่าปิดบังอำพรางจุดยืนที่แท้จริงของตัวเอง ว่าท่าน “เป็นกลาง”

เช่นตอนที่พวกเราออกมาวิพากษ์วิจารณ์และเปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชันของระบอบทักษิณ อยู่ๆ ท่านก็ออกมาเทศนาว่า “รักพ่ออย่าทะเลาะกัน”

ซึ่งดูราวกับว่า หลวงพ่อท่านไม่ได้เข้าถึงแก่นของปัญหา เพราะถ้ามองจากเหตุไปสู่ผล การเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับแนวทางระบอบทักษิณเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ย่อมไม่ใช่เรื่องของพี่น้องทะเลาะกันเป็นแน่

ไม่รู้เหมือนกันว่า การที่พระพยอมมองว่าเป็นเรื่องของพี่น้องทะเลาะกัน เพราะหลวงพ่อท่านตื้นเขินไม่รู้ว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาเคลื่อนไหวทำไม หรือหลวงพ่อท่านรู้ แต่เจตนาออกมาเทศนาเพื่อให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นพวกสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง และเป็นเรื่องระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเสียมากกว่า

พูดกับพระต้องพูดตรงๆ ว่า เมื่อผมได้ยินก็คิดว่า หลวงพ่อท่านต้องการออกมาดิสเครดิตพวกเรานั่นแหละครับ

เพราะว่าไปแล้วพระพยอมท่านก็คล้ายกับพวก 2 ไม่เอา แต่ด่าพันธมิตรฯ แล้วให้ท้ายระบอบทักษิณ

แต่ศาสนาพุทธก็เป็นศาสนาของเหตุและผล ผมจึงอยากเห็นหลวงพ่อท่านมองและวิเคราะห์อะไรอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้นใช้เหตุและผลด้วยจิตใจที่ “เป็นกลาง” ด้วยจิตใจที่เป็นธรรม

คือมองปัญหาด้วยใจเป็นกลาง แล้วตัดสินถูกผิดด้วยใจเป็นธรรม ซึ่งต่างกับการเป็นกลางระหว่างผิดกับถูกและดีกับเลว

ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงพ่อถูกหลอกเอาที่ดินมาขาย ผมก็อดสงสารหลวงพ่อไม่ได้ ในใจนึกสาปแช่งคนที่หลอกลวงกระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้า แต่พอเห็นหลวงพ่อท่านโกรธเคืองเจ้าของที่ดินที่แท้จริง ซึ่งใช้กระบวนการยุติธรรมลุกขึ้นมาทวงสิทธิของตัวเองคืน เห็นหลวงพ่อท่านไปพาลโกรธกรมที่ดิน ผมอดคิดไม่ได้ว่า หลวงพ่อท่านน่าจะมีปัญหาในการแยกแยะเหตุและผลตามหลักการศาสนา

หลังจากศาลตัดสินให้แพ้คดีและต้องคืนโฉนดที่ดินให้เจ้าของที่แท้จริงแล้ว พระพยอมกลับไปโกรธเคืองกรมที่ดิน แล้วประกาศว่า จะคว่ำบาตร งดรับกิจนิมนต์จากส่วนราชการทุกส่วน โดยเฉพาะหน่วยงานของกรมที่ดินโดยไม่มีกำหนด

เหมือนคนไม่รู้อะไรผิดอะไรถูก เหมือนไม่ยอมรับกฎกติกาของสังคม

ลืมไปว่า ครั้งหนึ่งพระพยอมเคยเทศนาสอนชาวบ้านว่า อย่าเสียอกเสียใจ เพราะมันจะทำให้เราเสียความคิด เสียสติปัญญา แต่ถ้าเราเสียอะไรแล้วตั้งสติให้ดี คิดให้ดี เดี๋ยวมันก็ได้กลับมาเอง อย่าไปเสียอกเสียใจมากมายกับเรื่องที่เสียไป

ลืมไปว่า ศาสนาพุทธถือเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ใครทำกรรมใดก็ได้กรรมนั้น

ดังนั้นผมจึงดีใจที่ทราบข่าวพระพิศาลธรรมพาที หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ร่วมออกรายการของสถานีโทรทัศน์ดีทีวี เพราะจะได้ชัดเจนเสียทีว่า หลวงพ่อท่านยืนอยู่ตรงจุดไหน

ไม่ต้องอ้ำอึ้ง อมพะนำบอกสังคมต่อไปว่า อาตมาเป็นกลาง กลางหรือไม่กลางอยู่ที่การกระทำและให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน

