โพลล์ชี้ประชาชนยังไม่แน่ใจนโยบายเพิ่มเงินในระบบ 1.15 แสนล้านจากงบกลางปี จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะยังไม่เห็นผลทันที คาดกำลังการบริโภคจะยังคงชะลอตัวไตรมาส 1-2 แต่จะพลิกฟื้นไตรมาส 3 จี้รัฐเน้นทำงานเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น หากทำได้ดีทั้งปีจีดีพีแตะ 2-2.5% ได้แน่
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์การพยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจทัศนะของประชาชนต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐว่า ประชาชนยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลออกมารอบแรกผ่านงบกลางปี 115,000 ล้านบาท โดยคนส่วนใหญ่แม้จะเห็นด้วยกับนโยบายรัฐ แต่ไม่แน่ใจว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผล จึงรอผลการกระตุ้นให้เป็นรูปธรรมก่อน
ทั้งนี้ ทัศนะต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่ 44.4% เห็นว่ากระตุ้นได้ปานกลาง และเห็นว่าช่วยเศรษฐกิจได้น้อยถึงน้อยที่สุด 25.1% และ 8% ขณะที่มากถึงมากที่สุด 20.2% และ 0.7% โดยคนทุกภาคส่วนใหญ่ยังมั่นใจปานกลาง และมั่นใจน้อย มีเพียงภาคใต้เท่านั้น ที่มั่นใจว่านโยบายของรัฐจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้ ขณะที่พฤติกรรมการบริโภค การซื้อสินค้า หลังออกมาตรการคนส่วนใหญ่ยังไม่ตอบสนองมากนัก โดย 60.2% บอกว่าจะใช้จ่ายเท่าเดิม มีมากขึ้นถึงมากขึ้นมากที่สุด 30.1% และ 0.5% ขณะที่ใช้จ่ายน้อยเพียง 8.5%
นอกจากนี้ คนส่วนใหญมองว่ามาตรการเหล่านี้จะได้ผลปานกลาง 42.3% เห็นว่าได้ประโยชน์มากถึงมากที่สุดรวม 17.6% และที่เหลือ 39.4% มองว่าได้ผลน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะเดียวกันประชาชน 48.4% ไม่แน่ใจว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจครั้งนี้ทำตรงจุดหรือไม่ ส่วนที่เห็นว่าถูกจุดมี 28.9% และไม่ถูกจุด 22.8%
“ผลสำรวจทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า คนเห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐ-กิจครั้งนี้ แต่ยังไม่มีพฤติกรรมที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าไตรมาสแรกเศรษฐกิจยังชะลอตัว และน่าจะต่อเนื่องไปถึงไตรมาสสอง แต่จะกลับมาฟื้นได้ชัดเจนในไตรมาสสาม ซึ่งหลังจากนี้รัฐบาลควรกระตุ้นด้วยการทำนโยบายให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น และคาดว่าตลอดปีนี้จีดีพีน่าจะขยายตัวได้ 2-2.5% ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่ออกมาต่อเนื่อง”นายธนวรรธน์กล่าว
สำหรับนโยบายที่คนชื่นชมสูงสุด คือ เรียนฟรี 15 ปี รองลงมาเป็น เบี้ยยังชีพคนชรา กองทุนเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาแหล่งน้ำเกษตรจำหน่ายสินค้าราคาถูก ต่ออายุมาตรการ 6 เดือน ส่วนนโยบายที่คนพอใจน้อยสุด คือ การช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรของรัฐที่ได้เงินเดือนน้อยกว่า 15,000 บาท จำนวน 2,000 บาท และการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน ช่วยเหลือเงินเดือนละ 5,000 บาท นาน 6 เดือน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์การพยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจทัศนะของประชาชนต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐว่า ประชาชนยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลออกมารอบแรกผ่านงบกลางปี 115,000 ล้านบาท โดยคนส่วนใหญ่แม้จะเห็นด้วยกับนโยบายรัฐ แต่ไม่แน่ใจว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผล จึงรอผลการกระตุ้นให้เป็นรูปธรรมก่อน
ทั้งนี้ ทัศนะต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่ 44.4% เห็นว่ากระตุ้นได้ปานกลาง และเห็นว่าช่วยเศรษฐกิจได้น้อยถึงน้อยที่สุด 25.1% และ 8% ขณะที่มากถึงมากที่สุด 20.2% และ 0.7% โดยคนทุกภาคส่วนใหญ่ยังมั่นใจปานกลาง และมั่นใจน้อย มีเพียงภาคใต้เท่านั้น ที่มั่นใจว่านโยบายของรัฐจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้ ขณะที่พฤติกรรมการบริโภค การซื้อสินค้า หลังออกมาตรการคนส่วนใหญ่ยังไม่ตอบสนองมากนัก โดย 60.2% บอกว่าจะใช้จ่ายเท่าเดิม มีมากขึ้นถึงมากขึ้นมากที่สุด 30.1% และ 0.5% ขณะที่ใช้จ่ายน้อยเพียง 8.5%
นอกจากนี้ คนส่วนใหญมองว่ามาตรการเหล่านี้จะได้ผลปานกลาง 42.3% เห็นว่าได้ประโยชน์มากถึงมากที่สุดรวม 17.6% และที่เหลือ 39.4% มองว่าได้ผลน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะเดียวกันประชาชน 48.4% ไม่แน่ใจว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจครั้งนี้ทำตรงจุดหรือไม่ ส่วนที่เห็นว่าถูกจุดมี 28.9% และไม่ถูกจุด 22.8%
“ผลสำรวจทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า คนเห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐ-กิจครั้งนี้ แต่ยังไม่มีพฤติกรรมที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าไตรมาสแรกเศรษฐกิจยังชะลอตัว และน่าจะต่อเนื่องไปถึงไตรมาสสอง แต่จะกลับมาฟื้นได้ชัดเจนในไตรมาสสาม ซึ่งหลังจากนี้รัฐบาลควรกระตุ้นด้วยการทำนโยบายให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น และคาดว่าตลอดปีนี้จีดีพีน่าจะขยายตัวได้ 2-2.5% ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่ออกมาต่อเนื่อง”นายธนวรรธน์กล่าว
สำหรับนโยบายที่คนชื่นชมสูงสุด คือ เรียนฟรี 15 ปี รองลงมาเป็น เบี้ยยังชีพคนชรา กองทุนเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาแหล่งน้ำเกษตรจำหน่ายสินค้าราคาถูก ต่ออายุมาตรการ 6 เดือน ส่วนนโยบายที่คนพอใจน้อยสุด คือ การช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรของรัฐที่ได้เงินเดือนน้อยกว่า 15,000 บาท จำนวน 2,000 บาท และการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน ช่วยเหลือเงินเดือนละ 5,000 บาท นาน 6 เดือน