เพราะคนเป็นพระสงฆ์องค์เจ้านั้นย่อมรู้ดีกว่าฆราวาสอย่างเราๆ ว่า เป็นกลางระหว่างความดีกับความชั่วไม่ได้ เป็นกลางระหว่างผิดกับถูกไม่ได้

พระพยอมมีสิทธิที่จะเลือกยืนข้างใครก็ได้อย่างเต็มเปี่ยม ถ้าเห็นว่า แนวทางนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ถ้าพระพยอมคิดว่าทักษิณและระบอบทักษิณเป็นแนวทางที่ถูกต้อง พระพยอมก็มีสิทธิที่จะเลือกยืนและเลือกเดินในแนวทางที่ตัวเองต้องการ

การเลือกข้างเพราะการตัดสินใจด้วยสติและปัญญาของตัวเอง เพราะเลือกแล้วว่านี่ถูกนั่นผิด ก็ยิ่งจะทำให้พระพยอมพูดได้อย่างเต็มปากหนักแน่นกว่าเดิมด้วยซ้ำว่า อาตมาไม่ได้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร

แต่เป็นทางที่อาตมาเลือกเดินเอง

ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ผมจะเคารพความคิดเห็นของพระพยอม และจะโต้แย้งในสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยกับหลวงพ่อท่านด้วยเหตุผล เพราะผมคิดว่าการโต้แย้งเป็นบ่อเกิดของปัญญา การโต้แย้งไม่ใช่การลบหลู่หรือการไม่เคารพซึ่งกันและกัน

หลวงพ่อท่านเชื่อว่า ท่านถูก พวกผมก็ว่าผมถูก กาลเวลาจะพิสูจน์ว่าใครถูก และผมยืนยันว่า เรื่องที่พันธมิตรฯ ออกมาต่อสู้ขับไล่นักการเมืองโกงชาติแล้วพวกเสื้อแดงออกมาคัดค้านต่อต้านนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ถูกทั้งสองฝ่ายหรือผิดทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมีฝ่ายหนึ่งผิดและฝ่ายหนึ่งถูก

ปัญหาของเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองนั้น ไม่ใช่ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ คนเสื้อแดงไม่ได้ขัดแย้งกับคนเสื้อเหลือง คนภาคเหนือภาคอีสานไม่ได้ขัดแย้งกับคนภาคใต้ คนในชาติไม่ได้ลุกขึ้นมาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และคงไม่ถึงกับต้องสร้างรัฐไทยใหม่อย่างที่หัวหน้ากลุ่มเสื้อแดงประกาศก้อง

สาเหตุความขัดแย้งของคนไทยไม่ได้เกิดขึ้นแบบความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า ในรวันดา ที่คนในชาติลุกขึ้นมาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กัน ระหว่างชนเผ่าฮูตูกับชนเผ่าตุ๊ดซี่

แต่เกิดจากคนไทยกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาลที่ฉ้อฉล แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาต่อต้าน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องของการทะเลาะเบาะแว้งกัน พระควรสอนให้คนทุกกลุ่มรู้ว่า การฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินเป็นสิ่งที่ไม่ดี และการลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งที่ประชาชนควรจะทำ

ไม่ใช่สอนให้คนเรานิ่งเฉยต่อสิ่งที่ผิด และเฉยเมยเป็นกลางต่อความเสียหายของชาติบ้านเมือง

หรือว่าจริงๆ แล้วการแสดงออกของพระพยอมนั้นเป็นตามที่หลวงพ่อท่านเองเคยเทศนาสั่งสอนคนอื่นไว้

“มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ปุถุชน ก็อยากเลื่อนชั้นตัวเองกันทั้งนั้น ถ้าเป็นทางโลกก็อาจอยากมีตำแหน่ง ตั้งแต่เล็กไปใหญ่จนถึงประธานาธิบดี ส่วนในทางธรรมก็อยากเป็นศาสดา อยากเป็นเจ้าลัทธิ อยากเป็นที่นับถือของผู้คน ยิ่งยุคนี้เขาเรียกว่ายุคเกลื่อนกลาดศาสดา คนเราก็จะเป็นอย่างนี้ พยายามไต่เต้าขึ้นไปทางใดทางหนึ่ง”

ปัญหาบ้านเมืองทุกวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ใครใส่เสื้อสีไหน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่หลวงพ่อท่านจะออกทีวีช่องไหน ปัญหาอยู่ที่หลวงพ่อท่านมีจุดยืนอย่างไร

จะห่มจีวรสีแดงหรือสีเหลืองหรือไม่ห่มจีวรอย่างฆราวาสทั่วไป ก็ไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักแยกแยะผิดถูกชั่วดี
กำลังโหลดความคิดเห็น